Chapter 29 : คำพิพากษาของศาลผู้ใช้เวท
Chapter 29 : คำพิพากษาของศาลผู้ใช้เวท
“เริ่มการพิจารณาได้”
ทันทีที่เสียงนั้นพูดจบ เสียงของใครบางคนที่ยืนอยู่เยื้องไปทาง 3 นาฬิกาด้านขวามือของผมก็พูดขึ้นต่อ มันเป็นเสียงทุ้มห้าวของผู้ชายคนหนึ่ง ที่ดูท่าทางนิ่ง ๆ อายุประมาณสามสิบกว่าได้ บนใบหน้ามีกรอบแว่นสีทองประดับอยู่ เส้นผมสีทองเหมือนกับตัวแว่นประกอบกับใบหน้าที่คมคาย ทำให้ดูรู้ว่าไม่ใช่คนเอเชีย
“จำเลยทั้งสามคนได้กระทำความผิด ฐานก่อให้เกิดเหตุการณ์อันตราย และสร้างความเสียหายเดือดร้อนให้แก่มนุษย์ โดยสิ่งที่จำเลยทั้งสามได้ทำ อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงระหว่างผู้ใช้เวทและมนุษย์ด้วย ตามมาตรา 2105 วรรค 2 โดยตรวจสอบแล้วว่าใช้เวทมนตร์ทำให้เกิดความเสียหายกินพื้นที่ 1 ตารางกิโลเมตรโดยประมาณ มีผู้บาดเจ็บจากการกระทำครั้งนี้เป็นมนุษย์จำนวน 4 คน อาการไม่สาหัส และความเสียหายกับบ้านเรือนที่อยู่โดยรอบมีมูลค่ามหาศาล จำเลยทั้งสามจะปฏิเสธข้อกล่าวหานี้ว่าไม่เป็นความจริงหรือไม่”
คำพูดยาวเหยียดดังมาจากปากของชายคนนั้น
“ไม่ครับ” มินจุนเป็นคนพูดออกไป หมอนั่นหันมามองหน้าผมกับไอรีน เป็นเชิงว่าให้พูดเหมือนเขา แต่ก่อนที่ผมกำลังจะอ้าปากพูดขึ้น ชายคนที่อยู่ทางสามนาฬิกาก็ชิงพูดถามผมกับไอรีนขึ้นมาก่อน
“จำเลยทั้งสองคนที่เหลือ ยอมรับหรือไม่ว่าได้ร่วมกันก่อเหตุการณ์ครั้งนี้”
“ยอมรับครับ” ผมพูดออกไป
“ยอมรับค่ะ” ตามด้วยไอรีน
หลังจากที่ไอรีนพูดจบ เสียงจากศาลก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้ดังมาจากผู้หญิงที่อยู่ทางซ้ายมือตรงกับ 9 นาฬิกา คนพูดเป็นผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าบนใบหน้าจะมีริ้วรอยมากมาย แต่ก็แฝงไปด้วยความใจเย็นและดูใจดีอยู่มาก ทำให้บรรยากาศที่ดูตึงเครียดผ่อนคลายลง ต่างจากชายคนเมื่อสักครู่
“เหตุผลของสิ่งที่จำเลยทั้งสามคนกระทำความผิดเกิดจากอะไร โปรดชี้แจงเหตุการณ์ทั้งหมดให้พวกเราได้พิจารณารับฟังด้วย” ผู้หญิงวัยกลางคนคนนั้นพูดขึ้นมา
ผมกับไอรีนหันไปมองหน้ากัน ก่อนพยักพเยิดหน้าให้มินจุนเป็นคนพูดเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น หมอนั่นมองเราสองคนที่ยืนอยู่ข้างตัวพร้อมกับชี้มือไปที่ตัวเอง เหมือนกับถามว่าทำไมต้องเป็นเขา แต่ก็ยอมทำตามอยู่ดี ไม่ช้ามินจุนก็เริ่มเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้กับศาลฟัง
“พวกเราเดินทางมาร่วมงานเทศกาลดนตรีเหมือนคนทั่วไปครับ หลังจากจบงานในวันแรก พวกเราก็กลับเข้าที่พัก ซึ่งพวกเราถูกโจมตีจากผู้ถือครองกุญแจจักรราศี 3 คนในช่วงกลางดึกระหว่างหลับพักผ่อน ทำให้เกิดการต่อสู้เกิดขึ้น ภูติดวงดาวของพวกเราจึงพยายามที่จะช่วยปกป้องพวกเราไว้ ทำให้เกิดการระเบิดความเสียหายออกมาแบบนั้น” มินจุนพูด ทั้งศาลเริ่มเกิดเสียงคุยกันบริเวณรอบ ๆ ของคนทั้ง 12 คนที่ยืนอยู่หลังรูปปั้นรอบพวกเราเป็นวงกลม
“จำเลยบอกว่า จำเลยถูกโจมตีโดยผู้ถือครองกุญแจภูติจักรราศี นั่นหมายความว่า สาเหตุเป็นเพราะจำเลยทั้งสามคน คือผู้ถือครองกุญแจจักรราศีด้วยใช่หรือไม่” ผู้หญิงวัยกลางคนถามต่อ
“ใช่ครับ พวกเราทั้งสามคนเป็นผู้ถือครองกุญแจจักรราศี”
เสียฮือฮาเกิดขึ้นทันทีบริเวณรอบ ๆ ที่พวกเรายืนอยู่ หลังจากมินจุนตอบกลับไป ผมเดาว่าคนที่อยู่ที่นี่ทั้ง 12 คนเองก็ยังไม่รู้เรื่องว่าเหตุการณ์ที่เกิดจากการระเบิดครั้งใหญ่มาจากสาเหตุอะไรกันแน่ คงมีเพียงฟางหรงที่ยืนอยู่ด้านหลังของพวกเราบริเวณ 6 นาฬิกาคนเดียวที่รู้ เนื่องจากวันนั้นเธอเป็นคนเข้าไปจัดการเรื่องของพวกเรากับผู้ใช้กฎหมายในเมือง
“จำเลยกำลังจะบอกว่าสิ่งที่ทำ เป็นการป้องกันตัวใช่หรือไม่”
เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากทางด้านหลังจากมุมไหนซักมุม แต่ผมไม่ได้หันไปมอง
“ใช่ครับ” มินจุนพูด
เกิดเสียงพูดคุยระหว่างผู้ที่ยืนอยู่หลังรูปปั้นทั้ง 12 คน ผมเองก็ได้ยินไม่ถนัดว่าพวกเขาคุยว่าอะไร แต่ดูเหมือนมันจะเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าพวกเราคือผู้ถือครองกุญแจจักรราศี สามสี่นาทีผ่านไปเสียงพูดคุยก็เงียบไปอีกครั้ง
“ในที่เกิดเหตุ มีการพบศพผู้ใช้เวทหนึ่งคน คนคนนั้นคือหนึ่งในผู้ที่เข้ามาโจมตีจำเลยหรือไม่”
“ใช่ครับ จริง ๆ มีสามคน แต่อีกสองคนหนีไปได้ครับ ส่วนเรื่องผู้ใช้เวทที่เสียชีวิต พวกเราไม่ได้เป็นคนทำนะครับ” คราวนี้ผมเป็นคนพูดตอบกลับไปบ้าง
“ศาลเข้าใจแล้ว หมดคำถาม”
เกิดความเงียบขึ้นมา ถามแค่นี้เองงั้นหรอ ผมเองก็แปลกใจเหมือนกันที่ศาลหมดคำถามเพียงแค่นี้ อย่าบอกนะว่าจะตัดสินโทษให้พวกเราแล้ว สักพักบริเวณที่พวกเรายืนอยู่ก็เริ่มมีแสงสีขาวปรากฏออกมา แสงสว่างจ้าจนพวกเรามองอะไรแทบจะไม่เห็นและยกมือขึ้นมาบังแสงที่เข้าตาตัวเอง
“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย !” ผมร้องออกไป
หลังจากแสงเริ่มหายไป ผมก็ยกมือที่บังดวงตาออก ปรากฏว่าตอนนี้รอบห้องพิจารณาคดีหายไป พวกเราเหมือนกำลังอยู่ในห้องห้องหนึ่ง มันกว้างจนสุดลูกหูลูกตา มองเห็นไกล ๆ ว่าผนังห้องถูกทาด้วยสีดำ
“นี่พวกเราอยู่ที่ไหน” ผมหันไปพูดกับมินจุน อย่าบอกนะว่าที่นี่คือคุกผู้ใช้เวท
“คงจะเป็นมิติเวทมนตร์ พวกเขาคงต้องปรึกษากันก่อนพิจารณาคดี ดังนั้นเราจึงต้องรอที่นี่” มินจุนตอบกลับมา
“ไม่อยากอยู่ในนี้นาน ๆ เลย” ไอรีนพูดบ่นออกมา
เวลาผ่านไปประมาณ 10 นาที พวกเราที่คุยเล่นกันไปมาก็รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงรอบตัวอีกครั้ง แสงสว่างจ้าเหมือนเดิมปรากฏขึ้นรอบด้านอีกครั้ง ผมยกมือขึ้นมาบังแสง ก่อนพริบตาเดียว พวกเราก็กลับมายืนอยู่ในห้องการพิจารณาคดีอีกครั้งแล้ว
คราวนี้คนที่อยู่ตรงหน้าพวกเราตรงกับ 12 นาฬิกาก็ก้าวเท้าออกมาจากหลังรูปปั้นมาข้างหน้า ในมือของเขามีกระดาษอยู่ในมือแผ่นหนึ่ง เขาเป็นผู้ชายวัยกลางคน รูปร่างหนาแถมตัวใหญ่เกือบสองเมตร มีหนวดและเคราแพะประดับอยู่บนใบหน้า ทรงผมสุดเนี้ยบสีทองไม่มีเส้นผมชี้ออกมาสักเส้น ดวงตาสีฟ้ามองมายังพวกเรา ก่อนก้มลงอ่านสิ่งที่อยู่ในกระดาษ เสียงดังกังวานจึงก้องไปทั่วห้องพิพากษา
“จากความผิดที่จำเลยทั้งสามได้กระทำ ศาลได้พิจารณาและตัดสินตามสมควรแล้วดังนี้ ข้อแรก การที่จำเลยได้ทำการก่อความวุ่นวาย และการต่อสู้กับผู้ใช้เวทด้วยกันเอง ศาลขอตัดสินว่าไม่ผิด เนื่องจากตามกฎหมายของผู้ใช้เวท การต่อสู้ระหว่างผู้ถือครองกุญแจจักรราศีเป็นธรรมเนียม และประเพณีที่มีมายาวนาน ซึ่งเป็นข้อยกเว้นสำคัญสำหรับผู้ใช้เวททุกคน โดยจะไม่มีความผิดเมื่อเป็นการต่อสู้ระหว่างผู้ถือครองกุญแจจักรราศี แม้จะมีการต่อสู้จนถึงแก่ความตายก็ตาม”
“ข้อสอง เนื่องจากการต่อสู้ของจำเลยทั้งสามส่งผลกระทบต่อมนุษย์และพื้นที่บริเวณโดยรอบจนเกิดความเสียหายมหาศาล และอาจส่งผลต่อความมั่นคงระหว่างมนุษย์และผู้ใช้เวท ศาลจึงขอตัดสินว่าผิด ตามมาตรา 1112 วรรค 5 ห้ามมิให้ผู้ใช้เวทใช้พลังเวทมนตร์ทั้งของตนเองและภูติแห่งดวงดาว สร้างความเสียหายต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นอาคารบ้านเรือน หรือสิ่งของต่าง ๆ หากฝ่าฝืนจะมีความผิดและได้รับโทษ”
“โดยจำเลยทั้งสามจะได้รับโทษดังนี้ ข้อแรก จำเลยทั้งสามจะต้องชดใช้ค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมดจากการประมาณค่าใช้จ่ายตามความเห็นสมควร ซึ่งจะเป็นจำนวนเงิน 200 ล้านเคอเรน โดยมีกำหนดการชำระไม่เกิน 6 เดือนหลังจากนี้ โดยค่าความเสียหายจะถูกหักออกเหลือ 100 ล้านเคอเรน เพราะถือว่าเป็นความรับผิดของผู้ถือครองกุญแจจักรราศีอีกสองคนที่หลบหนีไปด้วย โดยทางศาลจะไม่นิ่งนอนใจ หากผู้ต้องหาอีกสองคนไม่มารายงานตัวและใช้หนี้ 100 ล้านเคอเรนเหมือนจำเลยทั้งสาม พวกเขาเองก็จะกลายเป็นอาชญากรหนีคดีผู้ใช้เวท และถูกตามล่าตัวมีค่าหัวเช่นผู้ใช้เวททั่วไป”
ผมช็อกไปตั้งแต่ได้ยิน 200 ล้านเคอเรน ...
อายุน้อย หนี้ร้อยล้าน ...
แต่ถึงจะได้ลดลงมา 100 ล้านเคอเรนก็ไม่ได้รู้สึกดีขึ้นมาเท่าไร ...
เฮ้อ ... ชีวิตไอ้วินหนอ ...
“เนื่องจากจำเลยทั้งสามให้การที่เป็นประโยชน์ ศาลจึงมีข้อเสนอยื่นให้อีกข้อกับจำเลยทั้งสาม ตอนนี้มีกลุ่มอาชญากรผู้ใช้เวทกลุ่มใหญ่ได้ออกทำการปล้น และก่ออาชญากรรมจำนวนมากในทวีปแอฟริกาเหนือ พวกเขาตั้งตัวเป็นใหญ่โดยใช้มนุษย์ที่ไม่มีเวทมนตร์ไปเป็นทาส และพยายามจะสร้างเมืองที่มีแต่ผู้ใช้เวทขึ้นมา ซึ่งขัดกับสิ่งที่เราตกลงไว้กับมนุษย์ธรรมดาว่าจะอยู่ด้วยกันอย่างสันติ โดยหัวหน้ากลุ่มของอาชญากรมีชื่อว่า อามุน เขาเป็นผู้ถือครองกุญแจจักรราศีพิจิก โดยทางเราส่งผู้ใช้เวทที่มีหน้าที่รักษากฎหมายไปจัดการจำนวนมากแต่ก็ไม่มีใครรอดกลับมา ตอนนี้ทางเราจึงตั้งค่าหัวของอามุนเป็นจำนวนเงิน 100 ล้านเคอเรนหากมีคนสามารถจัดการเขาได้ ซึ่งเรื่องนี้มีผลกระทบอย่างมากระหว่างมนุษย์และผู้ใช้เวท พวกเราไม่ได้อยากทำให้สงครามมันเกิดขึ้น ถ้าหากจำเลยทั้งสามสามารถทำได้ ก็จะถือเป็นการชดใช้ความเสียหายที่จำเลยได้ก่อไปในตัว”
ผมฟังสิ่งที่ชายคนนั้นพูดออกมายาวเหยียดก็คิดว่าพอมีความหวังจะได้ล้างหนี้อยู่บ้าง แต่แบบนี้มันก็เหมือนกับเอาพวกเราไปเป็นผู้ใช้เวทรับจ้างที่ทำหน้าที่ในการจัดการอาชญากร ดูเหมือนว่าคนในศาลผู้ใช้เวทจะฉลาดกันไม่ใช่เล่นเลย ที่ใช้ผู้ถือครองกุญแจจักรราศีจัดการกันเองแบบนี้
“ศาลไม่ได้บังคับแค่ยื่นข้อเสนอ ซึ่งจำเลยทั้งสามอาจจะไม่ทำก็ได้ แต่ต้องใช้หนี้ให้ครบตามกำหนดภายในหกเดือน ไม่อย่างนั้น จำเลยทั้งสามจะถูกจับเข้าคุกผู้ใช้เวทเป็นระยะเวลา 5 ปี”
โคตรมัดมือชก ...
โธ่โว้ย ! …
“พวกเราตกลงครับ” มินจุนเป็นคนพูดออกไป
“ศาลขอจบการพิจารณาคดีเท่านี้ หวังว่าทุกท่านจะโชคดี”
ผมเดินออกมาจากศาลผู้ใช้เวทในสภาพงง ๆ กับชีวิตตัวเอง ตอนนี้กลายเป็นคนมีหนี้สินติดตัวหลายล้านตั้งแต่อายุ 18 ไปแล้ว และจากวิศกรการวิจัยอาหาร ขายเค้ก ชงกาแฟในร้าน ใครจะไปคิด ตอนนี้กลายมาเป็นผู้ใช้เวทรับจ้างในการจัดการอาชญากรผู้ใช้เวท อะไรเนี่ย เสี่ยงอันตรายกับผู้ถือครองกุญแจจักรราศีไม่พอ ยังต้องเอาตัวไปเสี่ยงกับอาชญากรผู้ใช้เวทอีก เพราะอามุนตามที่ได้ข้อมูลมา มีลูกน้องที่เป็นอาชญากรผู้ใช้เวทตัวเป้ง ๆ ทั้งนั้น มิเกลก็เคยเป็นหนึ่งในนั้นแต่แยกตัวออกมาก่อน ส่วนมินจุนกับไอรีนที่เดินมาข้าง ๆ ผมก็อยู่ในสภาพที่ไม่ได้เครียดอะไรนัก ออกจะโอเคกับคำพิพากษาซะด้วยซ้ำ
“นี่พวกเราต้องไปปราบกลุ่มโจรพวกนั้นจริงหรอ” ผมพูดออกไป ระหว่างที่ตอนนี้เรากำลังเดินกลับไปยังที่พักของตัวเอง และไปเช็คเอ้าท์ออกจากโซเดียโค ลงไปพักที่สเปนต่ออีกคืน เพราะค่าที่พักบนนี้แพงมาก อีกอย่างต้องไปนอนคิดกันว่าพวกเราจะเดินทางเพื่อทำภารกิจที่ได้รับมาเลยดีหรือเปล่า
“มีทางเลือกด้วยหรือไง เงินก็ไม่มีตั้ง 100 ล้านเคอเรน” ไอรีนเป็นคนพูดตอบผมกลับมา
“นายมีเงินเก็บเท่าไรมินจุน” ผมหันไปคุยกับมินจุนบ้าง เพราะเห็นว่าหมอนี่เป็นนักร้องดัง อย่างน้อย ๆ ก็คิดว่าน่าจะมีเงินเก็บมากพอสมควร รวมกับของผมกับไอรีน ยืมพ่ออีกสักหน่อยน่าจะพอใช้หนี้โดยที่พวกเราไม่ต้องไปเสี่ยงกับกลุ่มอาชญากรที่ใหญ่ขนาดนี้ มินจุนหันมามองหน้าผมแล้วก็ถอนหายใจออกมา
“ทั้งเนื้อทั้งตัวมีอยู่ 30 ล้านเคอเรนตอนนี้” มินจุนพูด
30 ล้านเคอเรนเนี่ยนะ มันยังไม่ถึงครึ่งที่จะจ่ายเลยด้วยซ้ำ !
“เฮ้ย ! เป็นนักร้องดังทั้งที ทำไมเงินเก็บมีแค่นี้” ผมร้องออกไปอย่างผิดหวัง
“แค่นี้ก็เยอะแล้วไหมวะไอ้วิน ฉันเองก็เพิ่งจะเข้าวงการและมีชื่อเสียงเมื่อปีสองปีที่แล้วเอง” มินจุนพูดออกมาตบหัวผมเบา ๆ หนึ่งที นี่สนิทจนเล่นหัวได้แล้วหรอวะ ว่าแล้วผมก็เปลี่ยนเป้าหมายจากมินจุนไปหาไอรีน หวังว่าไอรีนน่าจะพึ่งได้บ้างในเรื่องเงิน เพราะดูจากท่าทางถึงแม้เจ้าตัวจะไม่ยอมเล่าเรื่องที่บ้านให้ฟังเท่าไร แต่ผมก็พอดูออกว่าเธอน่าจะมาจากตระกูลที่ร่ำรวยมหาศาลแน่ ๆ เซ้นส์ผมมันแรง
“แล้วเธออะไอรีน มีอยู่เท่าไร” ผมถามออกไป
“ฉันมีอยู่ 20 ล้านเคอเรน” ไอรีนตอบผมกลับมา
นั่นทำให้ผมเริ่มหมดหวังกับการเอาเงินพวกเราไปใช้หนี้ เพราะรวมกันสองคนตอนนี้ก็ได้แค่เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น มันยังเหลืออีกตั้งครึ่งหนึ่งที่พวกเราต้องจ่าย ทางเดียวที่ทำได้คือต้องไปทำภารกิจตามที่ศาลบอกซินะ เฮ้อ ...
“โอ๊ย ! ลุคลูกคุณหนูอย่างเธอทำไมเงินเก็บน้อยแบบนี้” ผมพูดออกไปอย่างเซ็ง ๆ
“แล้วนายมีเท่าไรวิน” ไอรีนพูด เอามือเท้าเอวหันมามองหน้าผม
“ฉันหรอ ...” ผมพูด หยุดนิ่งให้สองคนนั้นได้ลุ้นนิดหนึ่ง
“4 ล้านเคอเรน เอ้ย ไม่ซิ ซื้อกุญแจไปดอก ตอนนี้เหลือ 3 ล้านเคอเรน”
ตามมาด้วยสายตาอาฆาตของไอรีนและมินจุนที่พร้อมจะกินหัวผมหลังจากพูดจบ ...