บทที่29: ข้อสันนิษฐาน
บทที่29: ข้อสันนิษฐาน
คนบนเตียงท่าทางยังทรมานกับบาดแผลที่ได้รับ หมอบอกว่าแม้ภายนอกจะดูไม่มีอะไรนอกจากรอยแดงจางๆ รูปฝ่ามือที่หน้าอก แต่ภายในอาการนับว่าสาหัส กระดูกซี่โครงหักสี่ท่อน ร้าวอีกห้า อวัยวะภายในบอบช้ำ หากอาเหวินโดนฝ่ามือดังกล่าวซัดเข้าอย่างเต็มกำลังจริงๆ ภายในคงแหลกเละไม่มีชิ้นดี
หงซาเถียนอธิบายกับเจ้าตัวได้ฟังถึงความโชคดีในโชคร้ายที่อาเหวินได้รับ คนบนเตียงไม่ยินดียินร้ายใดๆ รับยาต้มที่หมอจัดให้มาดื่มแล้วก็ค่อยๆ เอนลงนอนอีกครั้ง
“ท่านอยากรู้ใช่ไหมว่าวันนั้นในหมอกเกิดอะไรขึ้น” คนถามเปิดประเด็นคืออาเหวิน เมื่อเห็นโจวหม่าจงที่มาเยี่ยมดูอาการ แต่ไม่ถามไถ่ใดๆ
รองหัวหน้ามือปราบเห็นว่าอาการอีกฝ่ายสาหัสจึงไม่อยากรบกวน แต่เมื่อเป็นเหตุเร่งด่วน เพราะหากไม่ให้รู้แน่ชัดก็อาจมีคนตายเพิ่มได้อีกทุกเมื่อ จึงพยักหน้ารับ
“ใช่ ข้าอยากรู้ว่าวันนั้นเกิดอะไรขึ้น”
อาเหวินสูดลมหายใจเข้าลึก สีหน้าเคร่งเครียด ตัวสั่น จนหลายคนในนั้นเห็นความกลัวสะท้อนออกมาจากในดวงตา
“วันนั้นพอเกิดเสียงร้องขึ้นในหมอก ทุกอย่างก็ดูสับสน ข้าพยายามวิ่งไปช่วยคนที่โดนทำร้าย แต่เสียงไม่รู้ว่าจากทางไหน รู้สึกเหมือนมันดังอยู่รอบตัวใกล้ๆ แล้วตอนนั้นเองที่ข้าเห็น...”
อาเหวินหยุดพูดแค่นั้นแล้วนิ่งไป
“เห็นอะไร?” ซาเถียนทนความเงียบไม่ไหวจึงเอ่ยถาม
ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่มือปราบคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องเพื่อรายงาน
“ใต้เท้าครับ คุณหนูงักฮัวมาขอเยี่ยมผู้ต้องหางักหลิวครับ”
ซาเถียนมีสีหน้าเหมือนจะกล่าวว่า มาทำไมเวลานี้ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยออกมา ใจอยากให้ลูกน้องจัดการทุกอย่างแทนในการต้อนรับอีกฝ่าย แต่สุดท้ายเขาก็ลุกขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะคิดว่าควรไปด้วยตนเอง
ซึ่งนั่นเป็นจังหวะเดียวกับที่ไป่ยู่และหม่าจงได้ยินอาเหวินเอ่ยตอบคำถามที่ซาเถียนถามไว้
“ขะ ข้าเห็น... นาง”
หม่าจงขมวดคิ้วแน่น ทุกอย่างดูจะมีเค้าตามสันนิษฐาน
“เจ้าหมายถึง งักฮัว ใช่ไหม!?”
อาเหวินพยักหน้า ท่าทางยิ่งสั่นกลัว
“เจ้าเห็นนางกำลังทำอะไร?”
“ข้าเห็นนาง... ตัวขาดเป็นสองส่วนและกำลังรวมร่างฟื้นขึ้นมา” พูดได้เท่านี้อาเหวินก็เงียบเสียงลงคล้ายรู้ว่าสิ่งที่กล่าวออกไปเป็นเรื่องโง่งม
ทุกคนที่อยู่ในห้องสีหน้าบอกกล่าวไม่ถูก คล้ายไม่เชื่อเรื่องแปลกพิสดารที่ได้ยิน แต่สิ่งที่พบเจอมาก่อนหน้านี้ก็ใช่ว่าจะปกติ
“ข้าเห็นเช่นนั้นจริงๆ นะ ข้ารู้ว่ามันเชื่อยาก แต่...”
“แล้วเจ้าเห็นอะไรอีก” ไป่ยู่ถามขึ้นเพื่อเป็นการบอกว่าเขาเชื่อ
“ร่างของนางขาดเป็นสองส่วน นอนจมกองเลือดแล้วมีดวงไฟดวงหนึ่งปรากฏขึ้นบนตัวนาง หลังจากนั้น ร่างของนางก็คล้าย ข้าอธิบายไม่ถูก เหมือนมันผสานกันระหว่างช่วงท้องกับสะโพกจนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนางก็ลุกขึ้นมา”
“นางเป็นคนทำเจ้าเหรอ” หม่าจงถามขึ้น
“ข้า ข้าคิดว่าใช่ เพราะหลังจากนั้นหมอกก็หนาขึ้นอีกจนข้าไม่เห็นอะไร แล้วอยู่ๆ ก็มีมือสีดำพุ่งเข้ามาถึงตัว มันเร็วมากจนข้าหลบไม่ทัน แต่”
“แต่อะไร”
“แต่อยู่ๆ ข้าก็รู้สึกได้ถึงแรงกระชากจากด้านหลังจนตัวข้าลอยออกไป ระหว่างนั้นข้าเห็นปีศาจที่มีหัวเป็นหมูป่า”
เมื่อรวมกับคำที่ว่ามีสองตัวซึ่งอาเหวินได้กล่าวไว้ในวันนั้นก่อนจะสลบไปและข้อสันนิษฐานของไป่ยู่เกี่ยวกับปีศาจหัวหมูป่า ก็ทำให้ทุกอย่างกระจ่างชัดว่าปีศาจหัวหมูป่านั่นเป็นฝ่ายที่ช่วยอาเหวินให้รอดตาย
คำถามคือ ถ้าเช่นนั้นงักฮัวเป็นปีศาจเช่นกันใช่ไหม...
แม้จะไม่มีใครกล้าฟันธง แต่สิ่งที่อาเหวินเห็น ทุกคนเห็น รวมกับข่าวลือต่างๆ ย่อมทำให้ทุกคนไม่คิดเป็นอื่น
“ไป่ยู่” หม่าจงเอ่ยเรียกคล้ายมีคำถาม
“ไปพบนางกันก่อนเถอะ” ทุกคนในห้องจึงปล่อยให้อาเหวินได้พักผ่อนอย่างที่ควร
...................................
งักหลิวนั่งตัวสั่นอยู่ที่มุมด้านในสุดของคุก ท่าทางหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด ก่อนนี้เขาไม่เคยเชื่อเรื่องพวกภูตผี วิญญาณ ปีศาจหรือมารร้าย สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากพวกนักพรตหลอกลวงต้มตุ๋นที่อาจเรื่องการรักษาอาการป่วยของเขา
แม้จะมีข่าวลือมากมายเกี่ยวกับเรื่องแปลกประหลาดพิสดาร แต่เขาก็ยังมองว่าเป็นเรื่องเหลวไหลอยู่ดี กระทั่งได้มาเจอกับไป่ยู่ ได้เห็นการใช้คาถาอาคมเสกแมวจากใบไม้หรืออะไรแปลกๆ ก็ยังไม่ทำให้เขาปักใจ หลงคิดว่าเป็นการเล่นเล่ห์กลโกง
จนได้เห็นชัดกับตาเมื่อคืนผีดิบสองตัวพยายามทำลายคุกเพื่อเข้ามาทำร้ายเขา ดีที่เจ้าหน้าที่มือปราบเข้ามาช่วยไว้ได้ทัน แม้จะไม่อยากเชื่อ แต่คนตายฟื้นคืนชีพขึ้นมาจริงๆ มันทำลายความเชื่อทั้งหมดที่เขายึดมั่นมา
งักฮัวเดินเข้ามาในบริเวณห้องขัง ทันทีที่เห็นน้องสาวของตัวเอง งักหลิวพลันน้ำตาไหลพรากด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งหวาดกลัว โล่งใจ เสียใจระคนยินดี เขาคลานเข้าไปหานางไม่เหลือเค้าคนที่ชอบวางมาดอย่างเช่นเคย สองแขนยื่นออกไปพยายามจับตัวงักฮัวแม้จะมีซี่ไม้หนาเป็นกรงกั้นก็ไม่อาจห้ามเขาไว้ได้
เด็กสาวก้มตัวลงโน้มหาพี่ชาย ท่าทางของอีกฝ่ายทำให้นางตกใจ ไม่คิดว่าเพียงแค่อยู่ในคุกแค่คืนเดียวจะทำให้พี่ใหญ่ของตนหมดสภาพได้เช่นนี้ นึกแล้วทั้งเจ็บใจ ทั้งระทม นางอยากหาความกับเจ้าเมืองที่รับปากว่าจะดูแลเสียดิบดี แต่ท้ายสุดก็เป็นแค่ลมปาก
“ไม่เป็นไรนะคะพี่ใหญ่ ข้าอยู่นี่แล้ว” งักฮัวกล่าวพลางลูบมือลูบแขนอีกฝ่าย ฟังเสียงสะอื้นสะท้อนใจ
ซาเถียน หม่าจงและไป่ยู่ ยืนมองภาพดังกล่าวด้วยใจเวทนาจึงไม่อยากเข้าไปขัดจังหวะ เพราะเห็นว่าไม่ควร ทว่างักฮัวกลับเป็นฝ่ายหันมาเห็นพวกเขา แม้คราแรกจะมีสีหน้าสดงชัดว่าไม่พอใจ แต่พอเห็นไป่ยู่ นางจึงแค่ถอนหายใจ พยักหน้าแสดงความน้อมนอบกับอีกฝ่ายแล้วหันไปสนใจพี่ชายดังเดิม
“พี่ใหญ่กินอะไรหรือยัง ข้าให้บ่าวที่บ้านจัดสำรับมาให้ มีแต่ของโปรดของพี่ทั้งนั้นเลยนะ มากินด้วยกันเถอะ”
ซาเถียนให้เจ้าหน้าที่มือปราบไปเปิดประตูคุกเพื่อให้ความสะดวก แล้วให้เขาคอยเฝ้าดูแล ส่วนทั้งสามกลับแยกตัวออกมาเพื่อหารือ
“ข้ารู้ว่าในด้านประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องเร้นลับอะไรพวกนี้ ทั้งเจ้าและเจ้า ต่างมีเหนือมากกว่าข้ามาก แต่ข้าไม่เห็นด้วยเลยสักนิดที่จะบอกว่าคุณหนูงักฮัวเป็นปีศาจ” ซาเถียนกล่าวท่าทางร้อนใจ
“ใต้เท้าเถียน ข้ารู้ว่าท่านไม่อยากจะเชื่อ แต่ฟังข้าเถอะ ก่อนนี้นางคณิกาที่งามเลิศที่สุดในเมืองข้าก็เคยกลายเป็นผีร้ายที่มีแต่หัวออกมากัดกินผู้คนมาแล้ว ครั้งนี้คุณหนูนั่นมีทั้งพ่อที่เล่นไสยศาสตร์ ซ้ำตัวเองก็ยังไปเดินแก้ผ้าอยู่ในป่า ทั้งอาเหวินก็ยังเห็นนางตายแล้วฟื้น มีมูลชี้ชัดมากมายขนาดนี้ เชื่อไว้หน่อยจะปลอดภัยกว่า” หม่าจงกล่าวแย้ง
“แต่นางเป็นเพียงเด็กสาวตัวเล็กๆ หากเป็นเช่นนั้นจริง เท่ากับนางเป็นคนที่ฆ่าชายฉกรรจ์ทั้งห้าสิบสองศพนั่น ข้าว่ามัน... ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้” ซาเถียนยังค้าน
“เช่นนั้นใต้เท้าคิดไว้ว่าเช่นไร” ครานี้เป็นไป่ยู่ที่กล่าวขึ้น ซาเถียนนิ่งคิดก่อนจะบอกแนวคิดทฤษฏีของตน
“ข้าว่าปีศาจหัวหมูป่านั้นเป็นสัตว์เลี้ยงของงักหลิว เขาต้องการขึ้นเป็นเจ้าบ้านเลยฆ่าน้องชายคนรองอย่างงักเจียง แต่งักโยวอาจจะฟื้นขึ้นมาเห็นเหตุการณ์ เขาจึงต้องลักพาตัวน้องชายคนเล็กไปขัง แสร้งทำทีว่าคนร้ายคนอื่น โดยป้ายสีให้พี่เจ้ากับเจ้าเป็นแพะ หลังจากนั้นก็หลอกพวกเราไปให้สัตว์เลี้ยงของเขากิน เพื่อที่จะได้ยิ่งทำให้ไม่มีคนกล้าไปยุ่งกับตระกูลของเขาอีก”
“แล้วเรื่องงักฮัวละ”
“อาเหวินอาจสับสน เขาบาดเจ็บหนักในตอนนั้นจนอาจตาลาย”
“แล้วฝูงผีดิบละ”
“อะ เอ่อ มัน มันคงเป็นเพราะผลจากอาเพศที่เคยเกิดขึ้น ข้าไม่รู้หรอกว่ามันควรมีหลักอธิบายในเหตุผลเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไง” ซาเถียนกล่าวน้ำเสียงหงุดหงิด
“แล้วพี่ละคิดว่ายังไง” คราวนี้ไป่ยู่หันไปถามหม่าจง
รองหัวหน้ามือปราบนิดคิดครู่หนึ่งแล้วกล่าว
“ข้าว่างักฮัวคือคนร้าย อย่างแรกที่ชัดเจนสุดเลยคือ งักหลิวไม่มีวรยุทธ์ เรื่องนี้ข้ามั่นใจ เขาไม่มีทางจัดการชายฉกรรจ์ทั้งห้าสิบสองศพนั่นได้แน่ แล้วที่อาเหวินเห็นงักฮัวในป่ากลางหมอกก็เป็นเหตุการณ์ก่อนที่เขาจะบาดเจ็บ แม้จะตื่นกลัวไปกับสิ่งที่พบ แต่ข้าเชื่อว่าเขามองไม่ผิดคน”
“แล้ว...”
“ส่วนเรื่องปีศาจหมูป่า ถือว่าข้าเห็นด้วยกับเจ้า มันอาจเป็นทูตวิญญาณหรืออะไรก็ตามแต่ที่มาเพื่อสร้างสมดุลในการกำจัดปีศาจร้ายตนอื่นๆ แต่ไม่น่าจะใช่สัตว์เลี้ยงของงักหลิวอย่างที่ใต้เท้าคาดเดา หนึ่งเพราะตอนที่มันปรากฏตัวในเหตุการณ์เมื่อคืน สิ่งที่มันสนใจมีเพียงเจ้ากับฝูงผีดิบ ทั้งที่งักหลิวอยู่ในคุกขัง สองหากมันเป็นสัตว์เลี้ยงเขาจริงย่อมต้องหาทางช่วยเหลือเจ้านายตัวเอง แต่เปล่าเลย มันแค่จัดการฝูงผีดิบ แล้วมุ่งแต่จะฆ่าเจ้า ซึ่งพอทำไม่ได้ก็หนีไป”
“ที่เจ้ากล่าวมาก็มีเหตุผลนะ ถ้าเช่นนั้นพวกผีดิบละ” :ซาเถียนเมื่อได้ฟังคำอธิบายก็เริ่มคล้อยตาม
“หลังตรวจสอบเราพบกันแล้วว่าพวกมันคือห้าสิบสองศพที่ตายไป ข้าคิดว่าการที่ศพเหล่านั้นฟื้นขึ้นมาได้เป็นเพราะมีคนบงการ ซึ่งก็คืองักฮัว สิ่งที่บงการพวกมันไว้ก็คงเป็นรอยฝ่ามือนั่น คนที่มีข่าวลือว่าพ่อเล่นไสยศาสตร์และตัวเองเป็นปีศาจย่อมทำได้อยู่แล้ว นางนั่นแหละคือคนร้ายที่ทำไปทั้งหมดก็เพราะเป็นสตรีจึงไม่สามารถขึ้นเป็นเจ้าบ้านของสกุล ทว่าหากไร้ทายาทสืบทอด นางย่อมเป็นได้”
“เช่นนั้น นางทำอย่างไรให้งักโยวใส่ร้ายพี่ชายตนเอง” คำถามนี้ของไป่ยู่ทำให้หม่าจงจนหนทาง
“พวกท่านมาผิดทางแล้ว” เสียงหนึ่งดังขึ้นแทรกกลางวง
เจ้าของเสียงเป็นดรุณีน้อย
“คุณหนูหม่า” ซาเถียนกล่าวทัก
“ประการแรก หากงักฮัวเป็นคนร้ายจริง อย่างท่านไป่ย่อมไม่ปล่อยให้นางนำอาหารไปให้พี่ชายตัวเองกิน” หม่าจงได้ยินเช่นนั้นจึงเพิ่งนึกได้
“เป้าหมายของคนร้ายดูยังไงก็เป็นการที่จะต้องฆ่างักหลิวให้ตายเพื่อที่จะได้รับผลประโยชน์ในการเป็นเจ้าบ้าน พวกท่านจึงมุ่งไปที่คนในสกุล แต่ว่า...”
“แต่ว่า” ไป่ยู่กล่าวซ้ำเป็นเชิงถาม รู้สึกสนใจในความคิดเห็นของเฉินหลิน
“แต่ว่าพวกท่านยังลืมไปอีกคน คนที่ตอบคำถามเมื่อครู่ของท่านไป่ได้ คนที่สามารถทำให้งักโยวยอมกล่าวร้ายใส่พี่ชาย”
“ใครกัน?” หม่าจงถาม
“เสี่ยวจือไง”
“เสี่ยวจือ!” ซาเถียนทวนซ้ำ
“ใช่ ตามข้อมูลที่ข้ารู้ข้าเห็นมา นางเป็นคนที่ดูแลงักโยวใกล้ชิดที่สุด คนบ้า เอ่อ... ข้าหมายถึง คนสติไม่สมประกอบเช่นงักโยว อาจมีพฤติกรรมแปลกๆ จนคนทั่วไปไม่เข้าใจ แต่หากมองดีๆ เขาก็เหมือนเด็กคนหนึ่ง เด็กยังไงก็ต้องยอมเชื่อฟังคนเลี้ยงดู หรือพวกท่านว่าไม่จริง”
ซาเถียนกับหม่าจงทำสีหน้ายุ่งยาก ไม่รู้ว่าจะเชื่อหลักการของอีกฝ่ายลงได้ยังไง ผิดกลับไป่ยู่ที่ยิ้มจนเรียวบางปากทำใบหน้าดูอ่อนโยน
“แล้วแรงจูงใจละ?”
“ท่านเล่าให้ฟังเองไม่ใช่เหรอ ว่านางเรียกแม่เฒ่าฝูว่าแม่ แต่กลับไม่ได้รับการยอมรับจากคนในบ้านว่าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไข โดยเฉพาะกับพวกหลานๆ ทั้งที่นางดูแลทั้งบ้าน ทั้งแม่เฒ่าฝูและกระทั่งคนสติไม่สมประกอบอย่างงักโยว ข้าว่านางจะต้องอึดอัดกับสถานะที่ไม่ได้รับการยอมรับ ซ้ำยังโดนทำเหมือนคนใช้จึงวางแผนฆ่าทุกคนเพื่อขึ้นเป็นเจ้าบ้านเอง”
“แล้วนางก็เป็นคนฆ่าทั้งห้าสิบสองศพนั่นด้วย?” หม่าจงชี้นำ
แน่น๊อน! ท่านเคยสังเกตที่มือของนางไหม มันขาดด้วนไปข้างเดียวกับที่ปรากฏอยู่ตรงสรวงแกของพวกศพทั้งหมด”
“แบบนั้นมันจะยิ่งแปลกพิกลนะครับคุณหนูหม่า มือนางขาดหายไปขาดเดียวกันกับรอยที่มี” ซาเถียนเอ่ยขึ้น
“ท่านใต้เท้ากล่าวเช่นนั้นไม่ถูก เพราะมือข้างที่ขาดหายไปนี่แหละ มันจะปรากฏขึ้นยามที่นางเป็นปีศาจไง แบบมือล่องหน พอนางกลายร่างแล้วมือก็ปรากฏขึ้นมา”
ดรุณีน้อยกล่าวพร้อมทำท่าทางแสดงวรยุทธ์มั่วๆ ไปตามภาษา ซาเถียนได้แต่ยิ้มแหยงๆ ขณะที่หม่าจงส่ายหัวไม่ยอมรับทฤษฏีบ้าบอเช่นนั้น มีเพียงไป่ยู่ที่ยิ้มอย่างเอ็นดู จนหม่าจงอดเย้าไม่ได้
“พอเป็นคุณหนูหม่ากล่าว เจ้าก็ไม่คิดจะแย้งอะไรเลยนะ”
“ไม่ใช่สักหน่อย อย่างน้อยที่นางกล่าวก็ตอบคำถามได้ทุกข้อ”
“เอ๋!” ทั้งซาเถียนและหม่าจงประสานเสียงพร้อมกัน
“เจ้าจะบอกว่าข้อสันนิษฐานของเฉินหลิน เอ่อ... คุณหนูหม่าเป็นจริงเหรอ” หม่าจงกล่าวถามอย่างตกใจ เฉินหลินยิ้มแฉ่งยักคิ้วรัวๆ ใส่หม่าจง
“ต่อให้เป็นพวกท่าน หรือกระทั่งพี่ไป่ หากกล่าวหากเสี่ยวจือมากไปกว่านี้ข้าก็จะไม่ยอมแล้วนะ” เสียงของงักฮัวกล่าวหนักแน่นแทรกขึ้นกลางวงจนทุกคนหันไปมอง พบนางกำลังยืนอยู่ด้วยท่าทางไม่พอใจ