ตอนที่แล้วบทที่ 36 เรื่องไหว้วานจากองค์จักรพรรดิ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 38 แม่มดผู้สื่อสารกับมังกร

บทที่ 37 ข่าวร้ายจากเอทาเนียร์


บทที่ 37 ข่าวร้ายจากเอทาเนียร์

เช้าวันรุ่งขึ้น ข่าวเรื่องพิธีแต่งตั้งเจ้าตำหนักถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนดได้แพร่หลายไปทั่วสถาบัน โดยให้เหตุผลว่าสไปค์ผู้เป็นว่าที่เจ้าตำหนักคนใหม่จำเป็นจะต้องเดินทางไปทำภารกิจสำคัญที่ถูกมอบหมายโดยตรงจากองค์จักรพรรดิ นักเรียนหลายคนต่างก็ลือกันไปว่าเรื่องนี้มีเบื้องหลังอยู่ แต่เมื่อได้ทราบรายละเอียดภารกิจแล้วก็ไม่ติดใจสงสัยอะไรอีก

ตามล่าหาเขี้ยวมังกรนิลกาฬ พอได้ยินชื่อนี้ก็ทำเอานักเรียนจำนวนมากอกสั่นขวัญแขวน เพราะมังกรนิลกาฬนั้นถือเป็นมังกรชั้นสูงที่ไม่ค่อยจะปรากฏตัวออกมาให้ใครเห็น ครั้งหนึ่งมีเรื่องเล่าว่าตัวมันเองเคยปรากฏตัวขึ้นเหนือน่านฟ้าจักรวรรดิซี พร้อมทั้งอาละวาดทำลายบ้านเมืองอย่างโหดเหี้ยม เข่นฆ่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปเป็นจำนวนมาก แต่ท้ายที่สุดแล้วก็โดนเหล่าสี่สรรพสิ่งจัดการได้จนต้องบินหนีไปกบดานอยู่ในถ้ำอีกครั้ง

แม้หลังจากนั้นจะไม่เคยปรากฏตัวออกมาอีกเลย...แต่เรื่องเล่าของมันก็ยังคงมีอยู่จนถึงปัจจุบันในฐานะของหนึ่งในมังกรที่ทรงอำนาจมากที่สุดบนโลกใบนี้

หลังจากที่รับคำไหว้วานจากซีลู่หนิงมาแล้ว สไปค์กับฟาร์ชูลันและซิลเวอร์ก็เตรียมตัวเก็บข้าวของเล็กน้อยเพื่อออกเดินทาง แต่ก่อนหน้านั้นจำเป็นจะต้องเดินทางเข้าพระราชวังหลักของจักรวรรดิก่อน เพราะจำเป็นจะต้องรับมอบราชโองการจากซีลู่หนิงโดยตรงอีกครั้ง เพื่อความเป็นทางการของภารกิจครั้งนี้

“นายไม่เป็นไรแล้วแน่นะ” ฟาร์ชูลันถามเพื่อนชายของตนด้วยน้ำเสียงหวาดระแวงเล็กน้อย เธอระแวงว่าในระหว่างทำภารกิจอยู่ สไปค์จะเผลอหมดอาลัยตายอยากขึ้นมาอีกหรือเปล่า

“ไม่เป็นไร ตอนนี้ดีขึ้นเยอะเลยล่ะ” สไปค์ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม เหมือนต้องการจะบอกหญิงสาวว่าไม่เป็นไรจริง ๆ

“พระราชวังอยู่ห่างจากที่นี่พอดู แต่ข้าพอจะรู้ว่ามันต้องไปเส้นทางไหนยังไงบ้าง ดังนั้นรีบเข้าเถอะ” ซิลเวอร์เป็นผู้ที่เก็บข้าวของเสร็จเป็นคนแรก เขายืนมองเพื่อนทั้งสองคนกำลังเช็คว่าควรจะเอาอะไรไปบ้างอยู่

ขณะนั้นเองฟาร์ชูลันก็ยกนิ้วเรียวสวยของเธอขึ้น วาดวงแหวนเวทเล็ก ๆ อยู่บนอากาศเบื้องหน้า แล้วทันใดนั้นมันก็ขยายตัวออกมาแล้วกลายสภาพเป็นหลุมลึกที่ภายในเต็มไปด้วยความมืดมิด โดยไม่รอช้าให้เสียเวลา ฟาร์ชูลันยกกระเป๋าสัมภาระของเธอขึ้นแล้วโยนลงไปในหลุมดำหลุมนั้นทันที

“เอาสัมภาระของพวกนายมา”

“เอ่อ...นี่มันคืออะไร อธิบาย” แม้ในใจจะพอนึกออกว่าคงเป็นเวทมนตร์แปลก ๆ อะไรอีกนั่นแหละ แต่ยังไงก็ต้องถามเผื่อไว้ก่อน

“หลุมมิติส่วนตัวของฉันเอง มันสามารถบรรจุอะไรก็ได้ไว้ข้างในนี้ เร็ว ๆ รีบยกสัมภาระมา หรือพวกนายอยากจะแบกไปเอง?”

สองหนุ่มมองหน้ากันด้วยความรู้สึกพิศวง เขายกสัมภาระของตนขึ้นก่อนจะโยนลงไปในหลุมมิติหลุมนั้นอย่างหวาดระแวง ฟาร์ชูลันเอ่ยคำพูดพึมพำอะไรบางอย่างออกมาก่อนที่หลุมมิติหลุมนั้นจะหายไป

“เอาล่ะ เตรียมออกเดินทา--”

แต่ยังไม่ทันได้พูดจนจบ หางตาของฟาร์ชูลันก็สะดุดเข้ากับอะไรบางอย่างที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก เมื่อหันไปมองก็ถึงกับเปลี่ยนสีหน้าในทันที และไม่ทันที่จะได้พูดอะไร แรงกดดันจากพลังมหาศาลก็ถาโถมเข้าใส่ฟาร์ชูลันโดยตรง

ต้นไทรใหญ่ที่ทั้งสามคนใช้หลบแสงแดดอยู่ใต้ร่มเงาถึงกับสั่นสะเทือนราวกับจะถูกหักโค่นลงมา ความรุนแรงของพลังที่กดดันร่างกายของทั้งสามคนเอาไว้นั้น มันหนักหนาจนถึงขั้นที่ทำให้ปราณไร้ลักษณ์ของสไปค์หลุดออกมาเพื่อป้องกันตัวเองโดยอัตโนมัติ ฟาร์ชูลันพยายามเร่งเร้าพลังเวทในร่างกายของตนให้สูงขึ้น สายตาก็จ้องมองไปยังต้นเหตุที่กำลังลอยตัวอยู่เหนือน่านฟ้านั่น

“หยุดเดี๋ยวนี้นะไอช่า!

เสียงตะโกนของฟาร์ชูลันทะลวงผ่านมวลหมู่พลังกดดันมหาศาลนี้เข้าไปหาผู้ที่ถูกขานชื่อออกมา

หญิงสาวนาม ไอช่า ใช้สายตาเย็นชาเหมือนกำลังมองดูสิ่งมีชีวิตที่ต่ำต้อยกว่าตนจากเบื้องบนเวหา ใบหน้าของเธอขาวเนียนเกลี้ยงเกลาไม่ต่างจากฟาร์ชูลัน เรือนผมสีม่วงที่มัดแกละขึ้นมาสองก้อนกับผมหน้าม้านั้น พอประกอบกับลักษณะใบหน้าแล้วช่างดูเหมือนกับเป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์แตกต่างจากฟาร์ชูลันลิบลับ

เสื้อผ้าที่เธอสวมก็ยังทำจากเนื้อผ้าชั้นดีแม้จะมองเห็นด้วยตาเปล่าก็พอเดาได้ สไตล์การแต่งตัวค่อนข้างคล้ายกับฟาร์ชูลัน แต่จะต่างตรงที่มูลค่าของเสื้อผ้าที่ไอช่าสวมใส่ดูจะสูงกว่าของฟาร์ชูลันเยอะ

ไอช่าร่อนตัวลงมาจากเบื้องบนกระทั่งมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าฟาร์ชูลัน พอเทียบส่วนสูงแล้วจะพบว่าไอช่าตัวเตี้ยกว่าเล็กน้อย

“เธอมาทำอะไรที่นี่?”

หลังจากที่มีเวลาพักหายใจได้ ฟาร์ชูลันก็เริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับอีกฝ่ายทันที พอได้ยินคำถามของฝ่ายตรงข้าม ไอช่าก็เมินหน้าหนี สายตาของเธอหันไปจ้องที่ชายหนุ่มสองคนที่ยืนงงอยู่ด้านหลัง

“ฉันเองก็ไม่นึกหรอกว่าผู้สืบทอดนามแห่งเอนด์เลสจะมามัวทำอะไรไร้สาระอยู่กับพวกมนุษย์พวกนี้อยู่” น้ำเสียงของไอช่าฟังดูก็รู้ว่ากำลังเหยียดหยามชายหนุ่มทั้งสองอย่างเห็นได้ชัด สายตาที่เธอใช้เพื่อจ้องมองมาดูราวกับไม่ได้เห็นทั้งสองคนเป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกันเลย

“อย่าพูดแบบนั้นนะไอช่า ที่พี่ทำอยู่ก็คือภารกิจ เข้าใจมั้ย ภารกิจ!”

“เฮอะ พี่ออกจะเป็นคนฉลาด ทำไมถึงไม่คิดหาวิธีการอะไรก็ได้ที่มันไม่ต้องมาข้องเกี่ยวกับเจ้าพวกนี้กันล่ะ”

“อย่าพูดบ้า ๆ ได้มั้ย เธอไม่เข้าใจรึไงว่าภารกิจนี้มันต้องทำอะไรบ้าง”

“ฉันไม่เข้าใจหรอก และไม่อยากเข้าใจด้วย พวกมนุษย์มันน่ารังเกียจ ให้ตายฉันก็ไม่มีทางทำแบบที่พี่ทำหรอก” สายตาของไอช่าทิ่มแทงเข้ามายังชายหนุ่มทั้งสองอีกครั้ง “แค่มองด้วยตาเปล่ายังรู้สึกขยะแขยง พอรู้ว่ากำลังสูดอากาศหายใจร่วมกันอยู่ก็รู้สึกคันจมูกขึ้นมาแล้ว”

“เฮ้ ๆ ข้าไม่สนหรอกนะว่าเจ้าจะเป็นใคร แต่มาเสียมารยาทกับคนที่พึ่งเจอหน้ากันนี่มันไม่เกินไปหน่อยเหร---”

ตึง!

          ซิลเวอร์ที่อดทนฟังคำพูดของไอช่าต่อไปไม่ได้ ก้าวเท้าเดินเข้ามาหมายจะเอาเรื่องผู้หญิงคนนี้ แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรจบร่างของเขาก็ถูกพลังมหาศาลบางอย่างกดลงกับพื้นทันที ฟาร์ชูลันรีบหันไปหาไอช่าก่อนจะตวาดเสียงดัง “หยุดเดี๋ยวนี้นะไอช่า!”

“มันบังอาจมาพูดกับฉันก่อนนี่ แค่ไม่ฆ่าทิ้งในทันทีก็บุญหัวแล้ว”

“ถ้ายังไม่หยุดอีก อย่าหาว่าฉันไม่เตือนนะไอช่า”

สิ้นสุดคำพูดของฟาร์ชูลัน พลังเวทในกายเธอก็เริ่มพรั่งพรูออกมาอย่างไม่อาจหยุดยั้ง ไอช่าเปรยตามองดูฟาร์ชูลันที่เริ่มมีอารมณ์โกรธขึ้นมาก่อนจะพ่นลมหายใจแล้วคลายพลังที่กดร่างของซิลเวอร์ออกไป สไปค์มีความรู้สึกเหมือนหายใจสะดวกขึ้นมา ทางด้านซิลเวอร์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ถ้ายังโดนกดร่างอยู่แบบนั้นต่อไปล่ะก็ มีหวังได้ซี้แหงแก๋แน่ ๆ

“นี่มันเรื่องอะไรกันฟาร์ชูลัน” จนถึงจุดหนึ่งแล้วถ้าไม่ถามให้รู้เรื่องก็คงจะไม่ได้ ฟาร์ชูลันหันหน้าไปมองทางสไปค์ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความกังวลใจต่อเรื่องที่จะบอกต่อไปนี้

“เธอคือน้องสาวของฉัน ชื่อว่าไอช่า”

เพียงเท่านั้นดวงตาของสองหนุ่มก็แทบจะทะลักออกมาจากเบ้า แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรออกมา ไอช่าผู้เป็นน้องสาวของฟาร์ชูลันก็แทรกกลางเข้ามาเสียก่อน ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความเย็นชา เย่อหยิ่ง เธอใช้สายตามองราวกับเห็นทั้งสองคนเป็นเพียงก้อนของเสียเท่านั้น

“ถึงกับกล้าเรียกชื่อของพี่เชียวเหรอ พวกแกบังอาจนัก”

“เดี๋ยว ๆๆ น้องสาวเจ้าจะโหดร้ายเกินไปหน่อยไหม?”

“ใจเย็นก่อนไอช่า อันดับแรกเลยนะ ผู้ชายหัวน้ำตาลคนนั้นคือคนที่ท่านพ่อมอบหมายภารกิจให้ข้ามาปกปักษ์ในฐานะแม่มดผู้พิทักษ์ เข้าใจนะ? ส่วนคนหัวแดงอีกคนก็... เอ่อ”

“อย่าทิ้งช่วงนานสิเฮ้ย! กับข้าทำไมเจ้าต้องคิดเยอะขนาดนั้น? ดูน้องสาวเจ้าสิ จ้องข้าเขม็งจนแทบจะฆ่ากันตายด้วยสายตาอยู่แล้วนั่น! พูดสิ พูดอะไรก็ได้ให้ข้าหลุดพ้นจากสายตานั่น!”

“เอาเป็นว่าทั้งสองคนไม่ได้มีพิษมีภัย คนทางซ้ายคือคนที่ฉันต้องปกป้อง ส่วนคนทางขวาเป็นผู้ติดตามของฉัน เข้าใจนะไอช่า”

“เดี๋ยว สุดท้ายข้าก็เป็นผู้ติดตาม? แล้วผู้ติดตามนี่มีความหมายเดียวกับเบ๊หรือเปล่า?”

“เอาน่า เจ้ารอดจากอันตรายมาได้ก็ดีแล้วนี่” สไปค์หันไปพูดกับซิลเวอร์ เขาแอบหัวเราะออกมาเบา ๆ

“แหงสิวะ ก็เจ้าไม่ได้ถูกปฏิบัติเหมือนข้านี่หว่า พอรู้ว่าเจ้ามีฐานะให้ปกป้องอะไรนั่นปุ๊บยัยหนูนั่นก็เบนสายตามาจ้องข้าทันที!” เสียงโวยวายของซิลเวอร์ไม่ได้ดังเข้าหูหญิงสาวทั้งสองคนเลย อาจเป็นเพราะไม่กล้าพูดเสียงดังเพราะกลัวอีกฝ่ายจะได้ยิน “เวทมนตร์นี่มัน... เฮ้อ พวกแม่มดนี่น่ากลัวแบบนี้กันทุกคนเลยรึไง?”

“เอาล่ะ เข้าเรื่องก่อนดีกว่า” ฟาร์ชูลันไม่สนใจเสียงโหยหวนของซิลเวอร์ เธอหันไปสนใจทางไอช่าอีกครั้ง “ทำไมเธอถึงมาที่นี่ ไม่อยู่ดูแลท่านพ่อกับท่านแม่?”

“ฉันมาที่นี่ตามคำสั่งของท่านพ่อ เพราะมีเรื่องจะมาบอกกับพี่ มันเป็นเรื่องสำคัญ” ใบหน้าของไอช่าดูจริงจังมากขึ้น จนฟาร์ชูลันสัมผัสได้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ

“เมื่อเดือนก่อนมีกองทัพมารจำนวนมหาศาลบุกเข้ามายังดินแดนเอทาเนียร์ของพวกเรา พวกมันบุกเข้าทำลายและเข่นฆ่าพวกเราไปหลายคน ผู้นำตระกูลทั้งสามคนต้องร่วมมือกันในการขับไล่พวกมันออกไปจากที่นี่” แววตาและน้ำเสียงของไอช่าเต็มไปด้วยความโกรธแค้น ในขณะที่ฟาร์ชูลันแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

“อะไรกัน แม้กระทั่งเอทาเนียร์ก็โดนรุกรานงั้นเหรอ พวกมันเข้าไปที่นั่นได้ยังไง!”

“เรื่องนี้ฉันเองก็ไม่รู้หรอก แต่เพราะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ท่านพ่อจึงออกคำสั่งให้ฉันมาตามพี่กลับไปช่วยการศึกที่นั่นก่อน พอเสร็จเรื่องเสร็จราวฉันก็รีบตรงดิ่งมาที่นี่ทันทีเลยไง” แม้ก่อนหน้านี้จะพูดด้วยเสียงขุ่นแค้นเคืองใจแค่ไหน แต่พอมาถึงประโยคที่สื่อว่าออกมาตามหาพี่สาว น้ำเสียงของไอช่าก็ร่าเริงขึ้น

“ไอช่า...” ฟาร์ชูลันจับอารมณ์จากน้ำเสียงนั้นได้ และรู้ว่าน้องสาวของเธอคนนี้คิดถึงเธอและอยากพบหน้ามาโดยตลอด

บ้านเมืองของเธอก็ถูกรุกรานในช่วงเวลาเดียวกับที่จักรวรรดิซีถูกรุกรานเหมือนกัน แต่สิ่งที่เธอตกใจยิ่งกว่าก็คือการที่เผ่ามารรู้วิธีที่จะเข้าไปยังดินแดนมายาอย่างเอทาเนียร์ ซึ่งไม่เปิดทางเข้าให้กับใครอื่นนอกเสียจากผู้ใช้เวทมนตร์ด้วยกันเอง ฟาร์ชูลันทำหน้าครุ่นคิดอย่างจริงจัง

หรือโลกใบนี้จะใกล้ถึงคราววิกฤติแล้ว...?

            “เอาล่ะ รีบกลับกันเถอะค่ะพี่ ท่านพ่อกำลังรออยู่” ไอช่ายื่นมือเข้าไปจับแขนของฟาร์ชูลันก่อนจะออกแรงดึงมือเธอมา แต่แรงของเธอกลับดึงไปได้แค่แขน เพราะร่างของฟาร์ชูลันยังคงถ่วงรั้งอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน เมื่อเห็นแบบนั้นไอช่าก็อดสงสัยไม่ได้ “ท่านพี่?”

“ฉันเข้าใจสถานการณ์บ้านเมืองของเราในตอนนี้ แต่ขอโทษจริง ๆ ฉันยังกลับไปกับเธอไม่ได้” ฟาร์ชูลันรู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังฝืนพูดความรู้สึกขัดแย้งนี้ออกมา และเพราะเหตุนั้นสีหน้าของไอช่าที่แสดงออกตอนนี้จึงเปลี่ยนไปอีกทิศทางหนึ่งทันที

“เป็นเพราะสองคนนั่นหรือ? ถ้าใช่ ฉันจะฆ่ามันซะเดี๋ยวนี้”

“ไอช่า! ถ้าเธอทำแบบนั้นล่ะก็ เธอได้มีปัญหากับพี่แน่” ฟาร์ชูลันรีบพูดต่อ “ตอนนี้ฉันติดภารกิจบางอย่างที่ต้องทำให้เสร็จก่อน ขอเวลาฉันไม่เกินหนึ่งสัปดาห์แล้วฉันจะกลับไปช่วยเหลือที่บ้านแน่ ฉันสัญญา”

“หนึ่งสัปดาห์? ให้ตายเถอะพี่ บ้านเมืองเรากำลังวุ่นวาย พี่ซึ่งเป็นผู้นำคนต่อไปของตระกูลเราจะมัวมาให้ความสำคัญกับภารกิจอื่นแบบนี้ไม่ได้!”

“ไอช่า ฟังพี่ให้ดีนะ” ฟาร์ชูลันตรงเข้าไปหาน้องสาวตนก่อนจะใช้มือทั้งสองจับไหล่เล็ก ๆ ของไอช่าเอาไว้

“แม่มดอย่างเราถือภารกิจสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง เรื่องนี้ท่านพ่อต่างก็สอนเรามาตั้งแต่ยังเด็ก เธอจำไม่ได้?”

“แน่นอนฉันจำได้ แต่เรื่องนั้นกับเรื่องนี้มันไม่เหมือนกัน พี่ควรจะวางน้ำหนักบ้านเมืองและตระกูลของเราเป็นอันดับหนึ่งเหนือเรื่องอื่น!” เสียงของไอช่าเริ่มดังขึ้น ซิลเวอร์รู้สึกหวาดระแวงจนสัมผัสได้ว่าขนทั่วร่างกำลังลุกชูชันขึ้นอีกครั้ง

“ยังไงตอนนี้พี่ก็ยังกลับไม่ได้จริง ๆ แต่พี่สัญญากับเธอว่าไม่เกินหนึ่งสัปดาห์ พี่จะรีบกลับไป เชื่อพี่เถอะน่า!”

“ไม่มีทาง พี่เห็นสองคนนั่นสำคัญกว่าบ้านเมืองและตระกูลเราเหรอคะ ถ้าแบบนั้นล่ะก็ฉันไม่ยอมแน่” ร่างกายของไอช่าปรากฏออร่าพลังเวทเอ่อล้นออกมาจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า พลังนั้นเพิ่มพูนขึ้นมหาศาลในพริบตาเดียว ร่างกายของสไปค์กับซิลเวอร์พลันรู้สึกหนักขึ้นมาอีกครั้ง

“ปัดโธ่ไอช่า ถ้างั้นเธอก็มาช่วยฉันทำภารกิจนี่ให้มันเสร็จซะสิ! แล้วหลังจากนั้นจะหิ้วฉันไปไหนก็เชิญเลย!” ฟาร์ชูลันเองก็เริ่มโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว เธอตวาดใส่ไอช่าด้วยอารมณ์ชั่ววูบ โดยที่ไม่นึกเลยว่าคำพูดนี้จะทำให้ไอช่าลดพลังเวทของตนเองลงมา ผู้เป็นน้องใช้สายตาเย็นเยียบจ้องไปที่ใบหน้าของฟาร์ชูลัน

ณ ตอนนั้นฟาร์ชูลันเหมือนจะรู้สึกตัวว่าได้ทำอะไรบางอย่างพลาดไป...

“ถ้าแบบนั้นก็ตกลงค่ะ”

“เดี๋ยว! เดี๋ยวก่อนไอช่า! เมื่อกี้พี่แค่...เอ่อ คือ”

“อะไรคะ? นี่เป็นสันติวิธีที่ดีที่สุดแล้วนะ ภารกิจของพี่คืออะไร? ฉันจะรีบจัดการมันให้เสร็จ ๆ เพื่อจะได้พาพี่กลับไปสักที” บรรยากาศรอบตัวไอช่าเปลี่ยนไปเหมือนกับหนังคนละม้วน สไปค์เผลอหัวเราะออกมาแห้ง ๆ ในขณะที่ซิลเวอร์นั้นกำลังสับสนจนไม่รู้จะเรียบเรียงคำพูดอะไรออกมาในสถานการณ์แบบนี้

แค่คุยกันเฉย ๆ ไม่นานก็ทำเอาขนลุก ตัวสั่น ซ้ำยังเกือบตายอยู่รอมร่อ นี่ถ้าปล่อยให้แม่หนูน้อยคนนี้ร่วมทางไปด้วยล่ะก็ จะอันตรายแค่ไหน ฟาร์ชูลัน...เธอพูดอะไรออกมา!

แม่มดผู้พี่หันหน้ามามองสหายชายหนุ่มทั้งสองคนด้วยแววตาที่สับสน เหงื่อของเธอไหลซึมผ่านร่มผ้าออกมา

“เอ่อ...องค์จักรพรรดิคงไม่ว่าอะไรสินะถ้าจะให้มีผู้ร่วมทางเพิ่มอีกสักคน”

“องค์จักรพรรดิบอกข้าว่าจะพาไปกี่คนก็ได้ ขอแค่ทำภารกิจสำเร็จกลับมาก็พอ” สไปค์ตอบกลับด้วยสีหน้าไม่รู้สึกรู้สาอะไร

“เดี๋ยวสิ เจ้าจะโกหกบ้างข้าก็ไม่ว่าอะไรหรอก บอกไปเลยว่าองค์จักรพรรดิอนุมัติแค่สามคนเท่านั้น อะไรแบบนี้น่ะ”

“สายไปแล้วย่ะ ไอช่าได้ยินหมดแล้ว เธอหูดีมากนะ เจ้าพูดอะไรก็ได้ยินหมดนั่นแหละ”

“ล้อเล่นใช่มั้ยเนี่ย...”

ฟาร์ชูลันถอนหายใจพลางหันไปคุยกับไอช่าอีกครั้ง ใบหน้าของไอช่าหากมองดูให้ดีก็ไม่แตกต่างไปจากเด็กผู้หญิงน่ารักคนหนึ่ง แม้ว่านิสัยของเธอจะค่อนข้างสุดโต่งอยู่บ้างก็ตาม

“ก่อนอื่นต้องไปรับราชโองการจากองค์จักรพรรดิก่อน” เหมือนดวงตาของฟาร์ชูลันจะแฝงคำพูดสื่อสารบางอย่างที่มีเพียงไอช่าเท่านั้นที่เข้าใจ ผู้เป็นน้องสาวพยักหน้าขานเสียงรับก่อนจะเดินออกห่างจากทั้งสามคนออกมายังพื้นที่โล่งกว้างใกล้ ๆ เธอยกนิ้วขึ้นไปที่ริมฝีปากก่อนจะเป่าเสียงแหลมปรี๊ดออกมาดังลั่น

“น้องสาวของเธอกำลังทำอะไรน่ะ” ซิลเวอร์คือผู้ที่สงสัยในการกระทำนี้เป็นคนแรก

“เดี๋ยวก็รู้” ฟาร์ชูลันตอบกลับสั้น ๆ สีหน้ามีรอยยิ้มเยาะผุดออกมา พอเห็นแบบนั้นซิลเวอร์ก็รู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีบางอย่าง อย่าว่าแต่เขาคนเดียวเลย แม้แต่สไปค์ก็รู้สึกแบบนั้นเช่นกัน

ทันใดนั้นทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงบางอย่างดังกระหึ่มเป็นจังหวะจากบนท้องฟ้า มันอยู่สูงเหนือหมู่เมฆขึ้นไปอีก แต่ขนาดมันอยู่สูงถึงขนาดนั้นทั้งคู่ก็ยังได้ยินเสียงนี้ดังลงมาได้มากขนาดนี้ เจ้าของเสียงปริศนานี้คือสิ่งใดกันแน่

โดยไม่รอช้า...เจ้าของเสียงก็ปรากฏกายออกมา ร่างที่ประจักษ์แก่สายตาหลังโฉบผ่านกลุ่มเมฆจนแตกกระเจิงนั้น ทำให้ในใจของชายหนุ่มทั้งสองเต้นตึกตักรัวเร็วราวกับยืนอยู่ท่ามกลางวงดนตรีร็อก เพราะร่างนั้นมีขนาดใหญ่โตยิ่งกว่ามนุษย์หลายเท่า ปีกสองข้างของมันแผ่ขยายกว้างขวางยิ่งกว่าร่างกาย แผงคอปกคลุมไปด้วยเกล็ดแข็งในขณะที่ผิวของมันมีสีแดงเพลิงราวกับถูกย้อมเอาไว้ ขาทั้งสี่ของมันหนาไปด้วยมวลกล้ามเนื้อบ่งบอกถึงพลังที่มีมหาศาล

พอมันอ้าปากขึ้นก็ส่งเสียงคำรามลั่นท้องฟ้า ยิ่งมันกระพือปีกมากเท่าไหร่ กระแสลมก็ยิ่งปั่นป่วนมากเท่านั้น

ไม่นานนักร่างมหึมานั้นก็ร่อนตัวลงมา ขาที่ใหญ่โตพอเมื่อเหยียบลงมาถึงกับทำให้พื้นระเบิดจนกลายสร้างกลุ่มควันและเศษฝุ่นคลุ้งกระจัดกระจาย

“มะ...ไม่น่าเชื่อ”

“มังกร!”

ท่าทีแตกตื่นของสองหนุ่มทำให้ฟาร์ชูลันยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ

“เอาล่ะ”

ไอช่าหันมามองทั้งสามคนด้วยใบหน้าเรียบเฉย ไม่ได้ตกใจกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่นี้เลยสักนิด

“จะไปที่ไหนกันดีล่ะ?”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด