บทที่ 30 : ดอกไม้ แสงจันทร์ และการอาลัยจาก
บทที่ 30 : ดอกไม้ แสงจันทร์ และการอาลัยจาก
ในคืนของงานเทศกาลและการประลองที่จบลงไป แม้ไม่ราบรื่นเท่าที่ควรแต่ก็ถือว่ายอดเยี่ยมสำหรับครั้งแรกในการรองรับแขกจำนวนมากขนาดนี้ เพราะแทบจะไม่มีเรื่องใดให้คนภายนอกติติง จะมีก็แค่ปัญหาภายในอย่างการที่ฮอรัสต้องเสียแขนไประหว่างการประลอง หรือเอเดลที่หมอบกระแตหมดสภาพจนต้องหยุดการประลองกลางคัน
นอกเหนือจากนั้นแล้ว การวางแผนการจัดการทดสอบรับนักผจญภัยใหม่ในปีนี้ถือว่ายอดเยี่ยมและมีมาตรฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากไม่นับพวกที่เดินออกไปเพราะหมดกำลังใจเองในการสอบรอบแรก ระบบการคัดเลือกของเทรียลก็ไม่ตัดใครออกเลยแม้แต่คนเดียว ทุกคนที่เข้าสอบจนจบกระบวนการจะได้รับอัตตะศิลาในตอนบ่ายของวันพรุ่งนี้พร้อมคำแนะนำในด้านต่างๆ โดยตรงเป็นรายบุคคลจากข้อมูลที่นักวิเคราะห์ประมวลผ่านการสอบทั้งสองรอบ เพื่อเอาไปพัฒนาปรับใช้หรือระวังจุดอ่อนของตัวเองในอนาคต
ขณะเดียวกันไม่เพียงแค่ส่วนของสมาคมนักผจญภัยเท่านั้นที่ในปีนี้ทำได้ดี แต่ทางฝั่งเพื่อนบ้านอย่างสมาคมการค้าและพาณิชที่รับผิดชอบการจัดงานเทศกาลอันเป็นงานหลักของคืนนี้เองก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยม
ด้วยความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ จากสมาคมนักผจญนักผจญภัย อย่างการยืมตัวพ่อครัวระดับตำนานถึงขนาดเป็นหนึ่งในสามวีรบุรุษให้มาช่วยจัดเตรียมอาหาร รวมไปถึงการแข่งขันประมูลยาคุณภาพสูงของเอลีอาและงานแกะสลักรูปหินของกูลน์เองก็เป็นที่นิยม
โดยเฉพาะการจัดดอกไม้และเตรียมงานต่างๆ ที่ไม่มีข้อผิดพลาดเลยแม้แต่น้อย เป็นที่ถูกอกถูกใจนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาเยี่ยมเยือนหมู่บ้านในฝันที่มีชื่อว่าเทรียลแห่งนี้เป็นอย่างมาก ถึงขนาดที่ว่านักวิเคราะห์ฝั่งสมาคมพาณิชนั้นวิเคราะห์ไปถึงโอกาสในการเติบโตของมูลค่าตลาดการท่องเที่ยวของเทรียล ว่าหลังจากนี้จะเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าร้อยละสิบเป็นผลมาจากชื่อเสียงที่กระจายออกไปไกลมากขึ้น
ยังไม่รวมผลพลอยได้ อย่างการเปิดเส้นทางการค้าใหม่ของขบวนคาราวานสินค้าจากตะวันออก ซึ่งแต่เดิมเลือกใช้เส้นทางผ่านเมืองนอร์รัค แต่ตอนนี้เพิ่มเส้นทางที่ผ่านเทรียลขึ้นมาอีกหนึ่งสายเพราะความน่าเชื่อถือด้านความปลอดภัยที่มากขึ้น รวมไปถึงโอกาสด้านการค้ากับเทรียลซึ่งมีกลุ่มลูกค้าหลากหลายเผ่าพันธุ์ในฐานะเมืองกลางอีกทั้งยังมีทรัพยากรท้องถิ่นที่มีราคาอย่างดอกเหมันต์ขาวและไม้เมเปิลยักษ์
ทั้งหมดนี้คือการพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดในหลายๆ ด้าน ภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์เพราะแต่เดิมเทรียลเองถือว่ามีความพร้อมในด้านต่างๆ มากอยู่แล้ว ทั้งความหลากหลายทางวัฒนธรรม สมบัติและทรัพยากรธรรมชาติที่มีค่า รวมทั้งระบบปกครองตนเองที่ไม่พึ่งพาคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมากเกินไป แถมสมาคมทั้งสองก็มีศักยภาพในด้านการจัดการเพียงแค่ขาดอะไรบางอย่างไปเท่านั้น สำหรับพ่อค้าแน่นอนพวกเขาขาดกำลังซื้อและฐานคู่ค้า ส่วนสมาคมนักผจญภัยก็ขาดนักผจญภัยระดับสูงที่มีชื่อเสียง
เช่นนี้เองเหตุการณ์ถูกบุกโจมตีในคราวนั้น จึงเรียกได้ว่าเป็นการทุบคอขวดแก้ปัญหาครั้งใหญ่ ทำให้เกิดการพัฒนาแบบลูกโซ่ อีกทั้งชาวบ้านเองก็ไม่ได้ต่อต้านความเปลี่ยนแปลง เพราะอย่างไรพวกเขาก็อยู่กับวิถีที่ต้องปรับตัวอยู่ร่วมกับวัฒนธรรมอันแตกต่างหลากเผ่าพันธุ์แบบนี้มานานแล้ว แถมปกติก็มีคนจากต่างหมู่บ้านแวะเวียนมาอยู่เรื่อยๆ ไม่ขาด แค่รองรับคนมากขึ้นหลากหลายขึ้นคงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร และในคืนนี้ก็ถือว่าเป็นตัวอย่างชั้นดีว่าเทรียลมีศักยภาพเพียงพอ
แต่ถึงเพิ่งมีงานเทศกาลใหญ่คึกคักเพียงใด กระนั้นอย่างไรเมื่อเทศกาลจบลงบรรยากาศก็เปลี่ยนกลับคืนกลายเป็นความวิเวกเงียบเหงา ด้วยเวลานั้นล่วงเลยยามเที่ยงคืนมาได้พักใหญ่ ต่างคนต่างก็แยกย้ายกันกลับที่พักนานแล้วจะเหลือก็เพียงชาวบ้านไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังไม่นอน บ้างอยู่ชมจันทร์ บ้างก็ยังเก็บรวงร้านจัดการทำความสะอาดพื้นที่ของตัวเองไม่เสร็จ บ้างก็เป็นนักผจญภัยอาสาเฝ้าระวังยามดึก และบ้างก็กำลังรอให้คนใกล้ชิดหลับสนิท
สายตาสีนิลมณีของหุ่นสงครามทำให้บอกได้ยากว่ามันกำลังจับจ้องอะไรอยู่ แต่หากให้คาดเดาปัจจัยแวดล้อมทั้งหมดในห้องเล็กๆ ของส่วนพยาบาล ยังไงก็คงไม่พ้นร่างของสองสาวที่นอนสลบไสลอยู่ในห้วงนิทราหลังจากที่ผ่านความวุ่นวายมามากมายตลอดวัน
ฮอรัสจ้องมองภาพของเอลีอาซึ่งนั่งเก้าอี้ฟุบศีรษะหลับอยู่ข้างเตียงแพทย์ที่เอเดลนอนอยู่ด้วยใบหน้านิ่งเฉย แต่ดวงตาสะท้อนประกายบางอย่าง ก่อนหน้านี้เพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงก่อนทั้งสองยังนั่งเถียงกันหลากหลายเรื่องรวมทั้งเรื่องของตัวเขาอยู่เลย แต่ตอนนี้สิ่งที่เขาเห็นคือความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูก
ส่วนหนึ่งในตัวฮอรัสบอกว่าเขาไม่อาจเข้าใจรูปแบบการปฏิสัมพันธ์และสายใยเชื่อมโยงระหว่างบุคคลเช่นนี้ ทว่าอีกฟากหนึ่งเขากลับคลับคล้ายจะเข้าใจมันดีราวกับรู้ทุกอย่างอยู่แล้วตั้งแต่แรก เป็นความขัดแย้งในกระบวนการคิดที่เกิดขึ้นตลอดเวลานับตั้งแต่เขาตื่นขึ้นจากอ้อมแขนของอาร์มุน
ฮอรัสมองจ้องมองทั้งสองเงียบๆ ครู่หนึ่งแล้วหันไปมองแจกันดอกไม้ข้างเตียงแพทย์ที่ดูสวยและไม่รู้จักเหี่ยวเฉาแม้จะขาดการดูแลเพราะเป็นเพียงดอกไม้ปลอมที่ปั้นขึ้นมาจากดินเผา ตบแต่งด้วยลวดและผ้า
ยิ่งเขามองดอกไม้ปลอมในแจกันก็ยิ่งเห็นว่ามันมีฝุ่นจับหนา บ่งบอกว่าคงจะไม่มีใครเหลียวแลเอาใจใส่มันมานานพอดู บางทีอาจจะเพราะความที่มันไม่รู้จักเหี่ยวเฉา งดงามเป็นอมตะนั้นเองก็ได้ที่ทำให้ใครๆ ต่างก็หลงลืมไปว่ามันเองก็ควรจะได้รับการดูแลเช่นกัน
ฮอรัส ก้าวเท้าเดินเข้าไปที่แจกันใบนั้นอย่างเงียบเชียบ ใช้แขนข้างขวาที่เหลืออยู่ของตัวเองหยิบดอกไม้นั้นขึ้นมาเช็ดกับชายเสื้ออย่างแผ่วเบาจนฝุ่นที่เกาะอยู่หายไปแล้วจึงวางมันกลับลงไปในแจกันอย่างเดิม ก่อนจะเดินถอยออกมาเล็กน้อยมองดูดอกไม้ที่มองผ่านๆ ก็ไม่ได้สวยกว่าเดิมซักเท่าไหร่แต่อย่างน้อยมันก็ได้รับการเอาใจใส่
ในความเงียบ เขาหันกลับมายังสองแม่ลูกอีกครั้งเพื่อใช้ส่วนรับสัมผัสตรวจดูจังหวะการเต้นของหัวใจว่าทั้งคู่หลับสนิทแล้ว และเดินไปดับตะเกียงคริสตัลดวงเล็กๆ สำหรับให้แสงสลัวเทียบเท่าเทียนไขสามเล่มเท่านั้น ด้วยอย่างไรก็ไม่ได้ใช้ ก่อนจะไปลากเอาผ้าห่มที่พับกองอยู่ปลายเตียงขึ้นมาห่มให้กับเอลฟ์สาวและเอเดล รวมทั้งเก็บผืนหนึ่งขึ้นมาห่มตัวเขาเองด้วยเพื่อใช้อำพรางเป็นผ้าคลุมปิดบังแขนที่ขาดไป
หลังจากที่ปกคลุมร่างของตัวเองดีแล้ว ฮอรัส จึงละห้องนั้นออกมาด้านนอกอย่างเงียบเชียบ มองจันทร์เพ็ญดวงใหญ่บนท้องฟ้าอึดใจหนึ่งก่อนจะเดินต่อไปตามทางหลักของหมู่บ้านมุ่งหน้าไปยังทางออกฝั่งตะวันตกติดธารน้ำอย่างไม่รีบร้อน
ชาวบ้านบางคนที่ยังไม่นอนเก็บกวาดขยะจากงานเทศกาล พอเห็นฮอรัสออกมาเดินเตร็ดเตร่ดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้ก็แปลกใจ แต่ไม่สงสัยจึงส่งเสียงทักทายออกไปตามปกติ ถึงน้ำเสียงจะออกชัดว่าหาวง่วงจนแทบจะฟังไม่รู้เรื่องก็ตาม
ฝ่ายฮอรัสได้ยินแต่ไม่ได้ตอบกลับ เขาเพียงแค่หยุดแล้วหันไปพยักหน้ารับตามมารยาทที่เอลีอาสอนเท่านั้น ก่อนจะเดินต่อไปยังเป้าหมายของตัวเอง ซึ่งก็ใช้เวลาเพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้น เขาก็ถึงที่หมาย
มันเป็นปลายทางเข้าหมู่บ้านฝั่งตะวันตกติดธารน้ำที่ไหลเอื่อยๆ มาจากบนภูเขา เป็นธารน้ำสายเดียวกันกับที่ตัดผ่านสวนของเอลีอาก่อนจะไหลมาถึงส่วนนี้ของหมู่บ้านซึ่งเป็นชุมชนชาวเกล็ดของเทรียล สังเกตได้จากสิ่งปลูกสร้างที่แปลกไปจากส่วนอื่นๆ เพราะสร้างจากดินและกระดูกสัตว์เป็นส่วนใหญ่ บ้างก็เป็นกระโจมทำจากหนังสัตว์ที่ค้ำเอาไว้ด้วยงาช้างขนาดยักษ์ มีหอคอยสูงทำจากไม้อย่างง่ายตั้งเด่นตระหง่านอยู่ห่างจากลำธารไม่กี่เมตร
หากไม่รู้คงคิดว่าหอคอยนี้ คือหอระวังภัยของสมาคมนักผจญภัย แต่หากรู้จักวัฒนธรรมของชาวเกล็ดก็คงจะบอกได้ไม่ยากว่าหอนี้มีไว้เพื่อใช้ในบางโอกาสเท่านั้น และโอกาสที่ว่าก็คือพิธีทดสอบความกล้าเพื่อจะได้ชื่อว่าเป็นนักล่าแห่งบึงน้ำอย่างเต็มตัว โดยการให้เด็กวัยเริ่มแตกหนุ่มสาวกระโดดจากหอสูงที่ว่านั่นลงมายังลำธารด้านล่าง ฟังดูอันตรายแต่ก็ยังไม่เคยมีใครตายจากพิธีที่ว่านี้สักคน ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะชาวเกล็ดมีร่างกายแข็งแรงกว่าเผ่าอื่นและมีเกล็ดปกคลุมร่างกายช่วยรับแรงกระแทกเป็นทุนอยู่แล้วก็ได้
แต่ฮอรัสไม่ได้มาที่นี้เพราะสนใจธารน้ำหรือหอคอย เขาเพียงเดินไล่ไปตามริมธารใช้ดวงตามณีสอดส่องมองตามกอหญ้าคล้ายกำลังมองหาบางอย่างอยู่ แต่ผ่านมาหลายนาทีแล้วก็ยังดูเหมือนว่าแม้แต่ส่วนรับสัมผัสอันเฉียบคมของเขาก็ยังไม่สามารถหาสิ่งที่ต้องการเจอได้ จนกระทั่งตอนนั้นเองมีเสียงแหบแห้งแบบชาวเกล็ดตะโกนลงมาจากหอคอย
“ไม่ต้องหาหรอกมันไม่เหลือแล้วล่ะ พวกเขาตัดเอาไปใช้ในงานเทศกาลกันจนเกลี้ยงแล้ว” ชายหนุ่มตัวสูงเผ่าเกล็ดคนหนึ่งชะโงกหัวตะโกนลงมาทางฮอรัส เรียกความสนใจให้เขาต้องเงยหน้าเอียงคอมองด้วยความสงสัย
แล้วในชั่วขณะจระเข้หนุ่มผู้นั้นพลันทิ้งตัวลงมาจากหอ จมดิ่งลงไปในลำธารอย่างแรงจนน้ำสาดกระเซ็นไปทั่วทั้งบริเวณ น่ากลัวจะไม่โผล่ขึ้นมาอีก
แต่เพียงไม่นานนักเขาก็เดินขึ้นจากน้ำเผยให้เห็นว่าเปลือยท่อนบนอวดมัดกล้ามเป็นสันเป็นเนินของตัวเอง เดินไปยังบันใดฐานของหอโดดซึ่งมีกล่องเก็บของกับเสื้อผ้ารองเท้าขนาดพอดีตัวชายหนุ่มวางอยู่ บ่งบอกว่าเขาตั้งจะมากระโดดน้ำกลางแสงจันทร์อยู่แล้วตั้งแต่แรก
“ท่านคงเป็นฮอรัสที่คนเขาพูดถึงกันใช้รึเปล่า...” จระเข้หนุ่มเกล็ดสีดำอมเขียวเข้มสะท้อนแสงนวลจากดวงจันทร์เอ่ยถามคำถามพลางหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดตัว
แต่ไม่มีคำตอบใดๆ จากฮอรัสเป็นคำพูด เขาเพียงนิ่งเฉยเก็บข้อมูลของอีกฝ่าย จนเสียงหัวเราะในลำคอดังขึ้น “ฮะฮ่า พูดน้อยแบบนี้ ใช่แน่ ท่านคือฮอรัสที่คนเขาพูดถึงกันจริงๆ ด้วย”
“ต้องการอะไรรึเปล่า” ฮอรัสตัดสินใจเอ่ยออกมาในที่สุด เมื่อการเก็บข้อมูลเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอจะใช้ประมวลสถานการณ์ได้
“ข้าหรอ? เปล่า” จระเข้หนุ่มเช็ดตัวจนแห้งดีแล้วก็สวมเสื้อ ใส่รองเท้าพร้อมกับตอบคำถามไปด้วย “ท่านต่างหากเล่า” เขาว่าพร้อมกับอุ้มกล่องเก็บของสี่เหลี่ยมขนาดไม่ใหญ่ทำจากไม้ขึ้นมา แล้วเดินไปหาฮอรัส
ฝ่ายฮอรัสเองไม่ได้เตรียมพร้อมต่อสู้หรือระแวดระวังอะไรเพราะประเมินแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นมิตร
“นี่... ข้าเก็บไว้ให้แล้ว” จระเข้หนุ่มว่าพร้อมกับเปิดกล่องเก็บของหยิบเอากอช่อดอกไม้สีขาวที่มักจะขึ้นอยู่ริมลำธารขึ้นมาแล้วยื่นมันให้กับฮอรัส “เขามาตัดไปใช้ในเทศกาลกันตั้งแต่เช้า ข้าก็เลยเก็บมาได้เท่านี้แหละ”
ฮอรัสใช้มือขวารับเอากำดอกไม้นั้นมาพลางเงยหน้ามองจระเข้หนุ่มด้วยใบหน้านิ่งเฉยสะท้อนแสงจันทร์ ทำเอาอีกฝ่ายเผลอผงะไปชั่วอึดใจเมื่อรู้ว่าฮอรัสนั้นมีดวงตาเป็นสีนิล
“ขอบคุณ” หุ่นสงครามเอ่ยเสียงเรียบทุ้มในลำคอตามที่ได้รับการสอนมาจากเอลีอา
“ข้ามานอนดูดาวบนหอนี้บ่อยๆ เห็นท่านมาเก็บดอกไม้ที่นี้เกือบทุกคืน... ท่านเก็บพวกมันไปทำอะไรบอกได้รึเปล่า” ชายหนุ่มชาวเกล็ดผู้นั้นเอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย เพราะทุกๆ ครั้งในช่วงเวลาราวๆ นี้ที่ทุกคนในหมู่บ้านต่างก็หลับสนิทกันไปหมดเขามักจะเห็นฮอรัสมาเดินเก็บดอกไม้ ก่อนจะหายตัวไปในความมืดเสมอ ตอนแรกเขาคิดว่าเห็นผีแต่พอเห็นเป็นประจำเป็นกิจวัตรเช่นนี้ความพรรั่นพรึงก็กลายเป็นความสงสัยไปเสีย
“มันเป็นดอกไม้สำหรับการอาลัยเพื่อแสดงความรำลึกคิดถึง... คุณเอลีอาว่าไว้” ฮอรัสตอบเบาๆ ในสายลมระหว่างที่เดินออกห่างจากชายหนุ่ม แล้วทะยานตัวเองหายไปในความมืด ทิ้งให้อีกฝ่ายยืนถอนหายใจเกาศีรษะอยู่ตรงนั้นคนเดียว
ห่างออกมาจากหมู่บ้านระยะทางเกือบสองวันเดินเท้าสำหรับคนธรรมดา ที่ตั้งของวิหารทางประวัติศาสตร์แห่งใหม่ซึ่งเพิ่งจะถูกค้นพบได้ไม่นานนี้ ยังไม่มีการตั้งชื่อหรือประกาศการค้นพบอย่างเป็นทางการใดๆ เพราะยิ่งคนรู้น้อยก็ยิ่งดี มีทหารระดับสูงคอยคุ้มกันดูแลเฝ้ายามตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่เปิดให้เข้าไปด้านใน ชมได้แค่ด้านนอกเพื่อเป็นการรักษาความปลอดภัย ผิดจากโบราณสถานทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด นั่นเพราะวิหารแห่งนี้คือปราการที่ถูกสร้างโอบล้อมศิลาชีพของมหามารดาแห่งปฐมเวทย์เอาไว้
“เห้ยๆ ตื่นก่อนพวก... นั่นมันอะไร” ทหารยามที่คนหนึ่งที่ยืนรักษาความปลอดภัยอยู่ไม่ไกลจากด้านหน้าวิหาร รีบสะกิดปลุกเพื่อนที่นั่งพิงเสาสัปหงกอู้งานให้ตื่นขึ้น เมื่อเขาเห็นเงาของใครบางคนในผ้าคลุมปกปิดมิดชิดตั้งแต่ศีรษะลงมากำลังเดินไปยังหน้าประตูวิหาร
ฝังทหารยามอีกคนได้ยินเสียงของเพื่อนทหารใหม่ดังนั้น ก็ชะเง้อมองตามอีกฝ่ายไป ก่อนปัดมือทำท่าเหมือนรำคาญใจที่ถูกอีกฝ่ายรบกวนการงีบหลับ “เอ้อ.. ช่างเขาเถอะน่า หมอนี่มาทุกคืนแหละ เอาดอกไม้มาวางเสร็จเดี๋ยวก็ไป ไม่มีอะไรน่าห่วงหรอก”
“แล้วเขาเป็นใคร” ทหารยามหนุ่ม ถามต่อ
“จะไปรู้เรอะ! ก็คงเป็นพวกนักบวชหรือไม่ก็จอมเวทที่รู้ข่าวการค้นพบวิหารอาร์มุนนั่นแหละ”