ตอนที่แล้วบทที่ 13 พลังของม่วง (1)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 15 พลังของม่วง (3)

บทที่ 14 พลังของม่วง (2)


บทที่ 14 พลังของม่วง (2)

 

        ชายวัยกลางคนส่ายหน้ารัวอย่างตื่นตระหนกพลางกล่าวว่า “เปล่าๆ ข้าแค่อยากถามดูว่าพวกเจ้าต้องการเสื้อเกราะด้วยหรือเปล่า? ราคาคุยกันได้” เขาไม่ใช่ไอ้โง่ที่ไหน ในทางกลับกัน ในฐานะพ่อค้าเขาฉลาดหลักแหลมอย่างยิ่ง ดูจากที่ม่วงสามารถยกกระบองเหล็กหนักอึ้งอันนี้ได้สบายๆ เขาก็มองออกแล้วว่าม่วงกับอินจู๋ไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน สำหรับพ่อค้าอาวุธอย่างเขา การได้พบเจอนักรบผู้แข็งแกร่งเป็นเรื่องที่โชคดีที่สุดอย่างเห็นได้ชัด สีหน้าซึมเซาไม่หลงเหลือให้เห็นอีกแล้ว เขาคิดแค่ว่าจะเสนอขายเสื้อเกราะอีกสักหน่อย

 

ม่วงกล่าวเสียงเย็นชาว่า “ข้าไม่ต้องการเสื้อเกราะ” พูดจบก็เดินออกไปพร้อมกับอินจู๋

 

ทั้งสองคนเลือกซื้อของใช้จำเป็นอีกเล็กน้อยในเมืองลูน่าโดยมีม่วงเป็นผู้นำ แล้วจึงเดินทางออกจากเมืองหลวงของอาร์คาเดีย มุ่งหน้าขึ้นเหนือไปตามถนนใหญ่

 

ทะเลโพรงมรกต

 

“พ่อคะ ข้าไม่ค่อยไว้ใจอินจู๋ เด็กคนนี้ไม่เคยออกจากบ้านเลย พวกเราควรจะแอบตามเขาไปหรือเปล่า? อย่างน้อยก็ส่งเขาเข้าโรงเรียนหน่อยเถอะ” เหมยอิงกล่าวอย่างกระวนกระวายใจ

 

เย่หลีหัวเราะเบาๆ ก่อนพูดโอ้อวดว่า “หลานชายตระกูลเย่ของข้า มีความสามารถในการปรับตัวที่แข็งแกร่งแต่กำเนิด ยิ่งกว่านั้นยังมีจดหมายจากลุงฉินของเจ้า ทั้งยังมีคนของสมาคมเวทมนตร์ร่วมทางไปด้วย คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก”

 

เหมยอิงยังคงไม่สบายใจเล็กน้อย “ข้ากลัวว่าเจ้าเด็กน้อยอินจู๋จะเข้ากับคนอื่นไม่ได้ ถ้าถูกเอาเปรียบที่โรงเรียนจะทำอย่างไร?”

 

ฉินซางที่อยู่ข้างๆ หัวเราะพลางกล่าวว่า “ความสามารถของอินจู๋พวกเจ้ายังไม่กระจ่างอีกรึ? ยิ่งกว่านั้นหัวหน้าเอกเทวคีตของโรงเรียนอัศวินเวทมนตร์มิลานก็เป็นเพื่อนรักของข้าเอง มีจดหมายแนะนำจากข้าอยู่ อินจู๋ก็คงไม่มีปัญหาอะไร เขาฝึกหัวใจพิณพิสุทธิ์มาสิบห้าปี ถึงเวลาที่ควรให้เขาออกไปเผชิญโลกกว้างด้วยตัวเองแล้ว ต้องทำอย่างนี้ถึงจะช่วยให้เขาโตไวขึ้น แต่ไม่รู้ว่าเพื่อนเก่าของข้าเห็นอาจารย์น้อยที่ข้าแนะนำให้เขาแล้วจะมีท่าทียังไง? ฮ่าๆๆๆ”

 

“ม่วง เจ้าเก่งมากเลย!” ขณะที่เดินอยู่บนถนนใหญ่ อินจู๋ก็มองทิวทัศน์รอบๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นไปพลาง เอ่ยถามม่วงไปพลาง

 

กระบองเหล็กสีดำสนิทอันหนักอึ้งพาดอยู่บนบ่า ม่วงถามว่า “ทำไมข้าถึงเก่ง?”

 

อินจู๋ตอบว่า “เจ้าซื้อของเยอะขนาดนั้น อย่างกับว่าเจ้าคุ้นเคยกับโลกภายนอกดี แต่ข้าจำได้ว่าเจ้ามาที่ทะเลโพรงมรกตตั้งแต่ยังเด็ก ดูท่าเจ้าก็คงจะไม่เคยออกไปเหมือนกัน”

 

ดวงตาของม่วงฉายแววเย็นชา ก่อนกล่าวขึ้นเสียงเรียบว่า “นั่นเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว อินจู๋ ข้าจะบอกเจ้าทีหลังเอง”

 

“ทีหลังคือเมื่อไหร่?”

 

“ตอนที่เจ้าโตขึ้นจริงๆ น่ะ”

 

อาณาจักรอาร์คาเดียเล็กจนน่ากลัวจริงๆ ถึงกับยังไม่เท่าพื้นที่หนึ่งในสามของอาณาจักรเบอร์บอน ส่วนเมืองลูน่าเมื่อเปรียบเทียบกันแล้วค่อนข้างจะใกล้ตอนเหนือของอาณาจักร หลังจากทั้งคู่เดินมาได้สิบวันก็เข้าสู่อาณาเขตของอาณาจักรเบอร์บอน

 

ขณะที่เข้าสู่เบอร์บอนอากาศก็เย็นสบายขึ้นมาก เมื่อเปรียบเทียบอาณาจักรเบอร์บอนกับอาร์คาเดียก็เกิดความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทางหลวงกว้างขวางกว่าอาร์คาเดียถึงสองเท่า ผู้คนบนถนนก็มีมากมาย และส่วนใหญ่ก็ขี่ตัววิลเดอร์บีสต์กันหมด

 

วิลเดอร์บีสต์ สัตว์เวทขั้นหนึ่ง ได้ชื่อมาจากเขาโง้งทั้งสองข้างที่แยกออกจากกัน ร่างกายกำยำ แม้ในบรรดาสัตว์เวทพวกมันจะอยู่ในระดับต่ำสุดจนถึงขั้นไม่มีพลังโจมตีใดๆ แต่พลังความทนทานกลับยอดเยี่ยม เป็นพาหนะที่ดีที่สุดในการคมนาคมขนส่งพลเรือน ในอาร์คาเดียมีแต่ผู้มีฐานะเท่านั้นถึงสามารถครอบครองวิลเดอร์บีสต์ได้

 

“ม่วง พวกเราซื้อวิลเดอร์บีสต์มาขี่สักตัวเถอะ วิลเดอร์บีสต์ราคาเท่าไหร่?” พออินจู๋เห็นผู้คนบนถนนขี่ตัววิลเดอร์บีสต์ก็อดเผยให้เห็นสายตาอิจฉาไม่ได้ อย่างไรเสียเขาก็ยังมีนิสัยเป็นเด็กน้อย เห็นของอะไรแปลกใหม่มักหักห้ามใจไม่อยู่ได้ง่าย

 

ม่วงครุ่นคิดสักครู่ก่อนกล่าวว่า “ก็ได้ แบบนี้พวกเราจะได้ไปเร็วขึ้นหน่อย ถ้าเดินเท้าเอาอย่างเดียว เกรงว่าสองเดือนพวกเราก็ยังไปไม่ถึงมิลาน มุ่งหน้าไปประมาณยี่สิบห้ากิโลเมตรก็จะถึงลัวร์เมืองทางใต้สุดของเบอร์บอน พอถึงที่นั่นเราจะซื้อตัวหนึ่ง”

 

“ตัวเดียว?”

 

“อืม ตัวเดียวก็พอ ข้าไม่ต้องการ วิลเดอร์บีสต์ไม่แน่ว่าจะวิ่งเร็วกว่าข้า” ม่วงยิ้มพลางมองอินจู๋ รอยยิ้มของเขาเผยออกมาให้เห็นเฉพาะต่อหน้าอินจู๋เท่านั้น ตอนที่มีคนอื่นอยู่ด้วย เขากลับมีท่าทีเย็นชาเสมอ

 

“ข้าไม่เชื่อ งั้นเรามาแข่งกันหน่อย” อินจู๋กล่าวพลางยิ้ม

 

ม่วงเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “งั้นมาเริ่มกันเลย” ระหว่างที่พูดร่างของเขาก็กระโจนออกไปแล้ว ร่างกายสูงใหญ่รวมถึงกระบองเหล็กอันหนักอึ้งนั้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความเร็วของเขาแม้แต่น้อย

 

“อ้าว เจ้าขี้โกงนี่” พอเย่อินจู๋เห็นม่วงเริ่มวิ่งออกไปแล้วก็รีบทะยานร่างขึ้นไป เท้าเดียวแตะพื้น ไล่ตามม่วงไปอย่างรวดเร็ว

 

การเคลื่อนไหวขณะวิ่งของม่วงมั่นคง ทุกครั้งจะเหยียบพื้นเต็มเท้า ถีบพื้นส่งร่างตัวเองออกไปอย่างมีพลัง ส่วนการเคลื่อนไหวของอินจู๋กลับคล่องแคล่วอย่างยิ่ง แค่ปลายเท้าแตะพื้น ระยะห่างที่แตะพื้นเกินกว่าห้าเมตรทุกครั้ง รวดเร็วถึงขีดสุด ขึ้นลงเพียงไม่กี่ครั้งก็ไล่มาถึงข้างๆ ม่วงแล้ว

 

“ม่วง ข้าเร็วกว่าเจ้า” อินจู๋กล่าวอย่างพึงพอใจเล็กน้อย

 

ม่วงเหลือบมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ “จริงเหรอ?” ตอนที่เขาเหยียบลงบนพื้นครั้งถัดไป อินจู๋ก็รู้สึกได้ทันทีว่าแผ่นดินทั้งผืนสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เห็นแค่ว่าใต้เท้าของม่วงส่งเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น ชั่วครู่ต่อมา ร่างของเขาก็ดีดพุ่งออกไปดุจยิงลูกธนู คราวนี้กลับพุ่งออกไปทีเดียวไกลเกือบยี่สิบเมตร เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นดังขึ้นอีกครั้ง อินจู๋ถูกเขาสลัดทิ้งไว้ข้างหลัง

 

ไม่มีลมปราณของพลังยุทธ์ อินจู๋ตื่นตะลึงในใจ ถึงแม้เขาจะไร้เดียงสา ทว่าเฉลียวฉลาดอย่างยิ่ง อาศัยแค่พลังกายอย่างเดียวก็สามารถทำความเร็วได้ขนาดนี้ เขาพิจารณาตัวเองแล้วว่าทำไม่ได้อย่างแน่นอน ม่วง เจ้ายังมีความลับอีกเท่าไหร่กันแน่? ระหว่างคิดไปพลางเขาก็รีบเร่งฝีเท้าไล่ตามไปข้างหน้า

 

ในขณะนั้นเอง จู่ๆ เสียงกีบเท้าก็ดังกึกก้องมาจากข้างหน้า ปะทะเข้ากับทิศทางของอินจู๋และม่วงพอดี ไกลออกไปมีฝุ่นละอองกลุ่มใหญ่ลอยโขมงขึ้นมา มุ่งหน้ามาทางทิศของพวกเขารวดเร็วปานมังกรพสุธา บนถนนยังมีคนสัญจรอยู่บ้าง แต่ตอนนี้กลับพากันหลีกไปข้างทางอย่างตกใจจนทำอะไรไม่ถูก บริเวณที่ ‘มังกรพสุธา’ ตัวนั้นผ่าน จะมีเสียงร้องอุทานด้วยความตกใจดังขึ้นพร้อมกันทันที

 

นั่นคือขบวนทัพอัศวินที่มีประมาณร้อยคน เกราะหนักสีดำทั้งตัว ทวนอัศวินยาวประมาณสี่เมตรถือไว้ในแนวราบ บนอานแขวนโล่เหล็กหนาหนัก กลิ่นเหล็กกล้าที่ลอยตลบขณะมุ่งหน้าไปอย่างห้าวหาญทำให้เห็นแล้วต้องถอยกรูด พวกเขาไม่ได้ขี่วิลเดอร์บีสต์ แต่เป็นอสูรเกราะเหล็กขั้นสาม รูปร่างคล้ายคลึงกับวิลเดอร์บีสต์ แต่ไม่มีเขา บนหัวและบนตัวล้วนปกคลุมด้วยหนังหุ้มเกราะ พลังปะทะแข็งแกร่งมาก เป็นสัตว์พาหนะทั่วไปของอัศวินที่ดีที่สุดในทวีปลองกินุส อัศวินเกราะหนัก ไม่ว่าประเทศใดในทวีปลองกินุสก็ย่อมเป็นเหล่าทัพหลักในการรบ แต่ราคาก็สูงลิ่ว อัศวินเกราะหนักทั้งอาร์คาเดียรวมกันก็ยังเป็นแค่กองทัพหมื่นคนเท่านั้น

 

หากปะทะกับอสูรเกราะเหล็กขึ้นมา รวมกับน้ำหนักของตัวอัศวินเกราะหนักด้วยแล้วย่อมน่าหวาดกลัวอย่างแน่นอน อัศวินเหล่านี้ไม่สนใจคนเดินถนนบนทางหลวงอยู่แล้ว

 

ม่วงกับอินจู๋ที่กำลังมุ่งไปข้างหน้าแทบจะหยุดฝีเท้าลงพร้อมกัน สายตามองอัศวินเกราะเหล็กหนักที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แต่กลับไม่ได้หลบไปยังริมถนนทั้งสองฝั่ง เพราะอินจู๋รู้สึกสนใจอสูรเกราะเหล็กกับอัศวินเกราะหนัก ส่วนในพจนานุกรมของม่วงก็ไม่มีคำว่าหลีกทางให้อยู่แล้ว

 

“ไสหัวไป” อัศวินเกราะหนักที่เป็นผู้นำเห็นว่าบนถนนกลับมีคนสองคนไม่ยอมหลีกทาง จึงแผดเสียงตะโกนสั่ง

 

ม่วงไม่ได้ขยับ แต่สายตาของเขากลับเย็นชาและสงบนิ่งขึ้น อินจู๋ก็ไม่ขยับ เพราะม่วงไม่ได้ขยับ เขาเคยพูดไปแล้วว่าจะปกป้องม่วง จึงก้าวขึ้นมาบังม่วงอยู่ข้างหน้าโดยไม่รู้ตัว เขาไม่แม้แต่จะถามม่วงว่าทำไมถึงไม่หลบไป

 

ดวงตาของอัศวินเกราะเหล็กหนักฉายแววดุร้าย ในเมื่อไม่หลบไป ถ้าอย่างนั้นก็ไปตายซะ ในอาณาจักรเบอร์บอนอัศวินเกราะหนักคือเหล่าทัพที่มีอภิสิทธิ์ ในระหว่างปฏิบัติตามคำสั่งหากมีประชาชนมาก้าวก่ายสามารถประหารได้โดยไม่ต้องละเว้น ฉะนั้นพวกเขาจึงไม่มีภาระทางใจอยู่แล้ว

 

ใกล้แล้ว ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้ว ในไม่ช้าอัศวินเกราะเหล็กหนักก็มาถึงตรงหน้าทั้งสองคน อัศวินเกราะหนักห้าคนในแถวหน้าสุดยกทวนอัศวินขึ้นในแนวราบพร้อมกัน พวกเขาไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียว ทวนอัศวินหนาหนักของตนเองกำลังจะแทงทะลุร่างของสองคนตรงหน้าอย่างสบายใจ

 

‘โฮก!’ เสียงแผดคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวประหนึ่งเสียงสายฟ้าฟาดดังมาจากบนฟ้า อินจู๋รู้สึกเพียงว่าทั้งร่างเบาขึ้น คาดไม่ถึงว่ากำลังบินขึ้นมา ทิวทัศน์เบื้องล่างค่อยๆ เล็กลง ในไม่ช้าเขาก็มองเห็นภาพอันประหลาดพิสดาร

……………………………………….

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด