บทที่ 12 เป็นแค่คนที่มีสายตาแหลมคมเหรอ
บทที่ 12 เป็นแค่คนที่มีสายตาแหลมคมเหรอ
หลังจากเลขานุการวางสาย ฉางฉิงก็เหม่อลอยอยู่พักหนึ่ง แล้วรีบโทรหาจั่วเชียน “อาจารย์จั่วคะ ฉันได้ยินมาว่าอาจารย์ไปพบผู้อำนวยการเพื่อฉัน...”
“ฉางฉิง คุณไม่ต้องคิดอะไรมากทั้งนั้น อยู่เป็นพิธีกรข้างๆ ผมเถอะนะ” จั่วเชียนพูดตัดบทเธอด้วยเสียงอบอุ่น
ฉางฉิงรู้สึกซาบซึ้งใจมาก “อาจารย์จั่ว ขอบคุณมากค่ะ อาจารย์เป็นผู้มีพระคุณของฉัน เป็นคนที่มีสายตาแหลมคมสำหรับฉัน”
จั่วเชียนหัวเราะ แล้วพลันถามขึ้นมาว่า “เป็นแค่คนที่มีสายตาแหลมคมเหรอ”
“หืม?”
จั่วเชียนที่อยู่ปลายสายอีกด้านหนึ่งอึกอัก “...ตอนนี้ผมมาทำงานที่ปักกิ่ง พอกลับไปแล้ว ให้ผมเลี้ยงข้าวคุณแล้วกันนะ”
“ไม่ๆๆ ฉันควรเป็นคนเลี้ยงค่ะ” ฉางฉิงรีบพูด
“...ฮ่าๆ ได้ครับ”
ฉางฉิงถือโทรศัพท์พลางยิ้มจนหุบปากไม่ลง
อาจารย์จั่วเป็นคนดีจริงๆ เป็นเหมือนคุณครูที่มีพระคุณ ไม่เพียงแต่สอนเรื่องต่างๆ ให้เธอ แต่ยังคอยชี้แนะและช่วยเหลือเธอตลอด
อย่าว่าแต่เลี้ยงข้าวเลย ให้เลี้ยงอาหารฮ่องเต้ เธอก็สมควรเลี้ยงเขา
_ _ _ _ _ _ _ _
หลังจากมาถึงสถานีโทรทัศน์ ทันใดนั้นฉางฉิงก็พบว่ามีคนจำนวนไม่น้อยซุบซิบนินทาอยู่ข้างหลังเธอ
แต่พอเธอหันไป ทุกคนก็เงียบลงอีกครั้งและก้มหน้าก้มตาทำงาน
เธอประหลาดใจ เมื่อกลับไปที่ห้องทำงาน ฉืออี่หนิงบุกมาหาเธอถึงที่ห้อง เสียงรองเท้าส้นสูงที่ดัง ’ตึกๆ’ เผยถึงความโมโหขั้นรุนแรง “เยี่ยนฉางฉิง ฉันประเมินเธอต่ำเกินไปจริงๆ ปกติทำตัวเหมือนเป็นพวกนักปราชญ์ แต่จริงๆ ก็แอบกุ๊กกิ๊กกับอาจารย์จั่วมาตั้งนานแล้ว หน้าไม่อายจริงๆ”
“เธอพูดถึงใครน่ะ” ปกติฉางฉิงมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับคนอื่นน้อยมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอไม่มีอารมณ์ความรู้สึก “ฉืออี่หนิง เธอคิดว่าตัวเธอเป็นใครกัน วิ่งแจ้นมาเอะอะโวยวายในห้องทำงานฉัน อาจารย์เธอไม่เคยสั่งสอนเธอให้รู้จักเคารพรุ่นพี่บ้างหรือยังไง อีกอย่าง เธออย่ามาพูดจาใส่ร้ายคนอื่นเค้าสุ่มสี่สุ่มห้า ไม่ใช่ว่าทุกคนเขาจะเหมือนเธอที่เร่ขายเนื้อหนังมังสา ใช้ผู้ชายเป็นเครื่องมือในการไต่เต้า”
“เธอมีสิทธิ์อะไรมาว่าฉัน ตัวเธอเองก็ใช่ย่อยซะที่ไหน ตอนนี้ลือกันทั้งสถานีแล้วว่า ถ้าเธอไม่ได้ขึ้นเตียงกับจั่วเชียน แล้วทำไมเขาถึงได้ช่วยเธอขนาดนั้น ปกติเห็นพวกเธอแอบส่งสายตาให้กันอยู่บ่อยๆ พูดว่าเป็นอาจารย์ลูกศิษย์กัน แต่ฉันว่าพวกเธอน่ะแอบได้กันตั้งนานแล้ว ไร้ยางอาย มิน่าล่ะทุกคนต่างก็พูดว่าเธอมันคนหลายใจ ฉันว่าตั้งแต่ไหนแต่ไร เธอก็เป็น...”
มีคนทยอยมามุงดูที่ประตูห้องกันเรื่อยๆ ฉางฉิงโกรธจนใบหน้าแดงจัด แล้วออกแรงผลักฉืออี่หนิงออกไป “เธอลองพูดมาอีกคำสิ...”
“เอาล่ะๆ พวกเธอหยุดทะเลาะกันได้แล้ว” ผู้กำกับเหลียงเดินผ่านมาเห็นและรีบจับทั้งสองคนแยกออกจากกัน
“ผู้กำกับเหลียงคะ คุณไม่ได้ยิน เมื่อกี้หล่อนใส่ร้ายฉัน แถมยังจะลงไม้ลงมือตบตีฉันด้วย” ฉืออี่หนิงฟ้องเสียงสะอึกสะอื้น
“ตกลงใครหาเรื่องใครก่อน” ฉางฉิงไม่เคยถูกสบประมาทเช่นนี้มาก่อน เธอเองก็ตาแดงก่ำเหมือนกัน ฉืออี่หนิงไม่ได้ร้องไห้เป็นคนเดียวสักหน่อย
ผู้กำกับเหลียงปวดหัว ถ้าเขาไม่เข้าไปยุ่ง ปล่อยให้สองคนนี้ทะเลาะกันต่อ ก็มีแต่จะทำให้ผู้อำนวยการลำบากใจ ถ้าเขาเข้าไปยุ่ง ตัวเขานี่แหละที่ลำบากใจ
“เรื่องนี้พวกเธอสองคนต่างก็ผิดกันทั้งคู่ อี่หนิง เธอวิ่งแจ้นมาเอะอะโวยวายที่ห้องทำงานของฉางฉิงแบบนี้ เป็นอะไรที่ไร้มารยาทจริงๆ ไม่ว่ายังไง ฉางฉิงก็เป็นรุ่นพี่ของเธอ ส่วนฉางฉิง อี่หนิงยังเด็กไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร เธอไม่เห็นต้องไปทะเลาะกับอี่หนิงด้วยเลย เธอทั้งคู่ต่างก็เป็นบุคคลสาธารณะ ถ้าข่าวแพร่ออกไป มันน่าอับอายขายหน้าเปล่าๆ เอาล่ะๆ แยกย้ายกันไปได้แล้วนะ”
ผู้กำกับเหลียงเป็นหัวหน้าทีมผู้กำกับ ทุกคนต่างก็ต้องเห็นแก่หน้าเขา
หลังจากแยกย้ายกันไป ฉางฉิงนั่งอยู่ในห้องทำงานคนเดียว เธอรู้สึกอึดอัดใจสุดๆ
เธอไม่คิดว่าตัวเองทำผิดอะไร เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นความผิดของฉืออี่หนิงเต็มๆ แต่ผู้กำกับเหลียงที่รู้จักกันมาสองปีก็ไม่ช่วยเธอ เขาคงกลัวว่าจะไปล่วงเกินผู้อำนวยการเฝิงเข้าล่ะมั้ง
เมื่อก่อนตอนที่สถานการณ์ของตระกูลเยี่ยนยังดีอยู่ ทุกคนในสถานีต่างก็ประจบประแจงเธอ ตอนนี้พอรู้ว่าตระกูลเยี่ยนย่ำแย่ ทุกคนก็พากันเบนเข็มไปทางอื่น
คนเรา ทำไมถึงได้ไม่มีเหตุผลแบบนี้นะ
ตอนบ่ายเยี่ยนเหล่ยก็โทรมาถามเธอว่าเย็นนี้ซ่งฉู่อี๋นัดกับเธอหรือเปล่า
ฉางฉิงรู้สึกจุกอยู่ที่ลำคอ ไม่ได้พูดอะไร
เยี่ยนเหล่ยผิดหวัง “เมื่อวานเขาก็ดูท่าทางถูกใจลูกนี่นา ไม่อย่างนั้นเขาจะชวนลูกไปดื่มกาแฟด้วยทำไมล่ะ เป็นเพราะว่าพวกหมองานยุ่งหรือเปล่า เดี๋ยวพ่อจะโทรไปถามพี่สาวลูกดู”
................................................