ตอนที่แล้วบทที่ 11 วิธีระลึกถึงความรัก
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 13 ศาสตร์แห่งการคืนชีพ

บทที่ 12 นักบวชจากนอกด่านตะวันตก


บทที่ 12 นักบวชจากนอกด่านตะวันตก

 

วันต่อมาร้านทังปิ่งพี่ชีก็เปิดกิจการตามปกติ

 

วันนี้ลูกค้าทั้งหลายนับว่ามีวาสนานัก เครื่องเคียงที่เพิ่มลงในชามทังปิ่งเป็นเนื้อหมูชิ้นใหญ่หนา นอกจากนี้ยังมีผักกวางตุ้งลวกสีเขียวสดวางลงไปเพิ่มอีกสองต้นด้วย

 

ทังปิ่งแห้งชามใหญ่เมื่อรวมเข้ากับน้ำแกงเปรี้ยวหวานอุ่นร้อนที่ใส่ใบกุยช่ายอ่อนผัดน้ำมัน เมื่อลิ้มลองชวนให้รู้สึกว่าถึงเป็นเทพเซียนก็คงใช้ชีวิตเช่นนี้เอง

 

แต่เฉินสือพ่อครัวค่ายทหารต้องโทษแห่งประตูซีสุ่ย จ้องมองทังปิ่งส่งกลิ่นหอมฟุ้งชามใหญ่ตรงหน้าโดยไม่รู้สึกอยากอาหารสักนิด กินเข้าไปคำหนึ่งก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ท้ายที่สุดก็ดันชามทังปิ่งออกไป แล้วดื่มน้ำแกงรวดเดียวหมดชาม จากนั้นหยิบขวดสุราใบเล็กๆ ออกมาจากอกเสื้อ เมื่อกระดกดื่มจนหมดขวดก็วางเงินลงบนโต๊ะสามสิบอีแปะ เขาเหลือบมองแถบผ้าคาดหน้าผากของหวังโหรวฮวาด้วยความเสียดาย ก่อนจะเดินออกไปโดยไม่เหลียวกลับมามอง

 

“พี่เฉินทำไมกินไม่หมดเล่า? หรือว่าวันนี้ทังปิ่งรสชาติไม่ถูกปากท่าน?”

 

หวังโหรวฮวาใช้มือกวาดเบาๆ เงินสามสิบอีแปะก็ร่วงลงกล่องเก็บเงินเรียบร้อย แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของนางยังไม่จางหายไปแม้แต่น้อย

 

หลังจากเฉินสือใคร่ครวญครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “วันนี้ข้าปวดท้อง”

 

เถี่ยซินหยวนมองเฉินสือที่ลุกลี้ลุกลนจากไปด้วยความละอายใจ รอยยิ้มในใจใกล้จะปรากฏออกมาทางสีหน้าอยู่แล้ว เขาพยายามหลบเลี่ยงหญิงผู้หนึ่งที่อ้าปากหันมาทางเขา ในปากของนางมีกลิ่นฉุนกึกของผักกุยช่าย ช่างไม่รู้จักดื่มน้ำกลั้วปากกลบกลิ่นเสียบ้าง เช่นนี้เขาจะรับได้หรือ?

 

หญิงผู้นั้นเห็นว่าเถี่ยซินหยวนไม่ยอมให้นางหอมแก้ม จึงหยิกที่ใบหน้าอวบๆ เสียครั้งหนึ่งก่อนเดินจากไป

 

เมื่อโดนนางขัดจังหวะเสียขนาดนี้ เขาจึงฟังไม่ถนัดว่าเฉินสือกล่าวอะไรกับมารดากันแน่ เพียงแต่เขาก็รู้ดีว่าความรักของเฉินสือไม่ทันได้เริ่มต้นก็จบสิ้นลงเสียแล้ว

 

หยางไฮว๋อวี้เดินเข้าร้านมาด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม แล้วตบโต๊ะสั่งทังปิ่งแห้งหนึ่งชาม หลังจากหวังโหรวฮวายกมาให้ เขาก็ลงมือกินอย่างตะกรุมตะกราม เถี่ยซินหยวนลองนับดูอย่างละเอียดถี่ถ้วน นับตั้งแต่มารดายกชามอาหารมาจนกระทั่งเจ้านี่กินเสร็จ แม้กระทั่งน้ำแกงก็ซดจนหมดชาม เขาเพิ่งนับถึงห้าสิบเท่านั้นเอง

 

หยางไฮว๋อวี้กินอาหารเสร็จแล้วกลับไม่ได้จากไปในทันที แต่นั่งเอามือเท้าคางเฝ้ามองผู้คนที่สัญจรไปมาตามท้องถนนอย่างไร้ชีวิตชีวา

 

ด้วยรับสั่งจากโอรสสวรรค์เขาจึงต้องร่วงจากสวรรค์ชั้นฟ้าสู่โลกมนุษย์ ทำให้เขาไม่อาจยอมรับสถานการณ์ในเวลานี้ได้จริงๆ

 

หวังโหรวฮวาที่กำลังใช้ผ้าขี้ริ้วเช็ดโต๊ะอยู่นั้นเอ่ยขึ้นแผ่วเบาว่า “ภรรยาของหลิวอาชีแต่งงานใหม่แล้ว”

 

หยางไฮว๋อวี้ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น เหลือบมองหวังโหรวฮวาแล้วกล่าวว่า “แล้วเกี่ยวอะไรกับข้า?”

 

หวังโหรวฮวาถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนตอบว่า “ภรรยาของหลิวอาชีแต่งงานใหม่แล้ว แต่นางไม่นำลูกทั้งสามไปด้วย เมื่อในบ้านขาดกำลังหลักที่พึ่งพาได้ ยายเฒ่าคนหนึ่งต้องพาเด็กสามคนออกมาขอทานข้างถนน”

 

หยางไฮว๋อวี้ก้มหน้าแล้วตอบว่า “ข้าก็รับโทษแล้ว เดิมทีข้าไม่ต้องรับโทษหรอก แต่ท่านย่าบังคับให้ข้าต้องมา จนข้าถอดชุดเกราะมาประจำอยู่ค่ายทหารต้องโทษแล้วจะเอาอย่างไรอีก?”

 

หวังโหรวฮวาเอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “ไม่ใช่หาเรื่องตำหนิท่านหรอก บ้านท่านจ่ายเงินชดเชยให้บ้านหลิวอาชีหกพวงไม่ใช่หรือ? แต่ว่าเงินหกพวงนี้ยังไม่ถึงมือมารดาหลิวอาชีกับลูกๆ ของเขาเลย ถ้าหากมีเงินชดเชยหกพวงแล้ว พวกเขาคงทำการค้าขายเล็กๆ น้อยๆ เช่นข้าได้ ไม่ต้องมาเร่ร่อนข้างถนนแน่”

 

หยางไฮว๋อวี้รู้สึกหดหู่อยู่บ้าง เขาเริ่มคิดใคร่ครวญก่อนจะลุกยืนขึ้นทันใดแล้วมองหน้าหวังโหรวฮวา “เป็นความจริงรึ?”

 

หวังโหรวฮวาเก็บชามอาหารที่กินเสร็จแล้วของหยางไฮว๋อวี้ จากนั้นก็ชี้ไปที่ยายเฒ่ากับเด็กอีกสามคนที่นั่งขดตัวขอทานข้างถนน “ไปถามพวกเขาสิ”

 

นัยน์ตาของหยางไฮว๋อวี้หรี่ลงมาเล็กน้อย เดินเพียงสองสามก้าวก็ถึงมุมถนนและสนทนากับท่านยายที่นั่งขอทานอยู่หลายประโยค จากนั้นก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมา ก่อนจะผละจากข้างถนนนั่นแล้วมุ่งหน้าไปที่ศาลาว่าการอำเภอไคเฟิง...

 

หวังโหรวฮวาพ่นคำด่าไล่หลังหยางไฮว๋อวี้ไปว่า “ยังไม่จ่ายเงินเลยนะ”

 

ทว่าเถี่ยซินหยวนเห็นสีหน้าของนางเหมือนมีความสุขนัก ไม่ว่าจะเป็นตอนล้างชามหรือเช็ดโต๊ะล้วนมีเรี่ยวแรงมากเป็นพิเศษ

 

เถี่ยซินหยวนรู้สึกสงสัย เกรงว่ามารดาจะจำหยางไฮว๋อวี้ได้ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามากินอาหารในร้านแล้ว เพียงแต่ยอมอดทนอดกลั้นไม่ระบายโทสะออกมา เวลานี้จู่ๆ พูดถึงครอบครัวหลิวอาชี จะต้องทำเพื่อหวังเอาคืนหยางไฮว๋อวี้แน่ แต่เกรงว่าขุนนางชั้นผู้น้อยในศาลาว่าการคงจะรับมือไม่ง่ายเท่าใด

 

เมื่อเห็นมารดามีท่าทางชื่นมื่น เถี่ยซินหยวนยิ่งมองยิ่งรู้สึกชอบใจ มารดาของเขาควรเป็นหญิงใจร้ายเช่นนี้สิถึงจะถูกต้อง ผู้มีจิตใจดีงามจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร วิธีพื้นๆ อย่างการวางยาพิษของเขาเนี่ยไม่ควรงัดออกมาใช้เลยจริงๆ

 

นางใช้กลยุทธ์ต้นหลี่ตายแทนต้นท้อ[1]ก็สามารถทำได้สิ่งที่ต้องการได้ทั้งหมด ทางหนึ่งได้ลงโทษขุนนางเล็กๆ พวกนั้นที่มากินอาหารร้านตัวเองแล้วไม่ยอมจ่ายเงิน อีกทางหนึ่งได้ผลักทหารต้องโทษอย่างหยางไฮว๋อวี้ตกลงไปในวังวนความวุ่นวายอีกครั้ง นับว่าเป็นกลยุทธ์ที่มีผลลัพธ์ยอดเยี่ยมทีเดียว

 

เถี่ยซินหยวนรักษาความรู้สึกเลื่อมใสได้เพียงชั่วประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น เพราะว่ามารดาอุ้มเขามาหาบุตรและมารดาของหลิวอาชี วางขนมชุยปิ่งห้าหกชิ้นให้พวกเขาก่อนจะเอ่ยกับยายเฒ่าหลิวว่า “อีกไม่นานก็จะมีคนนำเงินชดเชยมาให้พวกท่านแล้ว เงินตั้งหกพวงเชียวนะ สามารถเปิดกิจการเล็กๆ เลี้ยงชีพได้ ขอแค่ดูแลพวกเด็กๆ ให้เติบใหญ่อย่างปลอดภัย ก็นับว่าไม่ผิดต่อบรรพชนตระกูลหลิวแล้ว ไม่แน่ว่าพวกเขาที่อยู่ในปรโลก คงโขกศีรษะขอบคุณท่านด้วยซ้ำ”

 

เถี่ยซินหยวนมองเห็นทุกอย่างชัดเจน ดวงตาขุ่นมัวของท่านยายหลิวพลันสว่างวาบขึ้นมา นางดึงมือของมารดาไว้แล้วพยักหน้าหงึกหงัก จากนั้นจึงแบ่งขนมชุยปิ่งให้หลานๆ ก่อนจะพาเดินไปทางศาลาว่าการอำเภอไคเฟิงอีกครั้ง

 

หลังจากเดินกลับมาที่ร้าน มารดาของเขาดูมีสีหน้ายินดีมากกว่าเดิมเสียอีก นางชะเง้อคอยาวมองไปทางศาลาว่าการอยู่บ่อยครั้ง ราวกับนางคาดหวังเหลือเกินว่าให้ยายเฒ่าหลิวได้เงินหกพวงนั้นมา

 

เถี่ยซินหยวนหาวออกมาวอดหนึ่งก่อนปีนขึ้นหลังมารดาอย่างเกียจคร้าน เขาไม่สนใจชะตากรรมของยายเฒ่าหลิวเลยสักนิด แต่เมื่อพบว่ามารดาพูดจาโน้มน้าวหยางไฮว๋อวี้เพราะพื้นฐานจิตใจอันดีงาม ต้องการช่วยเหลือคนล้วนๆ โดยไม่ซุกซ่อนแผนการใดอยู่เลย เขาจึงรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง

 

นักบวชประหลาดที่แทงอวัยวะสำคัญของตัวเองเมื่อหลายวันก่อนกลับมาที่ร้านอีกครั้ง อาจเป็นเพราะบาดแผลตรงหว่างขายังไม่หายดี ถึงได้ยืนกางขาเล็กน้อยอยู่ตรงหน้าประตูร้าน ในมือของเขาอุ้มบาตรขนาดใหญ่ใบหนึ่ง ใบหน้าดำคล้ำเต็มไปด้วยหนวดเคราโค้งยาวยังคงประดับด้วยรอยยิ้มประหลาด

 

มารดามอบอาหารให้ชามหนึ่ง เขากลับส่ายหน้าปฏิเสธ เมื่อนำเหรียญเงินหลายเหรียญใส่ลงในบาตรของเขา อีกฝ่ายก็ไม่ยอมรับอยู่เช่นเดิม และหยิบเหรียญในบาตรออกมาวางเรียงบนโต๊ะทีละเหรียญอย่างเป็นระเบียบ จากนั้นเอ่ยวาจาด้วยสำเนียงแปลกพิกลว่า “มอบบุตรชายเจ้าถวายแด่พุทธองค์เถิด!”

 

ประโยคนี้ดั่งสายฟ้าฟาดลงกลางศีรษะหวังโหรวฮวา นางคว้าชามกระเบื้องเนื้อหยาบที่ยังไม่ทันล้างให้สะอาดขว้างใส่ศีรษะของนักบวชตรงหน้าเต็มแรง

 

ชามกระเบื้องแตกกระจายเป็นชิ้นๆ แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน เขาเอ่ยปากว่า “เดิมทีเขาคือศิษย์ของพุทธองค์ เวลานี้เขามาเกิดในตระกูลของเจ้านับเป็นผลบุญที่สั่งสมมา หากเจ้ามอบกลับคืน พระองค์จะต้องคุ้มครองให้เจ้าเข้าสู่แดนสุขาวดีแน่”

 

มารดายกม้านั่งตัวหนึ่งขึ้นมาฟาดใส่ นักบวชก็ไม่หลบเลี่ยง นางจึงคว้าไม้กวาดแล้วเขวี้ยงไปอีก เขาก็ยังไม่ขยับเขยื้อน ปล่อยให้ตัวเองโดนทุบตีพลางกล่าวว่า “น่าขัน มนุษย์โลกมีสิ่งที่นับว่าสละได้ยากยิ่งเช่น พระคุณบิดามารดา ความผูกพันของสามีภรรยา คุณธรรมระหว่างมิตรสหาย แต่กลับไม่ตระหนักว่าสรรพสิ่งบนโลกล้วนเป็นเพียงความว่างเปล่าเหมือนดั่งความฝันฉากหนึ่ง เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาก็กระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง

 

เถี่ยหวังซื่อ เจ้ายังตัดไม่ขาดอีกรึ?”

 

มารดานัยน์ตาแดงก่ำขึ้นมาทันใด คราวนี้นางคว้ามีดหั่นผักขึ้นมา มองคมมีดสับลงไปที่ไหล่ของคนตรงหน้าจนดึงไม่ออก นักบวชเครายาวเหลือบมองเลือดสดๆ ที่ไหลรินลงมา แล้วประกาศนามของพระพุทธองค์เสียงดังก้องว่า “อมิตายุสพุทธะ[2] มนุษย์โลกช่างโง่เขลา อีกสิบปีข้างหน้าเราจะกลับมาอีกครั้ง”

 

เมื่อกล่าววาจาจนจบก็ดึงมีดหั่นผักที่เสียบคาไหล่ออกแล้ววางลงบนโต๊ะ ก่อนจะเดินไปทางท้ายถนนอย่างไม่รีบร้อนพร้อมกับเลือดที่ยังไหลไม่หยุด เหมือนกับวันที่เขาเอามีดแทงตรงหว่างขาของตัวเองกระนั้น

 

“ถ้ากล้ามาอีก คราวหน้าหญิงอย่างข้าจะตัดหัวโล้นๆ ของเจ้าแน่!”

 

หวังโหรวฮวาถือมีดหั่นผักขึ้นมา ยืนส่งเสียงคำรามอย่างน่าเกรงขามอยู่กลางถนนใหญ่

 

พฤติกรรมเช่นนี้ของมารดาทำให้ชาวต้าซ่งที่ยืนอยู่ทั่วบริเวณส่งเสียงชมเชยดังเซ็งแซ่

 

กฎหมายของต้าซ่งช่างเห็นแก่พวกพ้องยิ่งนัก ในเมืองหลวงแห่งนี้ขอเพียงไม่ได้พลั้งมือทำร้ายชาวชี่ตัน[3] ชนเผ่าซึ่งอาจทำให้เกิดผลลัพธ์ร้ายแรงตามมา ก็ไม่มีใครใส่ใจสักนิดว่าเจ้าจะทำอะไรบ้าง

 

ชาวเกาลี่ ชาววะ[4] ชนกลุ่มน้อยนอกด่าน และชาวต่างแคว้นที่มีผมหลากสีสันล้วนไม่อยู่ในขอบเขตการคุ้มครองตามกฎหมายของต้าซ่ง

 

ถ้าหากชาวต่างแคว้นเหล่านี้ทำร้ายชาวต้าซ่ง พวกเขาจะโดนตัดศีรษะโดยไม่มีเงื่อนไข แต่ถ้าเป็นชาวต้าซ่งทำร้ายคนต่างแคว้น เรื่องนี้ต้องดูอารมณ์ของขุนนางตัดสินคดีแล้ว ถ้าเกิดเจอขุนนางที่กำลังอารมณ์ไม่ดี อาจโดนหาเรื่องสั่งโบยเสียหลายไม้โดยไร้เหตุผลเพื่อจบเรื่องไป

 

นอกจากนี้การควบคุมดูแลนักบวชตามบทบัญญัติกฎหมายต้าซ่งก็เข้มงวดมาก ผู้ใดไม่มีหนังสือรับรองการบวชมิใช่นักบวช การกระทำเช่นนี้จึงนับว่าผิดกฎหมายของต้าซ่ง

 

ฉะนั้นแม้หวังโหรวฮวาจะทำร้ายนักบวชนอกด่านจนเลือดอาบท่วมร่างแล้ว ก็ยังไม่อาจปล่อยไปได้อยู่ดี หลังจากนางเรียกหัวหน้าชุมชนมาบอกเล่าต้นสายปลายเหตุ เขาก็โมโหเดือดดาลไม่ต่างกัน จนนำชายอันธพาลรูปร่างสูงใหญ่หลายคนไปตามจับตัวกลับมา

 

เวลาผ่านไปไม่นาน นักบวชเครายาวที่มีเลือดสดๆ ไหลอาบทั่วร่างก็ถูกลากตัวกลับมา เขาโดนหัวหน้าชุมชนจับใส่กรงหมูแล้วยกไปที่ศาลาว่าการอำเภอ

 

ขณะที่นักบวชผู้นี้เดินผ่านหน้าร้านทังปิ่งพี่ชียังมีรอยยิ้มราวกับคนโง่งม เขาชี้มาที่หวังโหรวฮวาพร้อมเอ่ยวาจาแปลกประหลาดว่า “เจ้ารู้ดี เจ้ารู้ดี...”

 

หวังโหรวฮวาย่อมตะโกนด่าทอจนเนื้อเต้น ส่วนเถี่ยซินหยวนกลับกลอกตามองบนแล้วใคร่ครวญเรื่องนี้อย่างละเอียด

 

ชาติก่อนเขาเป็นตัวอะไร จะมีใครรู้ดีไปกว่าเขาอีก?

 

เด็กตัวเล็กๆ แถบประตูซีสุ่ยมีมากมายจนนับได้ไม่หมด เหตุใดนักบวชผู้นี้ถึงได้เจาะจงว่าเป็นเขา? ในสายตาผู้อื่นเขาก็ไม่มีอะไรแตกต่างจากเด็กอายุหนึ่งขวบเศษทั่วๆ ไปเท่าไรนี่นะ

 

ต่อให้มีเรื่องที่แตกต่างกันบ้าง แต่ก็แค่ผิวพรรณสะอาดสะอ้านกว่า ร้องไห้งอแงน้อยกว่า ถึงเด็กแบบนี้จะมีไม่มาก แต่ไม่ใช่ว่าไม่มีเลยสักคน แล้วลามะนั่นมีสิทธิ์อะไรบอกว่าเขาเป็นศิษย์ของพุทธองค์เล่า?

 

ไม่ว่าเถี่ยซินหยวนจะขบคิดอย่างไร เรื่องนี้ก็ยังเป็นปริศนาอยู่ดี นอกเสียจากว่าเขาจะไปถามนักบวชเครายาว มิฉะนั้นคงไม่มีวันจะรู้คำตอบ

 

หลังมีเรื่องกับนักบวชจากนอกด่านตะวันตกแล้ว หวังโหรวฮวาก็ไม่ยอมให้เถี่ยซินหยวนออกนอกสายตาตัวเองอีก สุดท้ายเวลาทำงานก็แบกบุตรชายเอาไว้บนหลังเสียเลย ทำให้นางต้องลำบากกว่าเดิม

 

สถานการณ์เช่นนี้คงอยู่ต่อไปอีกหลายวัน จนมารดาคิดขึ้นได้ว่าควรจ้างคนมาช่วยดูแลร้านเสียสองคน สำหรับนางแล้วบุตรชายคนนี้สำคัญยิ่งกว่าการกอบโกยเงินทองหรือกิจการเล็กๆ นี่มากนัก

 

เมื่อผ่านไปได้หกวัน ขณะที่มารดากำลังสอบถามหญิงกลุ่มหนึ่งที่ตั้งใจมาสมัครช่วยงานครัว นางก็ได้รับทราบข่าวสองเรื่อง

 

หลังรออยู่หลายวันก็ไม่มีความคืบหน้า หยางไฮว๋อวี้ตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะเอาเรื่องศาลาว่าการอำเภอไคเฟิง เขาจัดการหักแขนทั้งสองข้างของผู้ช่วยนายอำเภอคนหนึ่ง รวมถึงทุบนิ้วทั้งสิบของเจ้าหน้าที่ผู้โชคร้ายจนแหลกละเอียด

 

เมื่อคดีความมาถึงศาลไคเฟิง คราวนี้ประมุขหญิงตระกูลหยางยืนอยู่ข้างบุตรหลานของตัวเองอย่างชัดเจน ในพระตำหนักทองนางกล่าวตำหนิขุนนางทัดทานหลายคนที่ยื่นเรื่องฟ้องร้องหยางไฮว๋อวี้ทำตัวกำเริบเสิบสาน แม้กระทั่งขุนนางทัดทานฝ่ายตะวันออกนางก็ไม่ละเว้น ถูกหญิงชราผู้นี้พ่นน้ำลายใส่เต็มหน้า

 

ฉะนั้นศาลไคเฟิงจึงต้องปล่อยตัวหยางไฮว๋อวี้ที่เข้ามามอบตัวแต่โดยดีไปเสีย แล้วจ่ายเงินชดเชยให้บ้านหลิวอาชีใหม่อีกหกพวง ถึงได้ปิดคดีนี้ลงเรียบร้อยเสียที

 

สำหรับเรื่องที่หยางไฮว๋อวี้ระบายโทสะแต่ไม่ทันระวัง พลาดพลั้งไปเตะนักบวชจนคอหักตาย ในเอกสารของทางการตั้งแต่ต้นจนจบไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้เลยสักนิดเดียว

 

แต่มีข่าวร่ำลือกันในหมู่ราษฎรว่า ขณะที่นักบวชผู้นั้นสิ้นใจก็อยู่ในท่านั่งสมาธิ ส่วนศีรษะแม้จะห้อยลงมา กลับดูสง่างามน่าเลื่อมใสดังพระโพธิสัตว์ก็ไม่ปาน

 

----------------------------

 

[1] ต้นหลี่ตายแทนต้นท้อ(李代桃僵)เป็น 1 ใน 36 กลยุทธ์ของสามก๊ก หมายถึง การแปรเปลี่ยนจากสถานการณ์ที่เป็นฝ่ายเสียเปรียบให้เป็นการได้เปรียบ ยอมเสียส่วนน้อยเพื่อรักษาส่วนใหญ่

[2] อมิตายุสพุทธะ(无量寿佛) อมิตายุส(无量寿)แปลว่า พระผู้มีอายุกาลไม่มีประมาณ

[3] ชาวชี่ตัน(契丹人)ชนเผ่านอกด่านทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน

[4] ชาวเกาลี่(高丽人)ชนเผ่าที่อาศัยอยู่เขตแดนประเทศเกาหลีเหนือในปัจจุบัน ส่วนชาววะ(倭国人)คำเรียกชาวญี่ปุ่นในสมัยโบราณ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด