ตอนที่ 30 เพราะว่าเป็นเพื่อน
ตอนที่ 30 เพราะว่าเป็นเพื่อน
พระอาทิตย์ค่อย ๆ เคลื่อนคล้อยไปยังทิศตะวันตกอย่างเชื่องช้า ย้อมท้องฟ้าในเวลานี้ให้กลายเป็นสีแสดแดง เสียงของแมลงตีปีกแข็งกันเซ็นแส่คลอเคล้าไปกับเสียงร้องของเหล่านกโผบินกลับรัง ทุกสิ่งทุกอย่างบ่งบอกได้เป็นอย่างดีถึงช่วงเวลายามเย็นที่กำลังจะมาถึง
ในตัวเรือนใหญ่ในตอนนี้กำลังวุ่นวายกันเป็นนักหนา คนครัว สาวใช้ ตลอดจนเจ้าของทุกคนดูตั้งใจและขยันขันแข็ง เพื่อให้งานเลี้ยงรับรองแขกหลังการประชุมที่จะจัดในคืนนี้เป็นไปด้วยความราบรื่นสมกับที่มีคนใหญ่คนโตถึงสองคนมาเป็นแขกในงานนี้
ซึ่งไม่คิดจะถาม ‘คนใหญ่คนโต’ เลยสักนิดว่าเขาอยากได้งานเลี้ยงไหม
...แต่เห็นตั้งใจแบบนั้น ก็ขัดไม่ไม่เหมือนกันล่ะนะ
เหอไป๋หลานมองภาพความวุ่นวายของโถงจัดงานรับรอง ยิ้มน้อย ๆ อย่างเหนื่อยใจปนเอ็นดูก่อนเขาเดินหลบเลี่ยงจากผู้คนออกมายังสวนย่อมในสถานที่รับรองแขก ในตอนนี้เขาต้องการการพักผ่อนให้หายเหนื่อยจากการเดินทางและความเครียดมากเสียกว่าจะต้องไปพบปะใครๆ
ไม่ใช่ความเครียดจากงานเพราะการประชุมพราะต่อให้กติการอบคัดเลือกการประลองยุทธในครั้งนี้เป็นกติกาใหม่ แต่เขาก็วางแผนมาเป็นอย่างดี เตรียมการทุกอย่างมาพร้อมเสร็จสรรพ ซ้ำมติในที่ประชุมยังผ่านฉลุย ทุกคนเห็นด้วยกับความคิดของเขาแทบจะทั้งนั้น
เพราะฉะนั้นสิ่งที่ทำให้เขาเครียด มันเป็นเพราะกรณีเฉพาะมากกว่า
เสวี่ยหงเยว่...นั่นคือนามของคนที่ทำให้ชายผู้ไม่เคยพบเจอปัญหาทำหน้าหนักใจเช่นนี้
พอคิดถึงเรื่องนั้นขึ้นมา เหอไป๋หลานถึงกับพ่นลมหายใจออกมาอย่างเสียไม่ได้ความค้างคาและไม่เข้าใจมันทำให้เขาหนักอก ระยะหลายปีหลังจากเรียนจบมานี้เสวี่ยหงเยว่ทำตัวเหินห่างจากเขามาก ไม่พบปะในงานสังคม ส่งจดหมายก็ตอบกลับน้อยมาก ในตอนแรกเขาคิดว่าเพราะได้ขึ้นเป็นประมุขเต็มตัวจึงทำให้ไม่มีเวลาเที่ยวเล่นด้วยกันดังสมัยเด็ก ๆ
ทว่าสิ่งที่เห็นวันนี้ยิ่งทำให้เขามั่นใจว่ามันไม่ใช่เหตุผลของการเป็นประมุข
ต่อให้เสวี่ยหงเยว่มีทีท่าเป็นพวก ‘หน้านิ่งไม่สนร้อน ไม่สนหนาว’ สักแค่ไหน แต่สมัยเรียนด้วยกัน ก็ไม่ได้เย็นชากับเขาขนาดนี้
ไม่ชอบบรรยากาศชวนอึดอัดแบบนี้เลย
ทว่าเมื่อเดินมาถึงสวน เขาก็ต้องชะงักไป เมื่อเห็นว่าที่ศาลากลางน้ำนั้นบางคนมาถึงก่อนเขาแล้ว คน ๆ นั้นกำลังนั่งพักพลางอ่านหนังสือไปด้วยสีหน้าและบรรยากาศนั้นดูสงบผ่อนคลาย ทว่ามันกลับทำให้เหอไป๋หลานรู้สึกลังเลที่จะก้าวเดินอย่างไม่มั่นใจว่าตนควรจะโผล่หน้าไปดีไหม
เพราะคนที่อยู่ในศาลาแห่งนั้นคือเสวี่ยหงเยว่
เมื่อเสวี่ยหงเยว่รู้สึกตัวว่ามีสายตากำลังจ้องมองอยู่เขาจึงเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือ ดวงตาสีแดงสบสายตากับเหอไป๋หลานชั่วประเดี๋ยวหนึ่ง ประมุขหนุ่มก็มีสีหน้าครุ่นคิดและคิดหนักมากเสียจนเรียวคิ้วของเขานั้นเริ่มขมวดมุ่น และเมื่อตัดสินใจได้ เขาจึงพับหนังสือเก็บ
ประมุขหนุ่มพยักหน้าให้กับเหอไป๋หลานแทนคำทักทายเล็กน้อย และในจังหวะที่เขากำลังจะลุกขึ้นมาจากที่นั่งนั้นเอง เหอไป๋หลานก็รีบใช้วิชา เร่งความเร็วการเดินของตัวเองตรงมายังศาลา เพียงปราดเดียวก็มาถึงพร้อมดึงแขนของเสวี่ยหงเยว่เอาไว้ รั้งไม่ให้หนีไปไหนอีก
“นี่เจ้ากำลังหนีหน้าข้าจริงๆ ให้ไหม หงเยว่” เหอไป๋หลานจ้องมองใบหน้าของคนที่ถูกรั้งแขนเอาไว้ด้วยสีหน้าจริงจังจนประมุขหนุ่มมีสีหน้าอึดอัดใจ ในหัวของเสวี่ยหงเยว่ตอนนี้เต็มไปด้วยความคิดหลากหลายในหัว และไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรก่อน ได้แต่หลบตาไปทางอื่นโดยยังคงรักษาความสุภาพให้มากที่สุด
“ข้าแค่ไม่อยากรบกวนเวลาพักของท่าน” เสวี่ยหงเยว่ตอบแล้วค่อยๆ ดึงมือตัวเองออกจากการเกาะกุม เหอไป๋หลานมองสีหน้านั้น เขาไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าอีกคนเป็นอะไร หรือกำลังคิดอะไรอยู่
เชี่ยเอ๊ย! มายื้อยุด ยืนยักแย่ยักยันเป็นพระเอกตามง้อนางเอกแบบนี้ทำไมวะเนี่ยคุณชายไป๋หลานนนน จะมาบิ้วท์บรรยากาศชวนเปลี่ยนหมวดไปนิยาย BL ตอนนี้ไม่ได้นะเว้ยครับ!!
แล้วนี่ตูจะมาสะบัดสะบิ้งทำไมรับมุกทำไมเนี่ย โว๊ะ!!
นั่นคือสิ่งที่ประมุขเสวี่ยคิด ภายหน้าสีหน้าที่ดูเหมือนอัดอัดลำบากใจนั้น...ซึ่งดีแล้วที่เหอไป๋หลานไม่รู้ว่าเสวี่ยหงเยว่นั้นคิดอะไรอยู่
สุดท้ายด้วยความรู้สึกเสียววูบวาบกลัวจะทำนิยายเปลี่ยนหมวดเรื่องไปจริงๆ เสวี่ยหงเยว่จึงสูดลมหายใจลึกๆ เมื่อทำใจได้แล้วก็หันไปหาเหอไป๋หลาน สบดวงตาสีทองคู่นั้นอย่างตรงไปตรงมา
“ได้โปรดอย่าคิดว่าข้าจะหนีหน้าท่าน” เขาตอบหลังจากดึงข้อมือตัวเองออกมาจากการเกาะกุมของเหอไป๋หลานได้สำเร็จ “ข้าดำรงในตำแหน่งประมุขเต็มตัวแล้ว ย่อมไม่อาจเที่ยวเล่น หรือเป็นเด็กน้อยได้เช่นเมื่อก่อนเท่านั้นเอง ท่านอย่าได้คิดมากไป...เลย”
ทว่ายิ่งพูดเสียงของเสวี่ยหงเยว่ก็ค่อยๆ หายไปด้วยความรู้สึกผิดที่กำลังก่อเกิด ไม่รู้ว่าเพราะพักนี้ตนตามใจเหอไป๋เทียนมากเกินไปหรือไร ทั้งดวงตาสีทอง ทั้งใบหน้าที่คล้ายคลึงกันของพี่น้อง มันทำลายกำแพงความใจแข็งของเขาที่มีต่อเหอไป๋หลานลงไปทุกที ๆ
“อย่างน้อยแค่ดื่มสุราปราศัยกันก็ได้...” เหอไป๋หลานทำเสียงอ่อนลงมาเล็กน้อย สายตาที่มองมานั้นช่างดูน่าสงสาร น่าเห็นใจ หากส่งเสียงหงืดๆ หงิง ๆ ออกมาได้ เขาคงเห็นคุณชายคนนี้ซ้อนทับกับลูกหมาถูกทิ้งไปแล้วจริงๆ
“ข้าเข้าใจแล้ว” เสวี่ยหงเยว่ยอมแพ้โดยดุษฎี ดวงตาสีแดงมองเหอไป๋หลาน นอกจากอากัปกริยานั้นจะทำให้เขาคิดถึงคุณชายเหอคนน้องแล้ว ความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนระหว่างพวกเขาทั้งสองสมัยเรียนนั้นไม่ได้แย่ ออกจะเป็นความทรงจำที่ดีเสียด้วยซ้ำ
“แต่หากสุราที่ท่านเชื้อเชิญดื่มรสชาติไม่ดี ข้าอาจจะต้องขอตัว”
“รสดีแน่นอน ข้ามั่นใจว่าเจ้าจะต้องชอบ” เหอไป๋หลานว่า เมื่อได้ยินคำตอบรับจากเสวี่ยหงเยว่แล้ว น้ำเสียงร่าเริงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
นั่งรอด้วยความเงียบสักพักสาวใช้ก็นำสุราและของแกล้มสำหรับสองคนมาเสิร์ฟยังศาลากลางสวนหย่อม เหอไป๋หลานค่อย ๆ รินของเหลวสีมาใส่จอกให้เสวี่ยหงเยว่อย่างช้า ๆ จนได้กลิ่นหอมของผลท้อละมุนแตะจมูก อีกทั้งเมื่อลองชิมรส ก็พบว่ามันกลมกล่อมกำลังดี เหมาะสมที่จะดื่มในยามหน้าร้อนยิ่งนัก
“สุราท้อนี้เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่จากเมืองสังกัดสกุลข้า...เป็นเช่นไรบ้าง ดีเทียบเท่าน้ำทิพย์เหมันต์แห่งเสวี่ยหรือไม่” เหอไป๋หลานยิ้มบาง พลางจิบสุราในจอกตน สีหน้าของเขา ดูพึงพอใจกับรสชาติมันยิ่งนัก
“รสชาติกลมกล่อมและหอมนุ่ม นับว่าไม่เลวทีเดียว” เสวี่ยหงเยว่ตอบ ที่จริงเขาไม่ใช่พวกสิงห์สุรา แต่หากมีของรสดีให้ลองชิมฟรีๆ มีหรือจะไม่ชอบ
“หงเกอ...”
“อะไรหรือ—”
เสวี่ยหงเยว่ตอบไปได้ความเคยชิน ทว่าพอรู้สึกตัวว่าคนที่อยู่ตรงหน้านี้คือคนพี่ไม่ใช่คนน้อง เจ้าตัวก็ชะงัก กัดลิ้นตัวเอง เกือบจะสำลัก ชายหนุ่มรีบเอามือปิดปากกลืนความเจ็บลงไปพร้อมกับเหล้า ซ่อนอาการเลิกลั่กของตัวเองเอาไว้ให้มิดแล้วรีบหันไปหาเหอไป๋หลานทันที
“เจ้ามีอะไรกับชายชื่อหงงั้นหรือ” รีบพูดทับคำพูดเก่าทันทีเพื่อไม่ให้มันน่าสงสัยกว่าเดิม...มั้ง
และดูเหมือนความโชคดีจะเข้าข้างเสวี่ยหงเยว่ เหอไป๋หลานดูคร่ำเครียดมากเสียจนจับสังเกตอาการผิดปกติไม่ได้ เขาเริ่มพูดต่ออีกครั้ง
“น้องชายข้ามักเขียนเล่าถึงชายคนนี้บ่อยมาก ๆ ในจดหมายที่ส่งมาหาข้า เรียกได้ว่าในแทบจะทุกสามย่อหน้าจะต้องมีนามนี้ปรากฏ” เหอไป๋หลานมืดไปครึ่งหน้า สีหน้าดูเครียดเล็กน้อย “ไป๋เทียนกล่าวว่าชายคนนั้นทำงานให้ประมุขเสวี่ย ข้าเลยมาถามว่าเจ้ารู้จักเขาหรือไม่”
คำถามที่เหอไป๋หลานถามทำให้เสวี่ยหงเยว่ลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ ด้วยความโล่งอก
“งั้นหรอกหรือ” เสวี่ยหงเยว่รับคำ ซดสุราอีกครั้ง แก้อาการเจ็บลิ้นเนื่องจากการเผลอกัดไปเมื่อครู่
“ใช่...เขาทำงานกับข้า” เสวี่ยหงเยว่ตอบ แม้สีหน้าจะไม่เปลี่ยน แต่เขากำลังเชื่อมโยงวางแผนการโกหกในหัวเสียให้วกวนไปหมด โบราณกล่าวว่าคนโกหกย่อมจำเรื่องโกหกไม่ค่อยได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาจึงต้องพยายามทบทวนสิ่งที่ตัวเองโกหกทั้งหมดเพื่อให้แนบเนียนที่สุด
หากโลกนี้มีนรกก็อย่าได้ลากเขาลงไปเลย เขาต้องยอมผิดศีลเพื่อการเอาตัวรอดจริง ๆ
“ไม่ใช่คนไม่ดีใช่ไหม เป็นคนตั้งใจทำงานหรือเปล่า มีความรับผิดชอบขนาดไหน หน้าตาล่ะ แล้วไหนจะเรื่องนิสัยอีก เจ้าช่วยตอบข้ามาหน่อยได้ไหม” สีหน้าของเหอไป๋หลานนั้นเคร่งมาก น้ำเสียงเองก็เครียดมากเช่นกันจนคนโดนถามเริ่มร้อนๆ หนาว ๆ รู้สึกเหมือนเจอคุณพ่อขี้เป็นห่วงกลัวลูกโดนผู้ชายไม่ดี ไม่มีหัวนอนปลายเท้าหลอกไปทำมิดีมิร้อยอย่างบอกไม่ถูก
แล้วไอ้ผู้ชายไม่ดี ไม่มีหัวนอนปลายเท้าที่ว่าก็คือ...เขาเองนี่แหละ
“ท่านช่วยถามข้า ทีละข้อ ช้า ๆ หน่อยจะได้ไหม” เสวี่ยหงเยว่ยกมือปางห้ามญาติใส่อีกฝ่าย รินสุราให้อีกจอก ยื่นกับแกล้มให้อีกชิ้น พยายามกล่อมให้เหอไป๋หลานใจเย็นลง จะได้ไล่องค์คุณพ่อขี้เป็นห่วงออกจากร่างเสียที
เหอไป๋หลานถอนหายใจ ดื่มไปพลาง กินกับแกล้มไปพลาง ใจก็เริ่มเย็นขึ้นมาหลายระดับ
“ข้าขอโทษ”
“ไม่เป็นไร...ส่วนคนที่ชื่อหงที่ท่านถาม ท่านไม่ต้องกังวล เขาทำงานกับข้า เป็นคนดี ตั้งใจทำงานอย่างหนัก มีความรับผิดชอบ นิสัยดี ส่วนหน้าตาก็ดี” เขาไม่ได้โกหก หรือหลงตัวเองแม้แต่น้อย นี่เขาตอบตามความจริงทุกอย่างโดยเฉพาะข้อหน้าตา
...โอเค...หลงตัวเองก็ได้
เพราะเกณฑ์หน้าตาของตัวละครเด่นในนิยายเรื่องนี้มันหน้าก็ตาดีแทบทุกตัว...โดยเฉพาะไอ้คู่พี่น้องที่อยู่ตรงหน้าเขานี่แหละ
“ข้ามั่นใจได้ใช่ไหม?” เหอไป๋หลานเอ่ยย้ำจนเสวี่ยหงเยว่ชักอยากเลิกเก็กแล้วตบบ้องหูมันสักทีสองทีแล้วตะโกนด่ากรอกหูด้วยคำพูดอะไรอย่าง ‘เรื่องอื่นล่ะฉลาดนักพอเป็นเรื่องน้องนี่ห่วงหน้าพะวงหลัง ไอ้บราค่อนเอ๊ย’ ...แต่เขาก็ได้แค่คิดเท่านั้น
“เอาล่ะ คุณชายเหอ...เจ้าไป๋หลานคนเก่ง เจ้าเชื่อใจข้าหรือไม่เล่า” ดวงตาสีแดงจับจ้องคนตรงหน้า ลืมเรื่องที่ตัวเองต้องหลบหน้าอีกฝ่ายไปชั่วขณะ “หากเชื่อใจแล้ว ก็ได้โปรดเชื่อคำที่ข้าเอ่ย ชายที่ชื่อหงนั้นไม่ได้เป็นภัยอะไรกับน้องชายเจ้าเลยแม้แต่น้อย”
หากมีใครเป็นภัย ก็น้องชายพี่นี่แหละครับที่จะเอาดาบมาปักผมในอนาคตตต!!
เหอไป๋หลานฟังคำ เงยหน้าขึ้นมา ริมฝีปากขยับเล็กน้อยคล้ายจะกล่าวพูดบางอย่าง
“ว่าอย่างไร...เจ้าจะยอมเชื่อใจข้าหรือไม่?” ชั่วครู่ที่คนหน้านิ่งนั้นแย้มรอยยิ้มออกมาบางๆ เพราะเห็นสีหน้าหนูจำไมของเหอไป๋หลานแล้วนึกถึงเด็กตาแป๋วคนน้องขึ้น
และรอยยิ้มนั้นก็ทำให้เหอไป๋หลานเงียบสิ่งที่จะพูดไปเสียสนิท ชายหนุ่มคิดอะไรบางอย่างในหัวก่อนจะพยักหน้าตอบรับกับคำพูดของเสวี่ยหงเยว่
“ข้าจะเชื่อเจ้า”
“ดีมาก” เสวี่ยหงเยว่ตอบแล้วกลับมาดื่มดังเดิม
แต่แล้วเมื่อผ่านไปสักพักเสวี่ยหงเยว่ก็ได้ยินเสียงหัวเราะคล้ายคนโล่งใจดังออกมาจากคนด้านข้างและเมื่อเขาหันไปหาต้นเสียงก็เห็นเหอไป๋หลานนั้นกำลังยิ้มและมองมาที่เขาอยู่
และนั่นทำให้เสวี่ยหงเยว่ถึงกับทำหน้าอิหยังวะ (รอบที่สอง) ใส่
“เจ้ามองข้าอยู่นะ” เหอไป๋หลานหันไปสบตาเสวี่ยหงเยว่ ยิ่งเขาเห็นคิ้วเรียวคู่นั้นขมวดมุ่นอย่างหนักแล้วก็ยิ่งยิ้มกว้างกว่าเดิม
“ท่านทำตัวสมควรมองไม่ใช่หรือไร ไม่มีเหตุอันใดแต่กลับหัวเราะออกมา” เสวี่ยหงเยว่พ่นลมหายใจออกมายาวๆ ระหว่างนั้นก็หยิบไปเหล้าขึ้นมาเทใส่จอกอีกครั้ง
“ข้าแค่ผ่อนคลายลง...เพราะในที่สุด เจ้าก็กลับมาพูดดีๆ กับข้าดังเดิมก็เท่านั้น”
แล้วคำตอบนั่นก็ทำให้เสวี่ยหงเยว่ชะงักมือไป ในหัวคิดอะไรมากมายหลายอย่างไปหมด รู้สึกเหมือนเหงื่อล่องหนแตกพรากจนน้ำตาแทบไหลรินออกจากดวงตา การหลบหน้าของเขาคล้ายจะไม่เป็นผลเพราะผลสุดท้ายพอได้เจอหน้า ได้พูดคุยอีกครั้ง ตัวเองก็เผลอทำตัวแบบเดิม ๆ ใส่จนได้
ความเคยชินนี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว
เมื่อคิดได้แบบนั้นเสวี่ยหงเยว่จึงรีบรวบหนังสือ ลุกขึ้นมา หันไปมองอีกฝ่าย สีหน้านั้นดูอึดอัดคล้ายอยาจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าสุดท้ายก็เงียบลงไป ชายหนุ่มค่อยๆ โค้งตัวคล้ายคำขอตัว
“ข้าคงต้องขอตัวไปพักผ่อนที่ห้องก่อน สุรารสเลิศนัก ขอบคุณมากและข้ายินดีที่ได้สนทนากับท่านขอรับ” เมื่อพูดจบ เขาก็รีบผละตัวออกมา เดินออกไปให้ไวที่สุด แสร้งไม่ได้ยินเสียงร้องรั้งให้อยู่ต่อของเหอไป๋หลาน
เสวี่ยหงเยว่อยากหนีจากศาลาแห่งนี้ให้ไวที่สุด เพราะหากยิ่งอยู่ใกล้คงยิ่งสับสนมากกว่าเดิม การแก้ไขปัญหาอย่างงี่เง่าจนเหมือนเด็กน้อยไม่ประสีประสาเช่นนี้มันไม่สมเป็นตัวของเขาเลยแม้แต่น้อย
ทว่า..ทว่า...
เสวี่ยหงเยว่นั้นไม่รู้จะรับมืออย่างไร การที่ต้องมารู้ว่าเพื่อนสนิทตัวเองนั้นในอนาคตจะต้องตายอย่างไม่มีทางเลี่ยงเหมือนกับพ่อและแม่ของเขามันทำให้รู้สึกเจ็บขึ้นมา เขาปกป้องใครไม่ได้ ไม่มีหนทางที่ช่วยเหลือเหอไป๋หลานได้เลยแม้แต่น้อย แค่จะบอกให้ระวังตัวยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
ในตอนนี้เขาถูกเงื่อนที่ตัวเองผูกในอดีตกลับมาทำร้าย ความผูกพันมันทำให้เขาเจ็บปวดไปพร้อม ๆ กับรู้สึกสับสนที่ไม่สามารถหลุดพ้นได้
ทำไมต้องกำหนดบทให้เหอไป๋หลานตาย
ทำไมต้องกำหนดบทเหอไป๋หลานให้มาเป็นเพื่อนเสวี่ยหงเยว่
ทำไม...
ทำไม...
เสวี่ยหงเยว่หยุดลงที่มุมตึก เส้นทางนั้นเป็นเส้นทางที่ไร้ซึ่งผู้คนเดินผ่าน ดวงตาสีแดงนั้นหลับลง ความเจ็บปวด ความทรมานที่ไม่อาจจะระบายที่ใดได้ทำให้ในอกของเขานั้นอึดอัดไปหมด มือของเขากำแน่นขึ้น แน่นขื้นเรื่อยๆ ก่อนที่จะชกเข้ากับกำแพงอย่างเต็มแรงจนมือข้างนั้นสั่นไปหมด
ทว่าเขากำมือแน่นมากเท่าไร ชกแรงมากแค่ไหน ก็ไม่อาจจะระบายความรู้สึกเจ็บปวดในใจนี้ไม่ได้เลย
บทของเหอไป๋หลานนั้นเป็นบทสำคัญ เพื่อเป็นแรงผลัดดันให้เหอไป๋เทียนทิ้งคาร์แร็คเตอร์เด็กน้อยไร้เดียงสา เติบโตเป็นพระเอกที่แข็งแกร่งเป็นผู้นำ
ต่อให้เขาทำใจกับการตายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตของเหอไป๋หลานได้ก็ไม่อาจจะทำให้เขาหายเจ็บปวดไปเพราะในตอนนี้เขาได้ล่วงรู้ถึงสิ่งหนึ่งที่หนังสือพล็อตย่อไม่บอก...
สิ่งนั้นเขารู้จากการเห็นนิมิต...นิมิตถึงความทรงจำของเสวี่ยหงเยว่ตัวต้นฉบับ ทั้งการไล่ล่า ทำลายล้าง การเข่นฆ่าผู้คนมากมายราวกับผักปลาเพื่อแสวงหาอำนาจมืออันไร้ที่สุดสุด ทว่ามันไม่ใช่แค่นั้น เพราะนิมิตเหล่านั้นยังทำให้เขาได้มองเห็นถึงความเป็นไปในมุมกว้าง เขารู้เรื่องราวของนิยายเรื่องนี้ละเอียดมากขึ้น
เรื่องที่ไม่เคยระบุในเรื่องย่อ ค่อย ๆ ปรากฏให้เขาเห็นมาทีละเรื่อง...สองเรื่อง
ใช่...หากเส้นเรื่องในนิมิตนั้นเกิดขึ้นจริงแล้วล่ะก็ เขาเห็นได้ว่าแท้จริงแล้ว สิ่งที่ทำให้เหอไป๋เทียนเปลี่ยนจากเด็กน้อยใสซื่อกลายเป็นพระเอกมีปมก็คือเพื่อนคนนั้น...เพื่อนคนที่เหอไป๋เทียนเจอระหว่างเดินทางในต้นฉบับ
มิน่าเล่าสตอรี่ช่วงเดินทางไกลถึงได้เป็นปัญหาดราม่าทำร้ายจิตใจได้จนพังถึงเพียงนี้ เพราะบทเพื่อนของพระเอกนั้นคือคนที่ทรยศหักหลัง ฆ่าพี่ชายของเหอไป๋เทียนต่อหน้าต่อตา ต่อให้คนฆ่าในต้นฉบับไม่ใช่เขา แต่การที่เขาเล่นบทนี้ย่อมเท่ากับว่าตัวเองต้องรับหน้าที่นี้ด้วยไม่ใช่หรือ?
พอคิดได้แบบนั้น ริมฝีปากก็เม้มแน่น รสชาติของเลือดนั้นคลออยู่ปลายลิ้น ทรมานอึดอัดเสียจนอยากจะหายไปจากตรงนี้ให้ได้
ฆ่าเพื่อนสนิท...
ทำให้เหอไป๋เทียนเคียดแค้นจนตามฆ่า...
ช่างเป็นจุดแตกหักที่ทรมานจิตใจอย่างเหลือเกิน