ตอนที่ 30 คนสำคัญ
ตอนที่ 30 คนสำคัญ
“ภาวนาขอให้เป็นว่าเพราะเธอมีพลังวิญญาณสูงมากแทนเถอะ ไม่ใช่ว่าแม้แต่ดิคเคนส์ก็ทำอะไรเธอไม่ได้เหมือนกัน...”
เฮคเตอร์อึ้งไปเลย เขาไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยจริงๆ ถ้าเป็นจริงตามนั้นล่ะก็… ไม่หรอกเป็นไปไม่ได้ แม้แต่คนที่พลังต้านทานสูงที่สุดอย่างเจ้าเคนเซย์ยังอาจจะโดนดูดตายได้ โซอีก็ไม่น่าจะรอดได้หรอก
นึกได้ดังนั้นชายหนุ่มก็โงหัวขึ้นมาอีกรอบ แล้วบ่นด้วยความหงุดหงิดออกมา
“จะไม่ให้ผมห่วงได้ยังไง ดูชีวิตเธอสิเอ็ดจัง ไม่คิดว่ามันมากเกินไปหน่อยเหรอ ต่อให้เข้มแข็งแค่ไหน ถึงจะแกล้งทำเหมือนร่าเริงดีไม่เป็นไร แต่ไม่มีทางที่จะไม่เป็นอะไรได้หรอก ถึงจะไม่ได้ตั้งใจทำเองก็เถอะ แต่ยังไงก็มีคนตายเพราะยัยนั่นตั้งเก้าสิบเก้าคน เพราะอย่างนั้น…”
คำพูดที่หยุดชะงักไปนั้นทำเอาผู้ที่กำลังจะพูดเองอึ้งไปเลยเช่นกัน เพราะไม่คิดว่าชีวิตนี้จะพูดอะไรแบบนี้ออกมาได้
“เพราะอย่างนั้น…”
เอ็ดเวิร์ดตอกย้ำท้ายคำที่ขาดหายไป
“เพราะอย่างนั้น...คิดว่าพิธีชำระวิญญาณจะช่วยอะไรได้มั้ย”
“...นายคิดจะทำให้เธอ?”
ผู้ฟังเลิกคิ้วข้างหนึ่งจนถามอย่างแปลกใจทีเดียว เพราะไม่คิดว่าจะได้ยินคำนี้จากเฮคเตอร์เช่นกัน
“ถ้าอาการผิดปกติไม่โตของเธอเกิดจากสภาพผิดปกติของพลังวิญญาณอะไรสักอย่าง นี่อาจจะเป็นหนทางเดียวที่อาจจะช่วยเธอได้รึเปล่า อย่างน้อยที่สุดถ้าอาการไม่โตนี่หายเป็นปกติ จนเธอโตขึ้นจนแก่ตายได้เหมือนคนปกติล่ะก็… ผมก็คงจะวางใจห่วงเธอน้อยลงได้ แล้วปล่อยเธอไปได้จริงๆ”
“อืม...บอกไม่ถูกแฮะ เพราะเราก็ไม่รู้อาการที่แท้จริงของเธอนั่นแหละว่าเกิดจากอะไร อันที่จริงฟอแกนด์ก็ทำท่าเหมือนอยากจะถามโซอีหลายรอบแล้วแต่ยังดูเกรงใจนายอยู่ คือเธอจะไม่ยอมไปศูนย์วิจัยจริงๆ เหรอ”
“อ้าว...ผมนึกว่าเธอมาปรึกษาเรื่องยื่นขอที่พักย้ายไปอยู่ศูนย์วิจัยกับเอ็ดจังแล้วซะอีก ตอนนี้เธอไม่อยากอยู่กับผมชนิดที่ยอมขอย้ายไปอยู่ศูนย์วิจัยแล้วดูสิ หรือยัยเปี๊ยกนั่นอาจจะขอย้ายไปอยู่บ้านเจ้าเคนก็ได้ ท่านแม่ของเคนเซย์ก็รับปากตกลงต้อนรับแล้วซะด้วย”
“ตอนคุยกันเธอไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้นเลยนะ แค่มาถามเรื่องนายเท่านั้นแหละ”
“.........ทำไมผู้หญิงถึงได้เข้าใจยากแบบนี้นะ”
“ไม่เห็นจะยากตรงไหนเลย ดูยังไงก็ชัดเจนว่ากำลังน้อยใจอะไรสักอย่างนายอยู่นั่นแหละ โซอีอาจจะไม่ได้อยากย้ายออกจริงๆ ก็ได้ ก็แค่งอนอะไรสักอย่างเท่านั้นเอง”
นึกย้อนกลับไปแล้วเฮคเตอร์ได้แต่เอามือขยี้หัวตัวเอง เขาจะปล่อยเธอไปอยู่ที่อื่นในสภาพแบบนี้ได้ยังไงกัน แต่อยู่กันไปแบบนี้เกิดเป็นเขาเองที่ทำให้เธอเสียใจขึ้นมาทีหลังมันก็คงจะไม่ต่างกันนักหรอก
“เฮคเตอร์... ตอนนี้โซอีก็สำคัญกับนายพอที่จะคิดอยากทำแบบนั้นให้ได้แล้วนี่นา ไม่ว่าจะสำคัญด้วยความรู้สึกแบบไหนก็เถอะ บอกให้เจ้าตัวเขารู้หน่อยดีมั้ย”
คนมีปัญหาไม่ตอบอะไรกลับไปอีก เขายกแก้วเครื่องดื่มซดรวดเดียวจนหมด ก่อนจะหายตัวไปอย่างไม่ล่ำลา
เฮคเตอร์กลับมาถึงห้องของตัวเอง ไฟทั้งห้องมืดหมดจนเขานึกว่าโซอีคงเข้าไปนอนแล้ว แต่ในขณะที่เดินผ่านโซฟาจะกลับห้องของตัวเองเพื่อไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมอาบน้ำนั่นเอง ชายหนุ่มกลับต้องสะดุ้งเมื่อหันไปเห็นเงาร่างเล็กๆ ที่นอนหลับอยู่บนโซฟา
แสงสลัวที่รอดมาจากหน้าต่างที่เปิดม่านไว้ทำให้พอเห็นอะไรๆ ในห้องได้ เฮคเตอร์เดินไปที่ด้านหน้าโซฟา นั่งลงกับพื้นเท้าคางมองดูโซอีที่นอนหลับตานิ่งๆ ไม่ไหวติง
ตัวก็เล็กนิดเดียวแค่นี้ เธอไปเอาเรี่ยวแรงที่ไหนมาต่อสู้กับชีวิตขนาดนี้กัน มองโซอีทีไรความรู้สึกนี้ก็แวบเข้ามาเสมอ
เขาจะปล่อยให้เธออยู่ห่างจากสายตาได้ยังไง ขนาดอยู่ใกล้แค่นี้ยังเป็นห่วงจะแย่อยู่แล้ว ไอ้คนร้ายพวกนั้นก็จ้องมาจับตัวไปตลอดเวลา แต่ก็นั่นแหละ ถ้าสักวันนานไปเกิดเธอเป็นเหมือนหมออนาเซียเข้าแล้วเขาต้องปฏิเสธเธออีก นั่นคงทำให้เธอเจ็บปวดจนอาจจะคิดทำอะไรบ้าๆ ไม่สิ...ทำไปก็ไม่ตายสินะ แต่เพราะว่าไม่ตายนี่แหละที่น่ากังวลกว่าเยอะเลยรึเปล่า ที่ไม่รู้ว่าจะต้องจมอยู่กับเรื่องพวกนี้ไปถึงเมื่อไร
ทำไมความหวังเดียวในชีวิตของเธอ ต้องเป็นสิ่งที่เขาไม่นึกฝันถึงที่สุดกันนะ อย่างน้อยถ้าเป็นสิ่งที่เขาพอจะทำให้เธอได้บ้างล่ะก็ เขาก็อยากทำให้เธอสมหวังจริงๆ
แต่ว่า...หรือจะลองอยู่ด้วยกันแบบนี้ไปตลอด เขาก็พยายามหาทางช่วยเธอไป ต่อให้ไม่หายเป็นปกติอย่างน้อยก็ยังมีเพื่อนอยู่ด้วยกัน เขาเองก็ไม่คิดจะมีใครอยู่แล้ว สำหรับโซอีเองก็คงจะเป็นเรื่องยากอยู่เหมือนกัน ถ้าอยู่ด้วยกันในสภาพเด็กแบบนี้ก็คงไม่ต้องกังวลเรื่องความสัมพันธ์บนเตียงด้วย
ถึงเธอจะเป็นผู้ใหญ่แล้วจริงๆ ก็เถอะ แต่ยังไงร่างกายของเธอก็ยังเป็นเด็ก ถึงจะหน้ามืดเกิดอารมณ์มากแค่ไหน เขาคงไม่เลวร้ายพอที่จะทำแบบนั้นกับเธอได้ลงคอ
นั่นสินะ เอาไว้ทำพินัยกรรมฝากบอกไว้ว่า เธออาจจะตายได้ด้วยวิธีอะไรเผื่อเขาด่วนตายไปแบบกะทันหันดีไหม ถึงจะไม่ได้อยู่ในฐานะคนรักอะไรแบบนั้น แต่การที่เขาไม่ได้มีคนอื่นแถมอยู่ด้วยกันแบบนี้มันก็เหมือนเขาเป็นของเธอคนเดียวนั่นแหละ มันอาจจะช่วยพอทำให้เธอสมหวังได้รึเปล่า
แต่จะพูดยังไงให้เธอเข้าใจความคิดนี้ของเขาจริงๆ กันนะ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวก็หาว่าทำเพราะสงสารอีกนั่นแหละ ถึงนั่นจะจริงก็เถอะ…
แต่...สงสารเหรอ ไม่สิ...หรือจะเป็นอย่างที่เอ็ดจังบอก เพราะเธอเองก็กลายเป็นคนสำคัญของเขาจนถึงขั้นคิดเรื่องทำพิธีนั่นให้ได้แล้ว ไม่ว่าจะสำคัญในด้านความรู้สึกไหนก็ตาม
ว่าแต่...เขานี่เป็นเอามากแล้วใช่ไหม ถึงต้องมานั่งกังวลเรื่องเธอขนาดนี้
เฮคเตอร์ถอนใจเฮือกใหญ่ก้มหน้าหมอบลงบนขอบโซฟา ทำให้ศีรษะเขาชนเข้ากับแขนของโซอีเบาๆ จนเธอรู้สึกตัว หญิงสาวตัวเล็กลืมตาขึ้นมา ก่อนจะพบว่าใครบางคนกำลังนั่งหมอบใบหน้าลงที่ข้างตัว ถึงจะไม่เห็นหน้า แต่เพราะนอนอยู่ข้างกันแทบทุกวันที่ผ่านมาเธอก็เลยจำกลิ่นของเขาได้ดี
“เฮคเตอร์”
ผู้ถูกเรียกเงยหน้าขึ้นมา ก่อนจะชิงถามขึ้นก่อนในทันที
“ทำไมเธอมานอนตรงนี้ ไม่ไปนอนในห้องดีๆ”
“ฉันรอนายอยู่ อยากจะพูดอะไรสักอย่างด้วย นาย...กินเหล้ามาเหรอ”
กลิ่นอ่อนๆ ของแอลกอฮอล์ฟุ้งอยู่รอบตัวชายหนุ่มแต่เขาก็คงไม่ถึงกับเมา โซอีรู้สึกได้อย่างนั้น
“นิดหน่อยน่ะพูดเรื่องเธอเถอะ ทีหลังมีอะไรก็โทรมาสิ มีโทรศัพท์แล้วนี่ ไม่เคยเห็นจะโทรหาฉันเลยสักครั้ง เธอก็รู้นี่ว่าโทรหาฉันได้ตลอดเวลา”
“...ขอโทษด้วยนะ”
เมื่อได้ยินคำนั้น อาการหงุดหงิดของเฮคเตอร์ก็หวนกลับเข้ามาอีกครั้ง
“เธอจะขอโทษอะไรฉันนักหนาเนี่ย ยิ่งเธอขอโทษฉันยิ่งอยากเอาสนับมือชกหน้าตัวเองรู้มั้ย”
โซอีนิ่งอึ้งไป เฮคเตอร์ไม่เคยขึ้นเสียงประชดเธอแบบนี้เลยสักครั้ง ห้องเงียบสงัดขึ้นมาในทันตา แต่ก่อนที่เฮคเตอร์จะได้ลุกขึ้น โซอีก็คว้าเสื้อของอีกฝ่ายไว้ได้ทัน
“...ขอโทษนะ ขอโทษที่เอาแต่ใจตัวเองจนไม่ได้นึกถึงความรู้สึกของนายเลย นายยังอยากให้ฉันอยู่ที่นี่ด้วยมั้ย”
เสียงสั่นเหมือนคนกำลังจะร้องไห้ของคนตรงหน้าทำเอาเฮคเตอร์ใจหายวาบ เหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองทำอะไรลงไป ชายหนุ่มหันกลับนั่งลงที่เก่า สองคนมองหน้าสบตากัน โซอีไม่ได้ร้องไห้ แค่เกือบจะร้องแล้วเท่านั้น ชายหนุ่มถอนใจเฮือกใหญ่ ใช้มือตบหน้าตัวเองสองข้างเพื่อเรียกสติให้กลับมา
“เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว ฉันเคยไล่เธอออกไปอยู่ที่อื่นตอนไหน มีแต่เธออยากไปเองทั้งนั้น”
แต่เพียงแค่ได้ยินคำตอบของเฮคเตอร์เท่านั้นน้ำตาของหญิงสาวก็ไหลออกมา โซอีจะรีบเช็ดมันออกไปในทันที
“ฉันควรจะขอบคุณต่างหากที่นายดีกับฉันขนาดนี้ ฉันก็แค่ไม่เคยอยู่ในสภาพแบบนี้มาก่อน มันก็เลยกลัวไปหมด กลัวว่าถ้าวันข้างหน้าไม่มีนายอยู่แล้วฉันจะทำยังไง แต่ฉันจะไม่งอแงอีกแล้ว ถึงจะเป็นยังไงต่อไปฉันก็จะรับผิดชอบความรู้สึกของตัวเอง ต่อให้ถึงวันที่คิดเกินเลยกับนาย แล้วนายไม่ได้คิดแบบนั้นมันก็ไม่ใช่ความผิดของนายเลย จะไม่ทำให้นายลำบากใจอีกแล้ว เพราะฉะนั้นขอให้ฉันอยู่กับนายต่อไปได้มั้ย”
“...โซอี”
เฮคเตอร์ยืดแขนไปบนโซฟาก่อนจะออกแรงดึงรวบตัวหญิงสาวเข้ามากอดไว้
“เธอสำคัญกับฉันนะ”
โซอีชะงักไปเมื่อได้ฟังคำคำนี้
“มันอาจจะไม่ใช่แบบที่เธอคาดหวัง แต่เธอก็เป็นคนสำคัญของฉันเหมือนกัน ถ้าคราวหน้าคิดจะหนีไปอีกฉันจะโกรธเธอจริงๆ แล้ว”
คนตัวเล็กกว่าขยับแขนเข้ากอดคอชายหนุ่มไว้ ความรู้สึกของการเป็นคนสำคัญของใครสักคนมันคงเป็นแบบนี้นี่เอง จะสำคัญแบบไหนก็เถอะ แต่สำคัญก็คือสำคัญนั่นแหละนะ
“อื้อ… ฉันจะไม่หนีไปไหนอีกแล้ว”
ตึกที่พักอีกแห่งของเจ้าหน้าที่กองปราบวิญญาณ ลักษณะของห้องในตึกนี้เป็นแบบห้องนอนเดียวสำหรับเจ้าหน้าที่ที่ยื่นความจำนงต้องการอยู่เพียงลำพัง ตึกนี้ห้องจึงเต็มอยู่เสมอจนแม้กระทั่งเฮคเตอร์ก็ยังขอย้ายมาไม่ได้ หลังจากที่รูมเมทอย่างชาเกลย้ายออกไปจากห้องปัจจุบันที่มีสองห้องนอน
หากไม่ได้รู้จักสนิทสนมกันมาก่อน ใครๆ ก็อยากพักแบบส่วนตัวสบายๆ ทั้งนั้น ไม่ต้องอยู่ร่วมกับคนแปลกหน้าที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นใครมากจากไหน
ยูทากะปิดหนังสือที่ทบทวนบทเรียนจนจบ เธอถอดแว่นตาวางไว้ตรงหน้าก่อนจะหลับตาพักสายเล็กน้อยที่โต๊ะเขียนหนังสือ หญิงสาววัยยี่สิบย่างยี่สิบเอ็ดกำลังเรียนอยู่ที่สถาบันกองปราบปรามชั้นปีที่สามแล้ว ปีหน้าเธอก็คงเรียนจบ จากนั้นคงต้องเลือกเส้นทางชีวิตเสียที
เธอได้รับการติดต่อทาบทามจากหน่วย JPN-1 มาตั้งแต่ปีที่แล้วว่า อยากจะกลับไปทำงานที่บ้านเกิดหรือไม่ เพราะกำลังเรียนระดับมหาวิทยาลัยอยู่ที่นี่เธอจึงปฏิเสธไป แต่ก็ยังไม่วายมีข้อต่อรองว่าเอาไว้เรียนจบแล้วค่อยลองคิดดูอีกทีก็ได้
คาเรมเองก็เป็นเมืองที่น่าอยู่ในสายตาของเธอ แม้ความเจริญรุ่งเรืองต่างๆ อาจจะไม่มากเท่าญี่ปุ่นก็ตาม แต่คนเราจะต้องการอะไรกันมากมายนักล่ะ ถ้าหากว่าชีวิตเท่าที่มีตอนนี้ก็เพียงพออยู่แล้ว
หญิงสาวลุกจากโต๊ะหนังสือหยิบโทรศัพท์แล้วกระโดดขึ้นเตียงนอน แม้จะสายตาสั้นพอประมาณแต่เวลามองโทรศัพท์ใกล้ๆ ก็พอมองเห็นได้โดยที่ไม่ต้องอาศัยแว่นตา ยูทากะเปิดแอพฯ สำหรับการแชทซึ่งเป็นที่นิยมในปัจจุบันขึ้นมา กดเข้าไปยังรายชื่อของคนที่อยากคุยด้วยที่สุดแม้จะไม่มีอะไรแจ้งเตือนเลยก็ตาม
ข้อความล่าสุดยังคงเป็นสติ๊กเกอร์ที่เธอส่งไป หญิงสาวเลื่อนย้อนกลับไปอ่านข้อความเก่าๆ แม้จะอ่านแล้วไม่รู้กี่ครั้งแต่มันก็ยังทำให้เธออมยิ้มได้เสมอกับสติ๊กเกอร์ตลกๆ หน้าตาน่าเกลียดที่รุ่นน้องคนสำคัญชอบส่งมา
นึกหน้าเขาแล้วอยู่ๆ ใบหน้าของรุ่นน้องคนสวยอีกคนก็โผล่มา ตั้งแต่เกิดเรื่องของเฟย์นะเธอกับเคนเซย์ก็แทบไม่ได้คุยกันอีกเลย
ยูทากะจิ้มข้อความขึ้นมาว่า ‘นอนรึยัง’ หากเป็นเมื่อก่อนเธอคงไม่ลังเลที่จะส่งไป แต่ตอนนี้ไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกว่ามันจะกลายเป็นการรบกวน หญิงสาวถอนใจอย่างเหนื่อยหน่ายตัวเอง แต่แล้วเมื่อวางโทรศัพท์ลงข้างตัว นิ้วมือที่จับอยู่ก็คงบังเอิญไปโดนปุ่มกดส่งข้อความโดยที่เธอไม่รู้ตัวขึ้นมา รู้ตัวอีกทีเมื่อทีเสียงเตือนข้อความดังเข้านั่นล่ะ ถึงได้รู้ว่าข้อความมันถูกส่งไปแล้ว
‘ยังไม่นอน มีอะไรรึเปล่า’
เคนเซย์ตอบกลับมา ยูทากะลุกขึ้นมานั่งอย่างตื่นเต้นก่อนจะลุกไปหยิบแว่นตามาสวมป้องกันการพิมพ์อะไรผิดพลาดในทันที
‘นอนไม่หลับ มีเรื่องคิดไม่ตกน่ะ แต่ตอนนี้เธอคงมีเรื่องปวดหัวกว่าฉันอีกสินะ’
‘-*- คุณพี่สาว ตกลงจะทักมาคุยเรื่องใคร กลุ้มใจอะไรบอกมา’
ยูทากะหยุดคิดไป จะบอกว่าอะไรดีล่ะ จะให้บอกว่าคิดถึงนายมากๆ รึไงกัน
‘ก็...วันนี้คนจากหน่วยJPN-1ติดมาต่ออีกแล้ว เรื่องทำงานหลังเรียนจบนั่นแหละ’
‘เคยเห็นบอกว่าอยากอยู่ที่นี่ต่อนี่นา’
‘ก็จริงอยู่ แต่บางทีมันก็รู้สึกแบบ...อยากหนีจากสองประเทศนี้ไปไกลๆ เหมือนกัน’
‘ลงเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มก่อนเรียนจบสิ น่าจะทันเวลาอยู่นะ ต่อให้คุยกับที่ทำงานรู้เรื่องแต่ก็กังวลเรื่องการใช้ชีวิตข้างนอกใช่มั้ยล่ะ อีกอย่างเผื่อหนุ่มๆ แถวยุโรปหรืออเมริกาจะถูกใจกว่านะ’
ยูทากะถอนใจเฮือกใหญ่เมื่ออ่านข้อความนั้น ทำไมถึงได้ชอบไล่เธอไปหาแฟนอยู่เรื่อยเลยนะ
“เธอเองก็เคยบ่นๆ ว่าเบื่อแถวนี้อยากไปอยู่ที่อื่นบ้างไม่ใช่เหรอ”
“ก็เคยอยากแต่ก็แค่เคยแหละ ผมไปไหนไม่ได้หรอกยกเว้นไปเที่ยวน่ะ พี่ก็รู้ว่าผมมีอะไรเยอะแยะกับทางบ้าน อีกอย่างตอนนี้มีสิ่งสำคัญต้องรักษาไว้อยู่ที่นี่แล้ว ผมไม่อยากไปไหนละ”
หญิงสาวนิ่งมองข้อความล่าสุดที่เพิ่งส่งมา… สิ่งสำคัญงั้นเหรอ ใช่สินะ หลังแอบรักข้างเดียวมานานในที่สุดก็ได้ไปเป็นเจ้าของแล้วนี่!
‘ฟังเธอบอกแบบนี้แล้วก็เพิ่งนึกได้นะ ฉันเองก็คงมีอะไรสำคัญๆ ที่ต้องทำอยู่ที่นี่เหมือนกัน สบายใจละนอนได้ ฝันดีนะ’
หลังส่งสติ๊กเกอร์รูปนอนหลับน่ารักๆ ไป เคนเซย์ก็ส่งหน้ายิ้มกลับมาเพียงแค่นั้น แล้วแชทสั้นๆ ของค่ำคืนนี้ก็จบลง
ยูทากะเองก็หาเรื่องคุยไปอย่างนั้น ไม่เคยมีสักครั้งที่เธอคิดจะย้ายกลับบ้านเกิดหรือไปอยู่ที่อื่น เพราะเธอเองก็มีสิ่งสำคัญที่ค้นพบมาเนิ่นนานแล้วเช่นกัน
ที่ผ่านมาเพราะมัวเอาแต่กลัวว่าความสัมพันธ์ที่ดีจะแตกหักหากพูดความในใจ สุดท้ายก็กลายเป็นแบบนี้ไปแล้วอย่างช่วยไม่ได้ เธอชะล่าใจไปเองที่คิดว่าคู่รักอย่างทิมกับเฟย์นะคงไม่มีวันเลิกกัน วันไหนที่สองคนนั้นแจกการ์ดแต่งงานเมื่อไร คนที่เธอมองเขาอยู่ตลอดอาจจะตัดใจมองหาใครคนใหม่เสียที
ทั้งๆ ที่ทำงานอยู่กับวิญญาณกับความตายแท้ๆ แต่ทำไมถึงไม่ทันนึกได้นะว่าการแตกหักแยกจากที่ว่า ก็มีคำว่าความตายเป็นหนึ่งในนั้น
ยูทากะอิจฉาเฟย์นะ แต่มองอีกมุมหนึ่งก็สงสารจับใจเหมือนกัน
แต่ก็นั่นแหละ...เธอควรกลับมาสงสารตัวเองก่อนดีไหม ที่แม้ทุกอย่างจะดูสายไปแล้ว แต่ความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในใจนี้กลับไม่เคยเปลี่ยนเลยแม้แต่น้อย…
ไม่เคยเลยสักนิดเดียว...