ตอนที่ 29 ในกรอบสี่เหลี่ยม
ตอนที่ 29 ในกรอบสี่เหลี่ยม
ยูมิเล่นปอยผมไปฟังไป ส่วนโมโมะก็เมาธ์มอยเรื่องที่ยูกลายร่างเป็นชายอย่างออกรส จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายดังจากสวนดอกไม้ ทั้งสองจึงหันตามเสียงไปทันที
“เอ๊ะ ทำอะไรกันน่ะ”
“นั่นสิคะ”
โมโมะและยูมิเพ่งมอง ตอนนั้นร่างเล็กของเทพเจ้าก็ล้มก้นจ้ำเบ้าจมลงในดงดอกไม้ ทั้งสองมองหน้ากันพักหนึ่ง ก่อนจะรีบตรงเข้าไปดูเหตุการณ์
“ว๊าย… ทำอะไรน่ะคะท่านชุน”
ยูมิวิ่งนำหน้า มัดผมด้านหลังแกว่งไปมาเหมือนม้าวิ่ง ส่วนโมโมะก็ใช้สองมือยกชายกระโปงตามมาติด ๆ ตะโกนจากไกล ๆ
“ทำแบบนั้นกับท่านเทพมันบาปนะคะ!”
พอทั้งสองมาถึงก็เข้ามาแทรกกลาง ชุนเดาะลิ้นพลางหันไปทางยูมิ เอ่ยอย่างไม่พอใจ
“ยูมิ อย่าบอกนะว่าเจ้าใช้เวทมิติ แต่กลับไม่ได้อะไรที่เป็นประโยชน์กลับมาเลย”
เพียงแค่เสียงคำราม ยูมิก็ทรุดเข่านั่งลงข้างลินจิในท่าเป็ดน้อย เธอก้มหน้าปิดปากด้วยดวงตาสั่นระริก ตอนนั้นลินจิซึ่งนั่งเอนหลังใช้มือค้ำพื้นก็หันมองอย่างไม่เข้าใจ แต่คิดดูแล้วชุนก็ทำเกินไปจริง ๆ ไม่เห็นต้องโกรธขนาดนั้นเลย
ลินจิสะบัดหน้ามองชุนทันที
“ยูมิอุตส่าห์ไปเอาของมาให้ผมนะ ไม่ได้เกี่ยวกับคุณชุนสักหน่อย”
ว่าแล้วลินจิก็ลุกขึ้น เดินปึงปังอย่างไม่เกรงกลัว พอจะคว้าเอาพาวเวอร์แบงค์คืน ชุนก็ใช้อีกมือดันศีรษะไว้
“อ๊ะ!”
“เวทมิติมีขีดจำกัด เจ้าคิดว่าอยากใช้เมื่อไหร่ก็ใช้ได้อย่างนั้นหรือ”
“เอ๊ะ”
ได้ยินเช่นนั้นจึงก้าวถอยออกมา เหลียวมองด้านหลังก็เห็นโมโมะกำลังช่วยพยุงตัวยูมิลุกขึ้น เธอเงยหน้าช้า ๆ ก่อนอธิบาย
“ค่ะ อย่างที่ท่านชุนพูด การใช้เวทมิติมีขีดจำกัดค่ะ ยูมิสามารถใช้เวทนี้ได้ปีละครั้งเท่านั้น”
ลินจิเบิกตากว้าง ก่อนจะหรี่ลงอย่างเข้าใจ สาเหตุที่ยูมิถึงซื้อของมาเยอะแยะมากมาย คงเพราะไม่สามารถไปโลกฝั่งนั้นได้บ่อย ๆ รู้เช่นนั้นจึงพยักหน้าช้า ๆ ประมาณว่า ‘แบบนี้นี่เอง’
ชุนมองพาวเวอร์แบงค์ในมืออย่างอยากรู้อยากเห็น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาเพราะได้ยินน้ำเสียงไม่พอใจของอีกฝั่ง
“เอาคืนมานะ”
ว่าแล้วลินจิก็ทำแก้มป่อง ชุนเห็นเช่นนั้นจึงรู้สึกหมั่นไส้ แก้มป่งแก้มป่องอะไร เป็นเพศชายแท้ ๆ ทำไมไม่รู้จักรักษาบุคลิกให้น่ายำเกรง
“หืม”
คิ้วหนาเลิกขึ้น ก้าวขามาด้านหน้าอย่างท้าทาย สองสาวรีบวิ่งเข้าไปหลบด้านหลังลินจิทันที
“อ๊ะ!”
ทันทีที่เสียงดังขึ้น ข้อมือของลินจิก็ถูกรวบไว้
“มานี่!”
“ฮือ ไม่เอา ไม่เอา ยังไม่อยากตาย”
ลินจิร้องโวยวาย ทิ้งน้ำหนักตัวไปด้านหลัง เขากระโดดต่อต้านอย่างสุดชีวิต ตอนนั้นโมโมะกับยูมิก็ช่วยรัดเอวลินจิเพื่อรั้งไว้ พวกเขาสามคนกำลังสู้กับแรงม้าแรงควาย
“ฮึ้ย!”
วินาที่ที่เสียงกัดฟันคำรามดังขึ้น ลินจิ โมโมะ และยูมิ ก็ตัวล้มตัวเอนมาด้านหน้า พวกเธอทั้งสองจำใจต้องปล่อยมือเพราะรั้งต่อไปไม่ไหวแล้ว
ขณะที่โดนลากเข้าไปในห้องพัก ลินจิก็สงบปากสงบคำ คอยดูท่าทีของชุน พอเห็นแผ่นหลังกำยำปรากฏอยู่เบื้องหน้า ก็เพิ่งรู้ตัวว่า กำลังถูกชายที่ตนแอบชอบจูงแขนเข้าเรือนหอ ฮิฮิ แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน คิดได้เช่นนั้นลินจิจึงยอมเดินตามแต่โดยดี
“…”
เมื่อแรงต้านจากด้านหลังหายไป ชุนจึงเหลียวหลังปรายตามองเพราะสงสัย
“อะไร…”
“เอ๊ะ เปล่านี่”
คนตอบเบือนหน้าหนี ทำเป็นไขสือ พลางประเมินสถานการณ์ อันที่จริงลินจิรู้สึกชอบชุนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ในเมื่อชุนมาสัมผัสข้อมือ ตนก็รู้สึกดีมากกว่ารู้สึกเจ็บ ถึงแม้จะเจ็บแต่ก็รู้สึกดี แต่ถ้าลุ่มหลงในทุกขลาภแบบนี้ อีกหน่อยชีวิตคงจะแย่ เพราะแปลว่าตนต้องยั่วโมโหชุนให้บ่อยขึ้น ไม่ไหวหรอก สับสนจังเลย
ขณะที่จมอยู่ในห้วงความคิดพวกเขาก็เข้ามาอยู่ในห้องแล้ว
“อ๊ะ!”
แทนที่จะปล่อยดี ๆ ชุนกลับเหวี่ยงลินจิล้มลงบนเตียง ส่วนเขาก็ถอยไปที่นั่งข้างโต๊ะน้ำชา พอลินจิลุกขึ้นมาแสร้งทำเป็นก้มหน้า ใช้มืออีกข้างกำข้อมือหลวม ๆ แล้วหมุนไปหมุนมาบริเวณที่ถูกชุนสัมผัสก่อนหน้านี้ ชุนก็คำรามเสียงต่ำ…
“อย่ามาสำออย บอกข้ามาไหนอาวุธของเจ้า!”
ลินจิเบ้ปาก ไม่เงยหน้า อาวุธบ้าบออะไรกัน เขาเป็นเด็กมัธยมปลาย ไม่ใช่ปีศาจกระทิงในเทพนิยายจีนสักหน่อย จะมีของแบบนั้นได้อย่างไร
“ข้าถาม ทำไมไม่ตอบ!”
“อ๊ะ!”
จังหวะนั้นชุนก็โยนพาวเวอร์แบงค์คืนให้ โชคดีที่ลินจิรับไว้ได้ทัน เขาผ่อนลมหายใจช้า ๆ อย่างโล่งอก
ขณะนั้นสายตาของชุนก็เหลือบไปเห็นถุงพลาสติกที่กองอยู่ข้างโต๊ะ
“หืม…”
เสียงสูงดังในคออย่างสงสัย นั่นอะไรน่ะ
“อ๊ะ”
ลินจิรีบกระโจนลุกขึ้น คว้าถุงพลาสติกยัดหลบใต้เตียงทันที ก่อนจะนั่งแกว่งขาใช้ส้นเท้าเขี่ย ๆ เข้าไป ในถุงมีขนม นม เนย เครื่องสำอาง และของใช้กระจุ๊กกระจิ๊กที่ตนฝากยูมิซื้อ เรื่องอะไรจะให้ดูกัน แค่พาวเวอร์แบงค์ยังโกรธขนาดนี้ ถ้าเห็นอย่างอื่นคงตำหนักแตก ไร้เหตุผลจริง ๆ
“นี่!”
ชุนเรียกพร้อมทำตามขวางใส่ ลินจิจึงสะดุ้งตกใจทำหน้าเหลอหลา
“อะ…อะไรครับ”
“พรุ่งนี้ข้าจำเป็นต้องเดินทางไปพบท่านจิฮาดะที่เกาะยุย รู้สึกว่าดาบกระดูกเทพจะเปลี่ยนไป เจ้าพร้อมเดินทางแล้วใช่ไหม”
แม้ชุนจะสงสัยเมื่อเห็นสิ่งของแปลกตา แต่ท่าทางกล้า ๆ กลัว ๆ ของอีกฝั่งก็ทำให้รู้สึกเพลิดเพลินจนลืมเรื่องนั้นไป เมื่อครู่ตนเผลอทำรุนแรงไป จริง ๆ เพียงเพราะอยากได้ยินเสียงร้องครางของอีกฝั่งเท่านั้น แม้เหตุผลจะฟังดูเพี้ยน แต่เขาก็รู้สึกหักห้ามใจไม่ไหว ทำอย่างไรได้ล่ะ เทพตนนี้มีบางสิ่งที่ทำให้หัวใจของเขาจั๊กจี้อย่างบอกไม่ถูก ยิ่งตอนที่ร้องด้วยความเจ็บปวด เขาชอบยิ่งนัก หรือว่าจะกลายเป็นโรคจิตไปเสียแล้ว
ขณะที่คิดเช่นนั้นสีหน้าของชุนก็เปลี่ยนไป แววตาเหี้ยมเกรียมเปลี่ยนเป็นหยาดเยิ้มโดยไม่รู้ตัว
ลินจินั่งก้มหน้าแกว่งขา ส้นเท้าสัมผัสถุงพลาสติกใต้เตียงดังแต็ก ๆ พลางพึมพำเหม่อ ๆ ว่า…
“จะไปไหนก็ไป ยังไงผมก็ต้องตามคุณชุนไปทุกที่อยู่แล้ว เลือกได้ซะที่ไหนกันครับ”
น้ำเสียงอ่อนเปลี้ยเพลียแรงเอ่ยอย่างไม่ได้คิดอะไร อันที่จริงเขาจงใจแสร้งทำเสียงให้เป็นแบบนั้น ฮิฮิ ใครจะไปสู้กับควายป่ากัน ถึงจะชอบชุน แต่เขาก็ไม่อยากถูกกระทำรุนแรงอีกแล้ว แกล้งทำเป็นยอมดีกว่า
พอชุนเห็นท่าทางราวกับหมาหงอยจึงนึกสงสาร ครุ่นคิดอีกครั้งว่าเมื่อครู่ตนคงทำรุนแรงไปจริง ๆ เขาเบือนหน้าหนีเอ่ยเสียงเบาว่า…
“ขะ…ข้าขอโทษ”
“…”
สองขาที่แกว่งไปมาหยุดนิ่ง เงยหน้าช้า ๆ เมื่อลินจิเห็นท่าทางสำนึกผิดของอีกฝั่งก็ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย หึหึ สมน้ำหน้า รู้สึกผิดอยู่ล่ะสิ ครั้งนี้เขาใช้กลยุทธ์แสร้งอ่อนแอเพื่อให้อีกฝ่ายตายใจ การประกาศตัวว่าแข็งแกร่งหรือสู้ด้วยกำลังล้วนโง่สิ้นดี คนฉลาดต้องเริ่มเล่นงานศัตรูจากความรู้สึก นี่สิวิถีซามูไร ทำให้อีกฝ่ายหม่นหมองใจแล้วค่อยจู่โจม
แต่ลินจิไม่ใช่คนใจร้าย เห็นแบบนั้นตนจึงลุกขึ้น เดินเข้าไปหย่อนก้นลงบนขาข้างหนึ่งของชุนพลางใช้แขนโอบ กระซิบกระซาบด้วยเสียงเล็กเสียงน้อย
“…เป็นอะไรไปเหรอครับ”
“ข้าร้อน”
ชุนว่าพลางสะบัดขาออก ตนเป็นผู้ชาย ไม่ได้ชอบแบบนี้สักหน่อย แต่ทำไมในใจกลับไม่ต่อต้าน คิดแล้วใบหน้าก็แดงซ่านขึ้นมา
“ร้อนเริ้นอะไรกัน เหงื่อสักเม็ดก็ไม่มี เป็นความดันโลหิตเหรอครับ”
“…ก็ข้าร้อน”
เจ้าตัวงึมงำเสียงเบาพลางแกะมือที่คล้องคอออกด้วยท่าทีสุดจะกล้ำกลืน ลินจิเห็นใบหน้าแดงซ่านไปถึงคอก็รู้สึกใจเต้นตึกตัก
“เย็นนี้ข้าจะกลับไปเตรียมของที่คฤหาสน์ เจ้าก็เตรียมตัวซะ!”
ชุนเอ่ยด้วยโทนเสียงกระด้างเหมือนเดิม พลางผลักลินจิล้มลงกองอยู่บนพื้นพร้อมเสียงร้องดัง “อ๊ะ” จากนั้นชุนก็ลุกขึ้นแล้วมุ่งหน้าออกจากห้อง แต่พอลินจิทำท่าจะคลานสี่ขาตามไป เขาก็หันกลับมา
“เจ้าก็รีบเตรียมตัวได้แล้ว เย็นนี้พวกเราจะออกจากที่นี่ จากนั้นก็ค้างที่คฤหาสน์ของข้าหนึ่งคืน แล้วค่อยออกเดินทางในวันรุ่งขึ้น”
หลังจากโดนสั่งแบบนั้น ลินจิก็พยักหน้าตอบว่าเข้าใจแล้ว พลางมองแผ่นหลังรูปสามเหลี่ยมกลับหัวของชุนที่หายไป ก่อนจะดีดตัวลั้ลลาดีใจ ในที่สุดตนก็จะได้ไปบ้านชุนแล้ว
เขารีบลากกระเป๋าเป้ซึ่งติดตัวมาตั้งแต่ครั้งแรกที่หลุดมาโลกนี้ นำโน้ตบุ๊กกออกจากมาเก็บใต้เตียงเพราะไม่อยากเอาไปเสี่ยง เสียบสายชาร์จโทรศัพท์กับพาวเวอร์แบงค์ แล้วยัดของใช้ที่ยูมิซื้อมาให้ใส่เป้อย่างอารมณ์ดี
…
เย็นวันนั้นชุนเข้ามาเรียกลินจิในห้องด้วยใบหน้าถมึงทึง ก่อนจะหันหลังเดินนำด้วยชุดยูกาตะสีดำ ส่วนลินจิก็สะพายเป้อ้วนโตเหมือนหลังเต่าตามต้อย ๆ ไปถึงหน้าตำหนัก โมโมะกับยูมิเห็นจึงเอ่ยทัก
“เอ๋… จะไปกันแล้วเหรอ”
“นั่นสิคะ อยู่ต่ออีกสักคืนแล้วพรุ่งนี้ค่อยออกจากที่นี่ก็ได้นี่นา”
ชุนหยุดกึกเหลียวหันมา เห็นโมโมะกับยูมิมีขนตายาวผิดปกติ แต่ก็ไม่ได้ทัก ตอนนั้นลินจิซึ่งก้มหน้าแบกของหนักก็เงยขึ้นมองทั้งสาม
“จะให้ข้าใส่ชุดแบบนี้ออกรบอย่างนั้นหรือ”
ได้ยินเช่นนั้น ลินจิก็มองชุดของชุน จริงอยู่ที่ยูกาตะไม่มีกางเกง สำหรับผู้ชายเวลาสวมคงจะรู้สึกโล่งแบบแปลก ๆ ยิ่งถ้าไม่ได้ใส่ชุดชั้นใน ความรู้สึกก็ไม่ต่างอะไรกับการเปลือยช่วงล่างเลยสักนิด
“ตายจริง… ข้าลืมเรื่องนั้นไปซะสนิท”
โมโมะตอบเสียงนุ่ม ยกฝ่ามือปิดคาง ยูมิมองคนข้าง ๆ กะพริบตาปริบ ๆ
พอชุนเดินออกจากตำหนัก ลินจิก็แบกเป้รีบตาม ตอนที่เดินเลยหลังคาไปสองสามก้าว เขาก็เหลียวหลังโบกมือให้ทั้งสอง บอกว่า “จะรีบกลับมาใหม่นะครับ” จากนั้นก็บีบริมฝีปากล่างส่งเสียงผิวปากดังวี๊ด
เมื่อเพกัสได้ยินเสียงเรียกก็วิ่งเข้ามารับ แม้ลินจิจะสงสัยว่า หายไปไหนมานะ แต่เขาก็ไม่ถาม เพราะถึงอีกฝ่ายตอบกลับมา ตนก็ฟังภาษาม้าไม่รู้เรื่องอยู่ดี
“ไว้จะแวะมาเยี่ยมอีกนะครับ”
ลินจิปีนขึ้นหลังเพกัสที่กำลังนั่งลง เหลียวหลังบอกลาอีกครั้ง ยูมิก็โมโมะยิ้มตอบพลางพยักหน้าประมาณว่า ‘โชคดีนะ’
พอเพกัสเคลื่อนตัวเกือกม้าก็กระทบพื้นดังกับ ๆ ไม่นานนักร่างสูงของชุนก็ปรากฏอยู่ใกล้ ๆ
“คุณชู๊น…”
เสียงเล็กเสียงน้อยอ่อนหวานเรียกอย่างสบายใจ ผู้ชายชวนไปค้างที่บ้านทั้งทีลินจิก็ดี๊ด๊าเป็นพิเศษ ตอนนั้นเพกัสก็หยุดแล้วนั่งลง
“เร็ว ๆ ขึ้นมาสิครับ”
ลินจิเรียกพร้อมขยับตัวไปด้านหลัง ก่อนจะลูบอานเพกัสตรงด้านหน้าเบา ๆ เพื่อบอกให้ชุนนั่ง
“…เอ่อ”
ชุนเปล่งเสียงอย่างลังเล ก่อนเอ่ยว่า…
“เจ้านั่งหน้าไม่ได้หรือ”
“เอ๊ะ”
ลินจิสะดุ้งก่อนพยักหน้าช้า ๆ อย่างเข้าใจ จากนั้นจึงขยับไปนั่งที่เดิม ส่วนชุนก็ก้าวขึ้นหลังเพกัสอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ แล้วบอกเส้นทาง
“ไปทางทิศตะวันออก”
เหมือนเพกัสจะฟังออก เปลวเพลิงทั้งสี่ข้างลุกโชนทันที เมื่อมันพุ่งสู่ฟ้าก็ปรากฏเส้นแสงสีส้มจากเกือกไฟ ตอนนั้นเป้หลังเต่าของลินจิก็กระเด้งเสยคางชุนโดยที่เขาไม่รู้ตัว
“…!”
“นี่เจ้า ขยับไปข้างหน้าหน่อยสิ”
“ไม่ได้แล้วครับ แบบนั้นก็ถึงคอเพกัสแล้ว คุณชุนก็ขยับไปด้านหลังเองสิ”
จริงอย่างที่ลินจิบอก เช่นนั้นชุนจึงค่อย ๆ ขยับไปด้านหลังอย่างเกร็ง ๆ แสงอาทิตย์สีส้มยามเย็นส่องหน้า สายลมพัดผ่านเอื่อย ๆ
แม้เพกัสจะสามารถเร่งความเร็วได้ แต่ดูเหมือนมันจะกำลังเพลิดเพลินกับทิวทัศน์เบื้องล่าง ทั้งสามลอยอยู่บนฟ้าอย่างเชื่องช้าโดยไม่มีใครบ่นสักคำ ตอนนั้นลินจิก็นึกอะไรขึ้นมาได้
“อ๊ะ! รอเดี๋ยวนะครับคุณชุน”
ว่าแล้วเขาก็ค่อย ๆ ปลดสายสะพายเป้อย่างระมัดระวัง รูดซิปเปิดครึ่ง ๆ กลาง ๆ ก่อนจะใช้มือล้วงเข้าไปควานหาอะไรบางอย่างในนั้น
…เจอแล้ว
ลินจิหันข้างยิ้มให้อย่างร่าเริง ก่อนจะหันกลับไปพลางใช้นิ้วจิ้มสมาร์ตโฟนเพื่อเปิดโหมดถ่ายภาพ พอเหยียดแขนออกห่าง บนหน้าจอก็ปรากฏใบหน้าของทั้งสองอย่างชัดเจน พื้นหลังเป็นฝืนฟ้าและก้อนเมฆ แดดยามเย็นสะท้อนหน้าทั้งสองเป็นสีส้มจนเห็นใบหูเป็นสีแดง
“ทำอะไรของเจ้าน่ะ เวทมนตร์งั้นรึ”
“เร็ว ๆ สิครับ มองกล้องแล้วยิ้มหน่อย”
ลินจิไม่สนใจรีบเร่งคนข้างหลังทันที ชุนขมวดคิ้วครู่หนึ่งแล้วมองใบหน้าลินจิอย่างสงสัย พอเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายตนก็เผลอยิ้มตาม
“หนึ่ง สอง สาม…”
สิ้นสุดเสียงนับ ชุนเงยหน้าขึ้นมาพอดี หลังจากเสียงชัตเตอร์ดังแชะอย่างแผ่วเบาลินจิก็ดึงแขนกลับมา เขาเอามือป้องแสงมองหน้าจอสมาร์ตโฟนก่อนหลุดหัวเราะออกมาดังคิก
“…อะไร เจ้าหัวเราะอะไร”
ชุนกล่าวอย่างร้อนรน ชะเง้อหน้าซ้ายทีขวาทีผ่านไหล่ของลินจิอย่างอยากรู้อยากเห็น
“ไม่บอก”
ลินจิใช้มือปิดหน้าจอ เมื่อหันไปมองก็เห็นใบหน้าคล้ายหมาสงสัยของชุน เขาก็หันกลับมาปิดปากหัวเราะเยาะ จากนั้นจึงยอมเปิดหน้าจอสมาร์ตโฟนให้อีกฝั่งดู
“ไม่เห็นเหมือนข้าเลยสักนิด”
ชุนขมวดคิ้วทันที
“เอ๊ะ…”
ได้ยินเช่นนั้นลินจิจึงดึงสมาร์ตโฟนกลับมาดู จะไม่เหมือนได้อย่างไรกัน ก็อยากทำหน้าเหวอเองนี่ ช่วยไม่ได้ คิดแล้วลินจิก็รีบเก็บสมาร์ตโฟนใส่กระเป๋าทันที