ตอนที่ 28 ศึกที่ไม่มีวันชนะ
ตอนที่ 28 ศึกที่ไม่มีวันชนะ
ทหารเกราะขาวพุ่งร่างมาพร้อมแทงดาบเรียวแหลมใส่หน้าฝากไลบัลโกอย่างรวดเร็วดุจแสงอัสนีบาต
เคร้ง !!
ไลบัลโก้ยกหอกเพลิงของเขาต้านรับไว้ คมดาบปะทะกับใบหอกที่ใหญ่ดุจดาบ ทันใดนั้นดาบของทหารเกราะขาวพลันงอลง จากนั้นทหารเกราะขาวซึ่งร่างอยู่กลางอากาศอาศัยแรงดีดของดาบทำให้เขาลอยตัวสูงขึ้นไปอีก เขาลอยตัวข้ามหัวของไลบัลโก จากนั้นกล่าวว่า “พอได้แล้ว”
มังกรไวเวิร์นของทหารเกราะขาวได้รับคำสั่งผู้เป็นนายก็เลิกพ่นไฟ มันรีบบินขึ้นฟ้าหลบพลังเสาไฟของไลบัลโก
ไลบัลโกหันมากล่าวกับทหารเกราะขาวซึ่งอยู่ด้านหลังเขาว่า “เจ้าเป็นใคร?”
ทหารเกราะขาวตอบเสียงราบเรียบว่า “อคาซัส”
ไลบัลโกกล่าว่า “ที่แท้เป็นแม่ทัพใหญ่ของคาโอ นึกไม่ถึงเจ้าใช้วิธีแพร่พิษอันชั่วร้าย”
อคาซัสยิ้มเล็กน้อยกล่าวว่า “แพร่พิษ? ข้าไม่จำเป็นต้องใช้วิธีนั้นพวกเจ้าก็ถูกพิษเองได้”
ไลบัลโกกล่าวว่า “เจ้าจะบอกว่าทหารของข้าถูกพิษเอง”
ไลบัลโกมองไปที่รอบ ๆ ตัว เห็นทหารส่วนใหญ่นอนลงกับพื้นเพราะทนพิษไม่ไหว ได้รับความเจ็บปวดทรมาน เขานึกไม่ออกทั้งทหารเขาและทหารเมืองเดเซียสถูกพิษได้อย่างไร?
เสียงโห่ร้องฆ่าฟันไม่มีทีท่าว่าจะสงบลง ทหารของคาโอทยอยปีนขึ้นบันใดมาเรื่อย ๆ ทหารเมืองเดเซียสและไลบัลโกแม้จะร่วมมือกัน แต่ก็ไม่อาจต้านทัพของอคาซัสที่จู่โจมทั้งทางอากาศและทางบกได้
“อาหาร น้ำดื่ม เราก็ล้วนกินของเมืองเดเซียส หากสิ่งของเหล่านั้นเป็นพิษเหตุใดเราและทหารบางนายถึงไม่โดนด้วย?” ไลบัลโกเกิดคำถามขึ้นในใจ
อคาซัสกล่าวเสียงเย็นชาว่า “เสียทีที่เป็นถึงแม่ทัพใหญ่”
ไลบัลโกไม่มีเวลามาสนใจเรื่องอื่นใดอีกแล้ว สิ่งที่เขาต้องทำคือโค่นล้มแม่ทัพฝ่ายศัตรูให้ได้
ไลบัลโกตวาดก้อง เขาแทงหอกเพลิงออก หอกเพลิงมีไฟลุกท่วมมากขึ้นเป็นสิบเท่า อคาซัสถูกหอกไลบัลโกคุกคามจนต้องถอยกายไป
หอกใหญ่แม้ทรงอานุภาพ แต่ความใหญ่ทำให้มันเชื่องช้า ท่าร่างของอคาซัสรวดเร็วกว่า ไลบัลโกแทงหอกออกอีกยี่สิบกว่าครั้งก็ไม่อาจถูกกายอคาซัสได้แม้แต่น้อย
ไลบัลโกกระแทกหอกใส่พื้นกำแพงเมืองจนเกิดระเบิดกึกก้อง หวังใช้แรงระเบิดกระแทกใส่อคาซัส แต่มันพลิ้วกายหลบ จากนั้นแววตามันคมกริบ อคาซัสเปลี่ยนจากถอยเป็นรุก แทงดาบใส่ไลบัลโกทันที
ไลบัลโกกำลังยกหอกขึ้นมาป้องกันตัว แต่ดาบของอคาซัสรวดเร็วกว่า ไลบัลโกรีบเอียงกายไปด้านซ้ายหลบหลีก นึกไม่ถึงดาบของอคาซัสคล้ายมีดวงตางอกเงย ตัวดาบงอติดตามไลบัลโกไป แทงใส่อกไลบัลโกทันที !!
ดาบซิลเวอร์เซอเพนท์ (Silver Serpent – อสรพิษเงิน) เป็นดาบระดับหายาก (Rare) ตัวดาบสามารถงอตามที่ผู้ใช้ปรารถนาได้ !
เห็นโลหิตไหลออกจากอกไลบัลโกดุจน้ำพุ ไลบัลโกได้รับบาดเจ็บสาหัส ดาบอคาซัสทะลุถึงปอดเขา แต่จะอย่างไรเขาก็เป็นถึงแม่ทัพใหญ่แห่งโกลด์เด้นกราวด์ ไลบัลโกพลันตวาดก้องฟันหอกเพลิงใส่อคาซัสอย่างรวดเร็วและรุนแรง
แต่ดาบของอคาซัสรวดเร็วยิ่งกว่า !
เพียงชั่วพริบตาประกายสีเงินเกิดขึ้นหลายสิบสายดุจอสรพิษเงินหลายสิบตัวพุ่งฉกกัด ดาบของอคาซัสก็แทงใส่ไลบัลโกหลายสิบครั้ง รวมทั้งข้อมือ ข้อเท้า เส้นเอ็นเขาขาดสะบั้น ร่างของไลบัลโกถูกแทงจนเป็นรูพรุนไม่ต่ำกว่าห้าสิบแผล !
ไลบัลโกคุกเข่าแต่ยังไม่ล้มลง เขามองอคาซัสด้วยแววตาเจ็บแค้น
อคาซัสกล่าวว่า “ศึกนี้เจ้าไม่มีวันชนะ”
อคาซัสอธิบายเพิ่มว่า “ไม่ว่าเจ้าจะรอบคอบแค่ไหนเจ้าก็ต้องแพ้ ทหารของพวกเจ้าฆ่าทหารของข้าตาย ยิ่งฆ่าเท่าไรเจ้าก็ยิ่งต้องแพ้”
ไลบัลโกตอนนี้บาดเจ็บสาหัสยิ่ง แต่ห้วงสุดท้ายก่อนสิ้นสติ เขาพลันเข้าใจแล้ว !
ทหารของเขาและเบลิสสังหารทหารของอคาซัส เลือดสีเขียวของพวกมันย่อมเปรอะเปื้อนร่างกายทหารของพวกเขา เลือดสีเขียวนั่นคือพิษ !
ที่ไลบัลโกไม่ถูกพิษเพราะหอกเพลิงของเขาฆ่าทหารอคาซัสจนพวกมันไหม้เป็นเถ้าถ่าน
ทหารของอคาซัสบุกไปรบกับไลบัลโก หากชนะได้ก็ย่อมดี แต่หากแพ้ทหารไลบัลโกก็ต้องถูกพิษ
ยิ่งฆ่าเท่าไรก็ยิ่งต้องแพ้ คำกล่าวอคาซัสไม่ผิดแม้แต่น้อย
อคาซัสกล่าวว่า “ทหารของเจ้าฆ่าทหารของข้าพวกมันจึงถูกพิษเอง ไม่ใช่ข้าแพร่พิษ ข้าไม่จำเป็นต้องใช้วิธีนั้น”
ความรอบคอบของไลบัลโก ยังไม่เทียบเท่าแผนที่รัดกุมของอคาซัส
เสียงฝีเท้าม้าดังขึ้นไม่หยุดยั้ง ม้าตัวหนึ่งวิ่งโดยไม่พักเกือบหนึ่งวันเต็มแล้ว
เป็นกิลฟอร์ดรองแม่ทัพของทัพไลบัลโก
ตอนที่ไลบัลโกรบกับทัพของอคาซัส กิลฟอร์ดมีหน้าที่รักษาค่ายเขาจึงเป็นหนึ่งในผู้ไม่ถูกพิษ
ตอนนี้เมืองเดเซียสแตกแล้ว แต่เขายังหนีรอดมาได้ เป้าหมายคือกลับไปรายงานองค์เหนือหัวของเขา..ฟินเดล
ปัง !!
ฟินเดลตบโต๊ะอย่างรุนแรง แม่ทัพไลบัลโกรบพ่ายแพ้ไม่ทราบเป็นตาย เมืองเดเซียสแตก ทัพสองหมื่นคนเหลือกลับมาไม่กี่ร้อยคน
ขุนนางแม่ทัพทั้งหมดต่างสีหน้าเคร่งเครียด ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่กล้าออกความเห็น
กองทัพคาโอน่ากลัวเกินไป ฆ่าก็ไม่ได้ ถ้าฆ่าก็ถูกพิษ
นี่เท่ากับเป็นการทำศึกที่ไม่มีวันชนะ!
ฟินโอร่าในชุดเกราะสีแดงขลิบทองเอ่ยขึ้น “เราถอยทัพไปเมืองกียอสก่อน ที่นั่นมีเสบียงและมีที่กว้างใหญ่เพียงพอจะดูแลกองทัพเราได้”
ฟินเดลยังไม่ทันรบก็ต้องถอยทัพ เขารู้สึกไม่ยินยอมพร้อมใจ
ฟินโอร่าเข้าใจจิตใจน้องชายนางจึงกล่าวอีกว่า “หากเราเข้าโจมตีทัพศัตรู มีแต่จะถูกพิษพากันตาย พิษเหล่านั้นสามารถแพร่ไปยังผู้อื่นได้หรือไม่ก็ยังไม่ทราบ ดังนั้นการถอยเพื่อตั้งหลักเป็นหนทางที่ดีที่สุด”
ฟินเดลเงียบไม่ตอบ หากศึกแรกในชีวิตเขาต้องแพ้ทั้งที่ยังไม่รบ ชื่อเสียงของเขาจะเป็นอย่างไร
ฟินเดลเอ่ยขึ้น “มีผู้ใดเสนอแผนจัดการทัพของคาโอได้บ้าง?”
ทหารทุกคนต่างเงียบกริบ
ฟินเดลกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นข้าจะจัดการพวกมันเอง!”
ทหารทั้งปวงต่างรีบห้ามปรามไว้ เคเดียนเสนาบดีกลาโหมวัยเกือบหกสิบปี กล่าวว่า
“ฝ่าบาททำตามที่พระนางฟินโอร่าแนะนำเถิด เราถอยทัพตั้งหลักก่อนค่อยคิดแผนการจัดการศัตรู”
ฟินเดลตวาดว่า “พวกเจ้าเป็นทหารมีหน้าที่ออกรบ กลับเอาแต่เสนอให้ข้าถอยทัพ หากศัตรูบุกมาพวกเจ้าไม่เสนอให้ข้ายอมจำนนหรือไง?”
ฟินโอร่ากล่าวว่า “ฝ่าบาท ทำสงครามต้องคำนึงผลแพ้ชนะในภาพรวม ต่อให้แพ้สิบครั้ง ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะพิชิตศึกใหญ่ไม่ได้”
ฟินเดลหันไปมองเซน่านึ่งนางสวมชุดเกราะสีเงินในแบบสตรี เขาต้องการทราบความคิดเซน่า
เซน่าเห็นฟินเดลจ้องมาจึงกล่าวเสียงเย็นชาว่า “หากข้าเป็นฟินเดล คงสั่งประหารพวกเจ้าหมดสิ้น!”
แม่ทัพทั้งปวงล้วนตกใจไม่น้อยกับคำพูดราชินีของพวกเขา
เซน่าลุกขึ้นกล่าวว่า “ยังไม่ทันเห็นศัตรูก็เสนอให้ถอยทัพ เจ้าไม่ศึกษาศัตรูก่อนจะกำหนดแผนได้อย่างไร?”
ฟินเดลรู้สึกดีใจที่เซน่าเข้าข้างเขา ฟินเดลกล่าวว่า “เซน่าเจ้าเห็นควรทำอย่างไร?”
เซน่ากล่าวว่า “เราจะตั้งทัพประจันหน้ากับกองทัพอคาซัส ส่งทหารไปบุกตีค่ายมันไม่หยุด จากนั้นพอทหารเราถูกพิษก็แสร้งทำเป็นถอยทัพ เมื่ออคาซัสออกตามตีก็ปล่อยให้มันตีค่ายเราแตก ให้ทหารที่ถูกพิษหนีตายล่อให้อคาซัสเข้ามายังป่ารกทึบหรือจุดอับ จากนั้นค่อยใช้ทหารที่ซุ่มไว้สังหารพวกมัน”
ฟินเดลและเหล่าแม่ทัพรู้สึกแผนนี้อาจได้ผล แต่ก็รู้สึกว่าอำมหิตเกินไป
เซน่าและฟินโอร่าแม้จะมีสติปัญญาใกล้เคียงกัน แต่เซน่าทำศึกไม่สนใจชีวิตทหารต่างกับฟินโอร่าซึ่งคำนึงถึงทุกคน แผนการที่ออกมาย่อมแตกต่างกัน
ฟินโอร่าไม่พอใจยิ่ง นางกล่าวว่า “เซน่าเจ้าเสนอแผนอำมหิตเช่นนี้ได้อย่างไร?”
เซน่ากล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “ทำสงครามสิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึงคือชัยชนะ ไม่ใช่วิธีการ”
ฟินโอร่าสีหน้าโกรธเคืองอย่างเห็นได้ชัด ฟินเดลพลันกล่าวว่า “ข้าเองก็ต้องการสู้ศึกกับอคาซัส ข้าไม่ยอมถอยทัพทั้งที่ยังไม่รบแน่”
ฟินโอร่ากล่าวว่า “ฝ่าบาท หากไม่ถอยทัพไปกียอส ถ้าทัพหลวงพ่ายแพ้เราอาจจะมีกำลังไม่พอที่จะรับมือทัพใหญ่ของคาโอ”
ฟินเดลกล่าวเสียงดังว่า “พ่ายแพ้? ข้ายังไม่ทันรบเจ้าก็กล่าวคำนี้ออกมา หากข้าพ่ายแพ้แม้กระทั่งแม่ทัพของคาโอ ข้าก็ไม่จำเป็นต้องสู้ศึกกับคาโอแล้ว”
ฟินโอร่ากล่าวว่า “ฝ่าบาท ทรงไตร่ตรองให้ดี...”
เซน่าพลันตัดบทว่า “หากเจ้าอยากถอยไปกียอส ก็แบ่งกำลังส่วนหนึ่งถอยไปตั้งหลักไว้ หากทัพของฟินเดลพ่ายแพ้จริง ๆ เจ้าก็ตั้งทัพซุ่มไว้ สกัดทัพที่ศัตรูที่ไล่ตามฟินเดลมา”
ฟินเดลพยักหน้าเห็นด้วย เขากล่าวว่า “วิธีของเซน่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด หากพลาดพลั้งก็ยังมีกำลังเสริม แต่ข้าต้องรบชนะพวกมันแน่นอน”
ผิวสีขาวของฟินโอร่าพลันแดงด้วยความโกรธ เซน่าผู้นี้กำลังจะพาน้องชายตนไปตาย ส่วนฟินเดลก็ไม่รับฟังนาง นางจึงกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นก็แล้วแต่พระองค์เถอะ”
ฟินโอร่าเดินออกจากกระโจมที่ประชุมไป
ทัพของอคาซัสตั้งอยู่ในเมืองเดเซียส ซึ่งภายในเมืองเต็มไปด้วยกองทัพของอมนุษย์ที่ยกกำลังมาเสริม ทัพของอคาซัสมีราวสามหมื่นนาย
อคาซัสได้รับรายงานว่าทัพหลักของฟินเดลแบ่งเป็นสองส่วน อีกส่วนมุ่งหน้ากลับทิศตะวันตกเป็นทัพของฟินโอร่า อีกส่วนกลับมุ่งหน้ามาทางเขาซึ่งเป็นทัพหลวงของฟินเดล ขณะนี้ทัพฟินเดลกำลังพักอยู่ในป่าเรฟ่อนซึ่งอยู่ห่างจากเมืองเดเซียสไม่ไกล
ธังวอร์มซึ่งเคยเป็นราชทูตไปโกลด์เด้นกราวด์ซึ่งเข้าร่วมศึกนี้ด้วยกล่าวว่า
“ฟินเดลตั้งค่ายในป่าเรฟ่อนเท่ากับมันพาตัวเองเข้าสู่จุดอับ”
อคาซัสถามว่า “เพราะอะไร?”
ธังวอร์มอธิบายว่า
“ป่าเรฟ่อนเป็นป่ารกครึ้มไม่เหมาะแก่การตั้งทัพ หากเราใช้ไฟเผาป่าเพลิงก็จะลามอย่างรวดเร็ว”
“อย่าว่าแต่เรายังมีมังกรไวเวิร์นที่พ่นไฟได้ไม่จำกัด” ธังวอร์มกล่าวเสริมพร้อมรอยยิ้มอันชั่วร้าย
อคาซัสกล่าวถามว่า
“แล้วทัพของฟินโอร่า?”
ธังวอร์มดูแผนที่บนโต๊ะ กล่าวว่า “ฟินโอร่าถอยทัพไปทางตะวันตก คาดว่าจะกลับเมืองกียอสเพื่อเตรียมรับศึกหากฟินเดลพลาดพลั้ง เราส่งทหารกองหนึ่งติดตามดูการเคลื่อนไหวทัพนาง”
อคาซัสกล่าวว่า “พวกมันแยกทัพออกเป็นสองส่วน ไม่ทำให้ทัพหลักมันอ่อนแอลงหรือ?”
ธังวอร์มกล่าวว่า “แสดงว่าฟินเดลกับฟินโอร่าความเห็นไม่ลงรอย ข้าเคยเห็นทั้งสองคนมาก่อน ฟินเดลใจร้อนถูกข้ากระตุ้นง่าย ส่วนฟินโอร่าเยือกเย็นกว่า ขอเพียงเราจับตาทัพของฟินโอร่าไว้ เราย่อมไม่พลาดพลั้ง”
อคาซัสพยักหน้ากล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปตัดศีรษะฟินเดลถวายแก่ฝ่าบาทคาโอเอง”
ธังวอร์มกล่าวว่า “ข้าขอเสนอว่าให้ท่านแม่ทัพยกทัพบุกตีค่ายฟินเดลเพื่อตรึงกำลังพวกมันไว้ ระหว่างนั้นให้ใช้เหล่ามังกรไวเวิร์นบุกจู่โจมจากทางอากาศเผาป่าบริเวณรอบค่ายฟินเดลให้ราบคาบ ใช้กลยุทธ์เพลิงล้อมค่ายทัพฟินเดล ถึงตอนนั้นหากฟินเดลจะยกทัพออกมารบก็ต้องถูกพิษทหารเรา ไม่ยกทัพออกมาก็ถูกไฟเผา มีแต่หนทางตายสถานเดียว”
แผนของธังวอร์มทั้งโหดเหี้ยมทั้งรัดกุม
อคาซัสพยักหน้าเห็นด้วยกล่าวว่า “เจ้าสั่งการเตรียมเคลื่อนทัพได้”
ธังวอร์มกล่าว่า “ท่านแม่ทัพเตรียมจะบุกค่ายฟินเดลเมื่อใด?”
อคาซัสตอบว่า “คืนนี้!”
พวกมนุษย์อาจมีปัญหาในการมองตอนกลางคืน แต่เหล่าทหารอมนุษย์ไม่มี
อคาซัสเกาะกุมทุกจุดที่ได้เปรียบในสงคราม
ธังวอร์มจึงสั่งให้กองทัพอมนุษย์บุกจู่โจมค่ายฟินเดลในยามกลางคืน โดยมีทัพมังกรไวเวิร์นเป็นทัพเสริมคอยจู่โจมจากอากาศ
ป่าเรฟ่อนเป็นป่าที่มีต้นไม้แน่นขนัดดงไม้รกครึ้ม แสงอาทิตย์หรือแสงจันทราไม่อาจส่องผ่านป่าได้สะดวก ได้ยินเพียงเสียงหมู่มวลวิหคและค้างคาวที่ออกหากินตอนกลางคืน
อคาซัสขี่หมาป่าเขี้ยวดาบยกทัพอมนุษย์สองหมื่นตนบุกเข้าปาเรฟ่อน ก่อนหน้าเขาได้ส่งทหารมาสำรวจว่ามีทหารฟินเดลดักซุ่มไว้หรือไม่ก็พบว่าไม่มี
ค่ายทัพของฟินเดลติดธงของโกลด์เด้นกราวด์นับพัน ๆ ธง จุดแสงไฟเจิดจ้า แต่เนื่องจากพื้นที่นี้เป็นพื้นที่ที่มีป่ามีต้นไม้แน่นขนัด ไม่อาจสร้างรั้วไม้เพื่อป้องกันค่ายได้
“บุก!!”
กองทัพอมนุษย์และหมาป่าเขี้ยวดาบต่างยกโห่ร้องบุกโจมตีค่ายฟินเดลดุจพายุโหม การรบครั้งใหญ่เริ่มต้นขึ้น !!
-----------------
ฆ่าก็ถูกพิษ ไม่ฆ่าก็ถูกพวกอมนุษย์ฆ่า แล้วจะทำไงดี? ฟินเดลจะรอดไหม? สงครามจะเป็นไงต่อ โปรดติดตามตอนหน้า รับรองคาดไม่ถึง!