ตอนที่แล้วChapter 27 : การฝึกในกุญแจ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปChapter 29 : คำพิพากษาของศาลผู้ใช้เวท

Chapter 28 : Zodiaco


Chapter 28 : Zodiaco

        และแล้ววันที่พวกเราต้องเดินทางไปโซเดียโคก็มาถึง

        การเดินทางรอบนี้พวกเราเดินทางด้วยเครื่องบิน รู้สึกเข็ดหลาบกับการเดินทางด้วยรถไฟด้วยเทคโนโลยีเก่าอย่างรอบที่แล้วมาก ทั้งช้าแถมเจออุปสรรคอีก ใช้เวลาประมาณเจ็ดชั่วโมงเราก็เดินทางข้ามทวีปมาตอนใต้ของยุโรป โซเดียโคเป็นเมืองลอยฟ้าหรือที่หลายคนชอบเรียกว่าเป็นเกาะเวทมนตร์ เมืองทั้งเมืองปกคลุมไปด้วยก้อนเมฆหนา ด้านล่างคือมหาสมุทรแอตแลนติก ทางเข้าเมืองเชื่อมต่อกับสองประเทศ คือประเทศสเปนที่อยู่ในยุโรปตอนใต้ และประเทศโมร็อกโกที่อยู่ในทวีปแอฟริกาตอนเหนือ ซึ่งเราจะเดินทางเข้าเมืองผ่านประเทศไหนก็ได้

เมื่อมองจากบนท้องฟ้าลงมาจะเห็นสะพานขนาดใหญ่สองเส้นเชื่อมขึ้นมาด้านบนของโซเดียโค มีรถไฟแม่เหล็กความเร็วสูงต่อขึ้นมาด้านบนอีกทีจากสองประเทศ พวกเราเลือกที่จะบินมาลงที่สเปนก่อน จากนั้นก็เดินทางต่อไปที่โซเดียโค

การเดินทางเข้าเมืองค่อนข้างจะมีการตรวจตราอย่างเข้มงวด เพราะเป็นเมืองหลวงของผู้ใช้เวท แต่เนื่องจากเรามีจดหมายเชิญโดยตรงเลยผ่านเข้ามาได้ง่าย โดยพวกเรานั่งรถไฟเชื่อมระหว่างเมืองและประเทศ ขึ้นไปบนสะพานที่มีความยาวเกือบ 1000 กิโลเมตรต่อไปอีกเกือบหนึ่งชั่วโมง ก็จะถึงโซเดียโค รวมระยะเวลาในการเดินทางทั้งหมดตอนนี้ก็ประมาณ 8 ชั่วโมงพอดี

บอกตามตรงว่านี่เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่ผมมาที่นี่ ...

โซเดียโคไม่ได้อนุญาตให้คนทั่วไปเข้าไปท่องเที่ยวได้ตามใจชอบ เพราะที่นี่ไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยว แต่เป็นแหล่งรวมสถานที่สำคัญของเหล่าผู้ใช้เวทเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นศูนย์ใหญ่ในการผลิตกุญแจจักรราศีที่ส่งไปสาขาต่าง ๆ ทั่วโลก ห้องสมุดโลกผู้ใช้เวท ศาลของผู้ใช้เวท หรือแม้กระทั่งคุกที่ใช้คุมขังของอาชญากรผู้ใช้เวทก็อยู่ที่นี่

มีตำนานว่ากันว่าด้านล่างของโซเดียโคคืออาณาจักรแอตแลนติส ที่อยู่ใต้มหาสมุทรที่ลึกลงไป แต่ในปัจจุบันก็ยังไม่มีการค้นพบ ซึ่งมีความเชื่อหลายอย่างมากมายเกี่ยวกับเมืองเวทมนตร์ลอยฟ้าเมืองนี้ซึ่งยังคงถูกเก็บเป็นความลับเอาไว้

 

หลังจากเข้าเมืองมาได้ ความรู้สึกที่เห็นเมืองนี้แทบจะบรรยายออกมาไม่ถูก เพราะมันเหมือนเอาหลากหลายวัฒนธรรมมารวมผสมปนเปกันไปหมด สถาปัตยกรรมโบราณจากหลายประเทศ หลายทวีปดูแปลกตา พวกเราเดินผ่านถนนในเมืองมาเรื่อย ๆ ที่นี่ไม่ค่อยมีผู้คน การแต่งกายของคนในเมืองนี้ก็แตกต่างจากพวกเรามาก พวกเขาใส่ชุดคล้าย ๆ กับนักบวช แถมเสื้อผ้าไม่มีสีสันเหมือนคนสมัยเก่า มีแต่สีขาวกับดำให้เห็นเต็มไปหมด คล้ายกับตอนที่เราเจอฟางหรงกับกลุ่มคนชุดขาวที่งานเทศกาลดนตรี

พวกเราถามทางจากคนที่พบไปยังที่พัก เพราะเมืองนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากเมืองผู้ใช้เวทเมืองอื่น ๆ ที่ไม่ค่อยต้อนรับเทคโนโลยีเท่าไร เดินกันไปอีกสักพักก็เจอที่พักที่พวกเราเข้าไปพักผ่อนหนึ่งคืน ก่อนพรุ่งนี้เช้าจะเข้าศาลเพื่อไปชี้แจงและรับการพิพากษาความผิด

หลังจากถึงที่พักหาอะไรทานกันเป็นมื้อเย็นเสร็จ ก็แยกกันไปพักผ่อน ผมกับมินจุนนอนห้องเดียวกัน ส่วนไอรีนนอนอีกห้อง มารอบนี้พวกภูติดวงดาวนอนในกุญแจ เพราะราคาที่พักที่เมืองนี้มหาโหดมาก คืนหนึ่งเกือบแสนเคอเรน ซึ่งไม่ใช่ถูก ๆ

“นายว่าเราจะโดนข้อหาอะไรหนักจนถูกพิพากษาให้เข้าคุกผู้ใช้เวทไหม” ผมหันไปถามมินจุน ล้มตัวนอนลงบนเตียงอย่างเหนื่อยอ่อน ตอนนี้เหลือแต่ไฟที่หัวเตียงที่เปิดอยู่ การเดินทางนาน ๆ ถึงแม้จะไม่ได้ใช้พลังงานอะไร แต่มันก็รู้สึกเพลียจริง ๆ

“ฉันว่าคงไม่หรอก พวกเขาแค่ต้องการหาคนรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น ปกติการต่อสู้ของผู้ถือครองกุญแจจักรราศีจะลอบฆ่ากันเงียบ ๆ กฎหมายผู้ใช้เวทไม่ได้เหมือนของมนุษย์ ถึงการฆ่ามนุษย์และผู้ใช้เวทจะผิด แต่นายรู้ไหมว่ากฏนี้มันมีข้อยกเว้นสำหรับผู้ถือครองกุญแจจักรราศี” มินจุนพูดออกมา ล้มตัวลงนอนบนเตียงแฝดข้างผมอย่างเหนื่อยอ่อนไม่ต่างกัน

“เดี๋ยวนะ นี่ตรรกะอะไรเนี่ย” ผมพูดออกไป

ไม่เข้าใจเรื่องอะไรแบบนี้เลย ฆ่าคน มันจะไม่ผิดได้ยังไง

“บนโลกใบนี้มีวัฒนธรรม ธรรมเนียมอะไรหลายอย่างมากมายนายก็รู้ ผู้ใช้เวทก็เป็นมนุษย์ประเภทหนึ่ง ส่วนใหญ่เป็นพวกอนุรักษนิยมด้วยซ้ำ ไม่ได้เปิดกว้างเหมือนอย่างพ่อนายหรืออย่างฉันที่เป็นคนสมัยใหม่ นายก็เห็นว่าผู้ใช้เวทส่วนใหญ่ไม่ได้ชอบเทคโนโลยีมากนัก บางคนแทบจะต่อต้านด้วยซ้ำ ตอนพวกเราเปิดเผยตัวต่อสาธารณะชนเมื่อสองสามร้อยกว่าปีก่อน นายคงไม่ได้เรียนรู้เรื่องพวกนี้เลยซินะ”

ผมพยักหน้าให้กับมินจุน ใช่ เพราะตั้งแต่รู้ตัวว่าไม่มีเวทมนตร์เหมือนพ่อ ผมก็ไม่ได้สนใจเรื่องประวัติศาสตร์และเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับผู้ใช้เวทมากนัก แค่รู้พอถู ๆ ไถ ๆ จำเอาไปสอบสมัยเรียนแล้วก็ลืม

“เฮ้อ บางทีก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าชีวิตปกติของฉันทำไมต้องมาเจอเรื่องอะไรเสี่ยงตาย เสี่ยงคุกเสี่ยงตะรางแบบนี้ด้วย”

“ทำใจซะเถอะ นายเข้ามาพัวพันกับสิ่งที่ผู้ใช้เวทเชื่อกันว่าเป็นประเพณีทุก ๆ 500 ปีไปแล้ว มันไม่ใช่เรื่องที่จะลบล้างและเปลี่ยนความคิดกันง่าย ๆ ยิ่งกุญแจดอกที่ 13 มีอำนาจที่ทำให้ความปรารถนาทุกอย่างเป็นจริงได้ขนาดนั้น ความโลภของมนุษย์มันทำให้เราทำได้ทุกอย่างแหละ”

ผมถอนหายใจออกมาอีกเฮือกใหญ่ ก่อนหันไปพูดกับมินจุนอีกครั้ง จะว่าไปแล้วก็ยังไม่เคยถามหมอนั่นเลยตั้งแต่ร่วมมือเป็นพันธมิตร ว่าเขาต้องการกุญแจดอกที่ 13 หรือเปล่า ที่ร่วมมือก็แค่เอาตัวรอดหรือว่าอะไร เพราะตอนนั้นยังไม่ได้สนิท แต่ตอนนี้ผมคิดว่าผมน่าจะถามได้แล้ว

“เอาตรง ๆ นะ ฉันยังไม่เคยถามนายเลย นายอยากได้กุญแจดอกที่ 13 ไหม ถ้ามันเหลือแค่พวกเราสามคน นายฆ่าฉันลงหรือเปล่า” ผมถามออกไป พอพูดจบ มินจุนก็หัวเราะออกมาเบา ๆ

“ตั้งแต่วันแรกที่เจอกันจนถึงวันนี้ นายก็ยังคงเป็นนายที่ยังมองโลกในแง่ดีเหมือนเดิม นายถามตรงจนฉันเองรู้สึกว่าถ้าคนที่เป็นพันธมิตรนายไม่ใช่ฉัน คนคนนั้นบอกอะไรนาย นายคงเชื่อไปหมด นายก็เห็นสิ่งที่นิโคลทำกับเฉินแล้วนี่ มันไม่มีมิตรแท้สำหรับเกมนี้”

“แต่เมื่อนายถามตรง ๆ ฉันก็จะตอบตรง ๆ ตราบใดที่นายไม่ทำอะไรฉันก่อน ฉันก็ไม่ทำอะไรนายหรอก เวลาที่ผ่านมานายก็เป็นเพื่อนที่ดีและเคยช่วยฉันไว้ด้วย ฉันเองก็ไม่ได้อยากได้กุญแจดอกที่ 13 เลย ชีวิตฉันมีพร้อมทุกอย่างแล้ว ทั้งหน้าที่การงาน เงินทอง ชื่อเสียง ความปรารถนาของฉันก็แค่อยากจะรอดจากสงครามครั้งนี้”

มินจุนเงียบไปสองสามวินาทีก่อนเริ่มพูดอีกครั้ง

“ฉันกลับเกลียดมันด้วยซ้ำ มันทำให้เราทุกคนต้องฆ่ากันเอง ที่สำคัญ มันทำให้เพื่อนรักของฉันเปลี่ยนไป จนฉันต้องลงมือฆ่าเขาด้วยตัวเอง ทุกวันนี้ก็ยังเสียใจไม่หายในสิ่งที่ทำลงไป อย่างที่ฉันเคยบอกนาย ว่าถ้าไม่อยากตาย นายต้องทำใจฆ่าให้ได้” มินจุนพูด สายตาเงยขึ้นไปมองบนเพดานห้อง

“ฉันเองก็ไม่ได้อยากเข้าร่วมสงครามบ้าบอคอแตกอะไรนี่เหมือนกัน ใครจะไปคิดว่าคนที่ไม่มีเวทมนตร์อย่างฉันจะเข้ามาอยู่ในเกมนี้ได้ ในเมื่อนายพูดมาขนาดนี้ก็ขอให้พวกเราผ่านสงครามครั้งนี้ไปได้ด้วยกันนะ ฉันเชื่อใจนาย” ผมพูดออกไป ตอนนี้ก็เริ่มจะง่วงแล้ว คุยกับมินจุนไปมาจนเพลิน เปลือกตาผมก็ค่อย ๆ จะปิดลง ได้ยินเสียงมินจุนหัวเราะออกมาเบา ๆ

“นายเชื่อใจฉันได้วิน ส่วนไอรีน ฉันรู้ว่านายคิดอะไรกับเธอ อย่าหาว่าฉันมองโลกในแง่ร้ายเลย แต่ฉันรู้สึกว่าไอรีนยังไม่ได้เปิดใจให้พวกเราทั้งหมด เธอมีอะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่ ไอรีนไม่เคยพูดถึงเรื่องที่บ้านหรือครอบครัวตัวเองให้พวกเราฟังเลย แม้กระทั่งหน้าที่การงาน ก็บอกว่าเป็นนักวิจัยเหมือนกันกับนาย แต่กลับมีอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ที่ใช้ในการต่อสู้มากมาย และสกิลการต่อสู้ที่ดูเหมือนจะฝึกมาหลายปีนั่นอีก เธอไม่ใช่แค่ผู้ใช้เวทธรรมดาแน่ ๆ”

“ก็จริงของนาย เป้าหมายของไอรีนคือมาตามฆ่าฉันตั้งแต่แรก ที่ร่วมมือเป็นพันธมิตรกับพวกเราก็เพราะเธอต้องการเอาตัวรอด และต้องการกุญแจดอกที่ 13 ภายหลัง แต่ตอนนี้ฉันเองก็ไม่อยากคิดระแวงอะไรถึงขนาดนั้น ฉันเชื่อว่าฉันเปลี่ยนใจไอรีนได้ นายก็เห็นว่าตอนนี้ไอรีนเปลี่ยนไปจากวันแรกที่เราเจอกันแค่ไหน” ผมพูดออกไป

ถึงแม้จะรู้ว่าไอรีนยังมีอะไรบางอย่างซ่อนพวกเราอยู่ แต่ผมก็เชื่อว่าสักวันเธอต้องไว้ใจเล่าเรื่องของตัวเองให้พวกเราฟังแน่

“มั่นใจจังโว้ย พ่อคนโลกสวย” มินจุนพูดออกมาขำ ๆ โยนหมอนเหวี่ยงมาที่ใบหน้าผม ผมหัวเราะก่อนเหวี่ยงมันกลับไป มินจุนเงียบไปสักพักเหมือนคิดอะไรอยู่ก่อนพูดออกมา

“นายรู้ตัวไหม ว่านายนิสัยเหมือนเพื่อนรักของฉัน ตอนที่เขายังไม่ได้ครอบครองกุญแจจักรราศี” มินจุนพูด น้ำเสียงเหมือนกำลังเศร้าอยู่ ผมเองก็เข้าใจความรู้สึก เพราะทุกครั้งที่เขาเอ่ยถึงเจ้านายคนเก่าของซาจิททาเรียสใบหน้าจะเศร้าทุกที

“มันคงจะรู้สึกแย่มากใช่ไหม ที่ต้องฆ่าเพื่อนรักตัวเอง” ผมถามออกไป

“อื้ม นอนเถอะ พรุ่งนี้เราต้องตื่นแต่เช้า”

ผมไม่ได้พูดอะไรต่อ เชื่อว่าความเงียบจะเป็นการทำให้มินจุนรู้สึกดีขึ้น การได้เปิดใจคุยกับมินจุนแบบนี้มันก็ดีเหมือนกัน พวกเราจะได้ไม่มีเรื่องค้างคาใจกันอีก ตอนนี้เป้าหมายของผมในสงครามกุญแจจักรราศีก็มีแค่

พวกเราต้องรอด ...

 

ก๊อก ๆ ก๊อก ๆ

เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นมาแต่เช้า ผมงัวเงียลุกขึ้นมาจากเตียงเพราะเสียงนั่น ส่วนมินจุนเหมือนจะตื่นก่อนแล้ว ได้ยินเสียงเหมือนคนอาบน้ำในห้องน้ำมาสักพัก วันนี้ลีโอไม่ได้ออกนอกกุญแจมาปลุก สงสัยคงเป็นเพราะเห็นว่าผมไม่ต้องออกไปวิ่งตอนเช้าเพื่อออกกำลังกายเหมือนเช่นเคย อีกอย่างมินจุนก็ตื่นนอนก่อนแล้วด้วย

ผมลุกขึ้นมาบิดขี้เกียจ ก่อนเดินไปเปิดประตูให้กับคนที่มาเคาะ คนที่เดินเข้ามาในห้องเป็นไอรีน ที่พักอยู่ที่ห้องติดกับพวกเรา ผมยิ้มกว้างโชว์ฟันขาวให้เธอเป็นการอรุณสวัสดิ์

“เป็นสาวเป็นนาง เข้ามาในห้องผู้ชายแบบนี้แต่เช้ามันไม่ดีรู้เปล่า” ผมพูดออกไป ก่อนเดินไปทรุดตัวลงนั่งที่ปลายเตียง

“ไม่ดียังไง” ไอรีนถามกลับมาแบบไม่เข้าใจ

“ก็ถ้าเกิดฉันหรือมินจุนนอนแก้ผ้าอยู่ แล้วเธอเข้ามาจะทำยังไง ผู้ชายก็เขินเป็นนะ” ผมพูดออกไปขำ ๆ

“นายมันโรคจิต ไอ้บ้าวิน รีบไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้ว ฉันมาชวนพวกนายไปกินอาหารเช้า”

“มินจุนอาบอยู่ ใจเย็น ๆ เธอจะให้เข้าไปอาบด้วยกันหรือยังไงเล่า” ผมบอกไอรีนไป

“ไปอาบที่ห้องฉันก็ได้”

“แน่ะ มีชวนเข้าห้อง เดี๋ยวนี้ร้ายนะไอรีน” ผมพูดต่อ สงสัยเจ้าตัวท่าจะหิวอาหารเช้า เร่งใหญ่เลย

“นี่นายกะจะกวนประสาทแต่เช้าเลยหรือไง” ไอรีนแว้ดกลับมาแบบอารมณ์เสีย ใบหน้านิ่ง ๆ เริ่มดูหงุดหงิดขึ้นมา นั่นถือว่าการยั่วโมโหของผมสำเร็จ

“เกรี้ยวกราดกับเขาตลอดอะ ยิ้มหน่อย ยิ้ม ยิ้มแบบนี้น่ารักจะตาย”

ผมเอื้อมมือไปดึงแก้มไอรีนอย่างถือวิสาสะ เจ้าตัวดูอึ้งไปสามสี่วิพร้อมกับทำหน้าไม่ถูก ก่อนที่ผมจะถูกมือเรียวนั้นตีเข้าให้อย่างรวดเร็ว แล้วเจ้าตัวก็รีบลุกเดินหนีออกจากห้องผมกับมินจุนออกไป แต่เมื่อกี้แอบเห็นแวบ ๆ ว่าใบหน้ามีรอยยิ้มน้อย ๆ ประดับอยู่

เห็นไหม ... ผมเปลี่ยนเธอได้

 

“ไอรีนมาหรอ เห็นได้ยินเสียงคุยกัน”

เสียงของมินจุนพูดดังขึ้นมา พร้อมกับร่างเจ้าตัวที่เดินออกมาจากห้องน้ำในสภาพเปลือยครึ่งตัว

โห ไอ้นี่ก็หุ่นดีจัง ดีนะที่ไอรีนออกจากห้องไปก่อน เดินโชว์ซิกแพคออกมาจากห้องน้ำแบบนี้ เดี๋ยวได้โดนไอรีนหาว่าเป็นโรคจิตเหมือนผมตอนนั้นอีก คิดถึงเรื่องตอนนั้นแล้วก็หัวเราะขำ ก่อนเดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่ออาบน้ำต่อ ปล่อยให้มินจุนงงกับเสียงหัวเราะของผม

 

หลังจากทางอาหารเช้ากันเสร็จ พวกเราก็เดินไปยังศาลผู้ใช้เวทที่อยู่ห่างออกไปจากที่พักประมาณสิบห้านาที ตัวศาลมีลักษณะเหมือนศาลทั่วไป แต่โครงสร้างของศาลที่นี่เหมือนจะถูกสร้างด้วยหินอ่อน มีผู้คนเดินไปมาคึกคักเหมือนกันบริเวณนี้ พวกเราเดินไปยังห้องที่ถูกกำหนดไว้ตามหมายเรียกในจดหมาย

ประตูสีน้ำตาลบานใหญ่อยู่ตรงหน้า ก่อนพวกเราทั้งสามจะเปิดเข้าไป ความอลังการของมันทำให้ผมอึ้ง เพราะภายในห้องพิจารณาคดีมีขนาดใหญ่มาก ไม่เหมือนศาลปกติที่ผมเคยเห็น เมื่อเดินเข้าไป พวกเราสามคนจะอยู่ตรงกลางของห้อง รอบ ๆ ห้องมีรูปปั้นหินอ่อนของสัญลักษณ์จักรราศีทั้งสิบสองอยู่แต่ละมุม ล้อมพวกเราไว้เป็นวงกลม ซึ่งด้านหลังในแต่ละมุมมีคนในชุดสีขาวคล้ายนักบวชยืนอยู่ หนึ่งในนั้นมีฟางหรงยืนอยู่ด้วย

ไม่ช้าเสียงที่ดังกังวานก็ดังขึ้นมา

“เริ่มการพิจารณาได้”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด