Chapter 19: ข้าววิญญาณ
ฟางหยวนยังคงไม่รู้ตัวว่าฟันเฟืองในแผนการใหญ่ที่มุ่งร้ายต่อตัวเขาอย่างลับ ๆ นั้นได้เริ่มหมุนแล้ว
ตรงกันข้าม ตอนนี้หัวใจของฟางหยวนนั้นกำลังเต็มไปด้วยความปลาบปลื้มยินดีเหลือแสน
“นี่มัน..”
วินาทีที่เขาเข้าไปในไร่ เขาก็ชะงักกับประกายสีแดงสด
แปลงข้าวหยกแดงนั้นเปลี่ยนไปหมดเลย เมล็ดข้าวล้วนโตเต่งจนเกือบจะระเบิดออกมาจากเปลือก และยังกลิ่นเผ็ดร้อนที่โชยกรุ่น ราวกับว่าพวกมันเป็นเครื่องเทศ กระตุ้นความอยากอาหารของผู้คน
“ข้าวหยกแดงโตเต็มที่แล้ว!”
ฟางหยวนแทบจะระเบิดด้วยความสุข
“กี๊กี๊!”
“กี๊กี๊!”
ฮวาหูเตียวเองก็ดูดีใจและอยากจะพุ่งเข้าไปคว้าข้าวเหล่านั้นมากินแล้วจริง ๆ
ดีที่หลังจากฝึกกันมาระยะหนึ่งแล้ว ในที่สุดมันก็เข้าใจว่าข้าววิญญาณนี้ก็เช่นเดียวกับข้าวหยกมุก และต้องเอาเปลือกออกก่อน ก่อนที่จะหุง ถึงเมื่อนั้นจึงจะลิ้มรสชาติอันไร้ใดเปรียบได้ ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นการผลาญของล้ำค่าเช่นนี้ไปเปล่า ๆ
ดังนั้น หนูเตียวตัวนี้จึงยังสามารถควบคุมตัวเองได้ เพียงแค่เหลือบมองฟางหยวนจากไกล ๆ
“อืมม เริ่มเก็บเกี่ยวก่อนดีกว่า!”
หลังจากนั้น ฟางหยวนก็กลับบ้าน ไปเอาเคียวและอุปกรณ์อื่น ๆ ก่อนจะเริ่มเก็บเกี่ยวข้าวด้วยความระมัดระวัง
เรื่องดีก็คือเขาทะลวงผ่านประตูทองที่สองได้แล้ว ดังนั้นเรี่ยวแรงของเขาจึงดีกว่าคนทั่วไปมาก ระดับพลังเวทย์ของเขาก็สูง ดังนั้นจึงมีความมั่นใจในทุกการเคลื่อนไหว เพียงแค่กวัดแกว่งเคียวไม่กี่ครั้ง ต้นข้าวหยกแดงก็ถูกตัดออกมาเรียงไว้เป็นระเบียบ
ที่อีกด้านหนึ่ง ฮวาหูเตียวจับตาดูสถานการณ์ตรงหน้า เลียกรงเล็บของตน แต่ยังไม่กล้าเข้าไปช่วย
มันตระหนักดีว่าความสุขในอนาคตของมันขึ้นอยู่กับแปลงข้าวที่ตรงหน้านี่ ถ้ามันลงมือทำอะไรลงไปแล้วทำให้เรื่องราวแย่ลง มันมิต้องร้องไห้เสียใจจนตายหรือ?
“เอา เรียบร้อยแล้ว ช่วยข้าย้ายเมล็ดข้าวพวกนี้กลับไปกัน”
ฟางหยวนมัดต้นข้าวหยกแดงทั้งหมดเข้าด้วยกันเป็นมัด ในเวลาเดียวกันก็แบ่งบางส่วนให้ฮวาหูเตียว
“ระวังด้วยนะ!”
หลังจากเก็บเกี่ยว ขั้นตอนถัดไปก็คือตากข้าว นวดข้าว สีเปลือกออก...
เมื่อขั้นตอนสุดท้ายเรียบร้อยแล้ว เขาก็จ้องมองไปที่ข้าวหยกแดงที่มีสีแดงเป็นประกาย อดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้มออกมา
ข้าวหยกแดงที่ตรงหน้าเขานั้นแต่ละเม็ดมีขนาดราว ๆ เล็บมือ เป็นประกายราวหยก มีลายเส้นสีแดงราวกับเปลวเพลิงพาดผ่านกึ่งกลาง และมีกลิ่นหอมแรงโชยเข้าจมูก
“การเก็บเกี่ยวคราวนี้ได้ราว ๆ 50 ชั่ง ซึ่งข้าจำต้องเก็บกึ่งหนึ่งเอาไว้ปลูก...”
อีกด้านหนึ่ง ฟางหยวนเก็บเมล็ดที่ยังไม่ได้สีเปลือกออกไว้ในห้องเก็บของ หลังจากจัดเรียบเรียบร้อยแล้วเขาก็ผ่อนลมหายใจโล่งอก มองไปที่ข้าวหยกแดงที่ยังเหลืออยู่ ถูมือไปมาอย่างเริ่มอดรนทนมิได้ “ข้าจะได้เป็นหนึ่งในผู้ได้ลิ้มรสข้าววิญญาณนี่สินะ..”
ที่ข้าง ๆ ฮวาหูเตียวยังคงจ้องตรงไปที่ข้าวหยกแดงจนเริ่มน้ำลายไหล แต่มันก็ยังไม่กล้าที่จะขยับทำอะไร แต่หันไปคว้าแกลบกำหนึ่งมาเคี้ยวแทน ลูบท้องไปมาทำสีหน้าพึงพอใจ
“ช่างเชื่อฟังยิ่งนัก!”
ท่าทางของหนูเตียวไม่ได้พ้นไปจากสายตาฟางหยวน เขาอดไม่ได้ที่จะชื่นชมออกมา
แม้ว่าเปลือกข้าวมักจะใช้เป็นอาหารสัตว์ตามในหมู่บ้าน แต่มันเทียบไม่ได้เลยกับเปลือกข้าววิญญาณเหล่านี้ เปลือกข้าวเหล่านี้มีสารอาหารและพลังธาตุสูงกว่าข้าวหยกมุกหลายเท่าด้วยซ้ำ
“นี่.. ถ้าเจ้ากินมากไปตอนนี้ จะไม่มีที่ว่างในกระเพาะให้ข้าวหยกแดงทีหลังนะ?”
ฟางหยวนพูดพลางลูบหัวเล็ก ๆ ของฮวาหูเตียวไปด้วย
หนูเตียวขาวกลอกตา แบอุ้งมือเปล่า ๆ ออก เหลือบมองด้วยสายตามุ่งมั่น เหมือนจะบอกว่ามันกินไหวไม่ว่าจะมากแค่ไหนก็ตาม
“จริง ๆ เลยนะ.. ไม่รู้จะทำอย่างไรกับเจ้าแล้ว!”
หลังจากระเบิดหัวเราะเสียงลั่น ฟางหยวนก็ตักน้ำจากน้ำพุใส่ลงไปในหม้อนึ่ง กับข้าวหยกแดงอีกหนึ่งชั่ง
“ข้าวหยกแดงนี้เป็นพืชวิญญาณ ดังนั้นข้าควรจะหุงอย่างระมัดระวัง เริ่มจากค่อย ๆ นึ่งมัน...”
ใส่ฟางข้าวลงไปที่ใต้เตา ฟางหยวนมองเปลวเพลิงที่ค่อย ๆ ลุกโชนสว่างไสวไปทั้งห้อง ราวกับห้องครัวทั้งห้องตกอยู่ในเปลงเพลิง ที่ด้านบนนั้นกรุ่นกลิ่นจากไอที่ระเหยออกมาทำให้ทั้งคู่เริ่มน้ำลายสอ
ฟางข้าวจากพืชวิญญาณตอนนี้ถูกใช้เป็นเชื้อเพลิงไปเสียแล้ว ถ้ามีลูกศิษย์จากสำนักกุยหลิงคนใดมาเห็นเข้าคงจะต้องคร่ำครวญว่าฟางหยวนช่างทำเสียของยิ่งนัก
แต่แล้วยังไงเล่า สำหรับฟางหยวน มิใช่ว่าใช้ฟางข้าวหุงข้าวก็เป็นเรื่องเหมาะสมแล้วหรือ?
อีกอย่าง การใช้ทั้งสองอย่างนี้ร่วมกันนั้นสามารถดึงเอาประโยชน์ออกมาได้มากกว่าเคยด้วยซ้ำ
“ต่อไป ข้าจะใช้ข้าวเปลือกพวกนี้เลี้ยงไก่กับเป็ดสักฝูง จากนั้นพวกเราก็จะมีงานฉลองอาหารระดับวิญญาณ นี่สิคือการดำเนินชีวิตที่แท้จริง!”
ในใจเขามีความคิดเล็ก ๆ หนึ่งขึ้นมา
เพราะฟางข้าวเผาไหม้ง่ายดายนัก เขาจึงคอยใส่เพิ่มเข้าไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมัดสุดท้ายถูกเผาเป็นเถ้าไป กลิ่นหอมฉุนขึ้นกว่าเดิมเป็นสิบเท่ากรุ่นเต็มห้องครัว
“ข้าวหยกแดงสุกแล้ว!”
ฟางหยวนเปิดฝาหม้อนึ่ง มีไอสีแดงปริมาณมากพวยพุ่งออกมา ไอน้ำมีประกายสีแดงเพิ่มขึ้นมากจากข้าวหยกแดงซึ่งเป็นสีแดงสดทั้งเมล็ด เกิดเป็นเหมือนกลุ่มเมฆเพลิง
ที่ด้านในหม้อนึ่ง ข้าวทุกเมล็ดสุกทั่วกันเปลี่ยนขนาดเป็นขนาดเดียวกันกับข้าวหยกมุก หลังจากที่เมล็ดข้าวดูดซับไอน้ำเข้าไป แต่ละเมล็ดก็โตขึ้นอีกนิด และดูราวกับมีเปลวเพลิงลุกไหม้อยู่ด้านใน
“กิกี๊! กี๊กี๊!”
ฮวาหูเตียวกระโดดขึ้นลงไปมาดูหมดความอดทนยิ่งแล้ว
“ฮ่าฮ่า... ส่วนแบ่งของเจ้าจะน้อยได้อย่างไร! เอ้านี่ กินเสีย!”
ฟางหยวนหยิบตะเกียบและชามข้าวออกมา แบ่งข้าวให้ฮวาหูเตียวหนึ่งชามเต็ม ๆ ก่อนจะตักให้ตัวเองในปริมาณเดียวกัน
กลิ่นหอมของข้าวกรุ่นกำจายอยู่รอบ ๆ ตัวเชา เขากลืนน้ำลายลงคอดังเอื้อก ก่อนจะส่งข้าวหยกแดงเข้าปาก
“อู้ว...”
ม่านตาของเขาก็เบิกกว้างเกือบจะทันที
ข้าวหยกแดงละลายลงไปทันทีที่สัมผัสกับโพรงปากของเขา กระตุ้นต่อมรับรสราวด้วยกระแสร้อนราวกับลาวาที่มีกลิ่นหอมเข้มข้นแบบเครื่องเทศ
ความรู้สึกเผ็ดร้อนร่วมกับเนื้อสัมผัสเดิมของข้าวแล้วทำให้มื้อนี้เป็นมื้ออาหารที่ดีที่สุด โดยไม่ต้องมีจานเคียงใด ๆ
ในที่สุดเมื่อเขากลืนข้าวคำแรกลงไป ความอบอุ่นสายนี้ก็ไหลตรงสู่กระเพาะอาหารเขา เปลี่ยนเป็นความเย็นเยือกฉับพลัน
ข้าวที่เดิมมีรสเผ็ดร้อนเปลี่ยนเป็นเย็นเยือกหลังจากลงสู่กระเพาะอาหารงั้นเหรอ?
ความรู้สึกนี้มันเหมือนกับตอนที่เขายังอยู่ในโลกแห่งความ มันเหมือนได้อบไอน้ำอยู่สักครึ่งวันที่ในห้องครัว ฟางหยวนเดินออกมาเรียกความสดชื่นด้วยการอาบน้ำเย็น ๆ ตลอดร่างกายของเขารู้สึกสบายเป็นที่สุด ทุกตารางนิ้วของผิวราวกับถูกผลัดใหม่
ฮวาหูเตียวที่ด้านข้างก็กินข้าวจนเกลี้ยงชามของมันเร็วกว่าปกติ เหลือบมองฟางหยวนอย่างกระวนกระวาย
“ตะกละนัก!”
เมื่อมองไปที่ข้าวที่ยังเหลือ เขารู้สึกเสียใจขึ้นมานิด ๆ แต่รู้สึกกลัวมากกว่า
เขาเกรงว่าตัวเองจะไม่สามารถทำตามกฏที่ตั้งเอาไว้ได้อีกต่อไป และในที่สุดก็จะผลาญเอาข้าวสิบกว่าชั่งที่เหลือไปเสียหมด!
เมื่อเขามองตรงเข้าไปในดวงตาที่เต็มไปด้วยความต้องการของฮวาหูเตียว เขาก็รู้ว่าไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
“แต่.. นี่ก็เป็นการเก็บเกี่ยวครั้งแรก คงจะไม่เป็นไรถ้าวันนี้จะกินมากกว่าปกติสักนิด”
ฟางหยวนคิดพลางลูบคางไปมา รสชาติของข้าวหยกแดงนั้นดีเกินไป!
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฮวาหูเตียวก็กระโดดเหยง ๆ อย่างยินดี แทบจะปรบกรงเล็บทั้งสองเข้าด้วยกัน
...
“ฟู่... ข้าอิ่มมาก...”
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปอีกเท่าไหร่ ฟางหยวนลูบท้องพลางนอนแผ่ลงบนพื้น ไม่อยากขยับแม้แต่ปลายนิ้ว
ที่ด้านข้าง มีฮวาหูเตียวที่กินเต็มคราบนอนอยู่ด้วยท่าเดียวกัน
มนุษย์และสัตว์ร้ายทั้งสองนี้ไร้ซึ่งความยับยั้งชั่งใจ กินข้าวไปกว่า 5 ชั่ง เมื่อกลับมาคิดย้อนหลัง ฟางหยวนก็ปวดใจนัก
แผนเดิมของเขาก็คือ พึ่งพาพืชผลเหล่านี้สนับสนุนเขาไปจนถึงประตูทองถัดไป แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้จะเป็นไปไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
“ดูเหมือนว่าพวกเราจะต้องฝึกระงับใจกันบ้างแล้ว ไม่เช่นนั้นพวกเราจะได้กินแต่ข้าวเปลือกและดื่มน้ำข้าวแทนแล้ว มีชีวิตอยู่โดยนับเมล็ดข้าวไปทุกเมล็ดที่มีนี่มัน...”
ฟางหยวนรู้สึกท้อแท้ขึ้นมาทันที
ใครบ้างไม่รู้ว่าแม้แต่ในสำนักกุยหลิงเอง ข้าวหยกแดงก็มีแค่เจ้าสำนักและศิษย์สายตรงเท่านั้นที่ได้ลิ้มรส? แล้วยังไม่ใช่อะไรที่สามารถได้กินทุกวันด้วยซ้ำ
ชีวิตของเขากับฮวาหูเตียวนี้ต้องเรียกสายตาริษยาจากทุกผู้คนที่รู้เรื่องได้แน่นอน
“แต่... เมล็ดข้าวหยกแดงที่ผู้ดูแลหลินมอบให้ข้ามันดูไม่เหมือนแบบนี้...”
หลังจากกินจนอิ่ม ความคิดนี้ถึงได้โผล่ขึ้นมาในใจฟางหยวน “งั้นนี่ก็เป็นผลมาจากการดูแลพืชระดับ 3 เช่นนั้นหรือ? ข้าคิดว่าข้าววิญญาณของสำนักกุยหลิงคงไม่ได้มีคุณภาพสูงเช่นของข้า แล้วยังเป็นแบบที่ยังไม่ได้มีการกลายพันธุ์มาก่อนด้วย...”
“เอาละ ได้เวลาฝึกฝนแล้ว!”
เมื่ออาหารในท้องของเขาเริ่มย่อย ฟางหยวนก็ลุกขึ้น เหลือบมองหน้าต่างสถานะโดยไม่ได้ตั้งใจ สิ่งที่เขาเห็นในตอนนี้ทำให้เขาตกตะลึง มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอีกแล้ว
“ชื่อ: ฟางหยวน
พลังกาย: 1.4
พลังลมปราณ: 1.3
พลังเวทย์: 1.5
อายุ: 18
ระดับการฝึกตน: [ผู้ฝึกยุทธ์ (ประตูทองที่สอง)]
วิทยายุทธ์: [ฝ่ามือทรายดำ (ระดับ 2)]
ทักษะ: [การแพทย์ (ระดับ 1)], [การดูแลพืช (ระดับ 3)]”
“พลังกายเพิ่มขึ้นจาก 1.3 เป็น 1.4?”
ดูเหมือนว่าพลังกายจะหมายถึงสภาพร่างกายของเขา หมายรวมทั้งสภาพร่างกายและค่าสถานะทางกายอื่น ๆ
ก่อนนี้ มันเพิ่มขึ้นเฉพาะเมื่อเขาผ่านประตูทองได้เท่านั้น
แต่ตอนนี้ หลังจากกินข้าวหยกแดง พลังกายของเขาก็เพิ่มขึ้น 0.1?
“ถึงจะบอกว่ามันจะให้ผลสูงสุดเมื่อได้รับเป็นครั้งแรกก็ตาม แต่นี่มันไม่มากเกินไปสักนิดหรือ?”
ฟางหยวนแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง
สภาพร่างกายนั้นเป็นพื้นฐานของทุกอย่าง และหลังจากกินข้าววิญญาณเพียงมื้อเดียว ก็มีการเปลี่ยนแปลงที่น่าตกตะลึง ถ้าเช่นนั้น อัจฉริยะจากตระกูลใหญ่ที่มีข้าววิญญาณกินอย่างไม่จำกัดจะน่าแตกตื่นขนาดไหน?
“แต่... ข้าววิญญาณของพวกเขาก็คงไม่ดีเท่าของเข้า เพราะอย่างไรเสียพวกนั้นก็ไม่ได้มีมือมหัศจรรย์เสียหน่อย!”
ด้วยความช่วยเหลือจากหน้าต่างสถานะ ฟางหยวนมั่นใจว่าจะสามารถปีนขึ้นไปอยู่ที่จุดสูงสุดของโลกนี้ได้ ไม่จำเป็นต้องหวาดเกรงอัจฉริยะหน้าไหนทั้งสิ้น
“เพราะไม่มีใครเดินทางพันลี้ได้โดยไม่เริ่มจากก้าวเล็ก ๆ ... ดังนั้นข้าจะหย่อนการฝึกฝนประจำวันมิได้!”
เขาเริ่มทิ้งตัวเองลงไปในภวังค์การฝึกฝ่ามือทรายดำอย่างรวดเร็ว
แต่วันนี้ เขารู้สึกว่ามีบางอย่างต่างไป
ระหว่างการฝึก กระแสอบอุ่นสายหนึ่งกระจายออกจากแขนขาและกระดูกของเขา มันเหมือนกับมีน้ำอุ่นเคลือบอยู่ทั่วร่าง มอบพลังให้เขา และยังรู้สึกชานิด ๆ ตลอดร่างราวกับถูกกระตุ้นซ้ำ ๆ
“นี่มัน...”
พอรู้ว่ามีบางอย่างแตกต่างไป ฟางหยวนก็ตรวจสอบตลอดร่างกาย และมองไปที่แถบบอกระดับการฝึกฝน แล้วก็ค้นพบ
“แถบระดับการฝึกฝนฝ่ามือทรายดำขยับสูงขึ้นเร็วมาก นี่ก็เป็นผลจากข้าวหยกแดงรึ?”
ถ้าปกติแถบบอกระดับนี้จะขยับหนึ่งส่วนในหมื่นส่วนหลังจากฝึกฝ่ามือหนึ่งรอบ ตอนนี้มันก็ขยับประมาณหนึ่งส่วนในพันส่วนแทน!
เพิ่มขึ้นถึง 10 เท่า ช่างน่ากลัวนัก!
“ผลของข้าวหยกแดงน่าจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความเร็วในการฝึกฝนของข้า แต่น่าจะเป็นเพราะค่าสถานะทางกายภาพของข้ามากกว่า?”
ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในใจฟางหยวน
เพราะว่าพลังกายเป็นพื้นฐานของทุกอย่าง ตอนนี้เมื่อพื้นฐานของเขาดีขึ้น ความยากของการฝึกยุทธ์ก็ลดลงเป็นธรรมดา
อย่างน้อยก็ในกรณีนี้ของเขา
“ดูเหมือนว่าข้าจะต้องเพิ่มความแข็งแกร่งทางกายให้เร็วขึ้น!”
ฟางหยวนตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น กำหมัดแน่น
ข้าวหยกแดง ชาชำระจิต กับหน้าต่างสถานะ สิ่งเหล่านี้ช่วยเขาโกงอย่างแท้จริง