บทที่ 36 เรื่องไหว้วานจากองค์จักรพรรดิ
บทที่ 36 เรื่องไหว้วานจากองค์จักรพรรดิ
ช่วงเวลาค่ำคืนก่อนถึงรุ่งสาง สไปค์กำลังฝันถึงเรื่องบางเรื่องที่ลืมไปนานมากแล้ว ในฝันนั้นเขายังเป็นเด็กอายุสิบขวบที่ดูธรรมดาไม่ต่างไปจากเด็กทั่วไป แต่สิ่งที่ต่างก็คือตัวเขาที่อยู่ในฝันนั้นไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่ปกติอย่างที่ควรจะเป็นในวัยนี้
เมื่อเบื้องหน้าเขามีร่างของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เธอคนนั้นมีใบหน้าที่แสนคุ้นเคยยิ่งนัก ดวงเนตรสีดำขลับเหมือนกับเรือนผมที่ยาวประบ่าลงมา พอผนวกเข้ากับโครงหน้าที่เรียวได้รูปมันยิ่งทำให้ตัวเธอดูน่ารักมากยิ่งขึ้น
ท่ามกลางความมืดมิดภายในถ้ำนั้น ตัวเธอส่งมอบรอยยิ้มให้กับเขา ก่อนที่ภาพในดวงตาจะมืดดับลง
เป็นอาเทียร์...เธอยังคงส่งยิ้มให้เขาเฉกเช่นที่เคยเป็น
สตรีผู้เป็นบุตรีแห่งมารหมาป่า ตัวเธอก็มีฐานะเป็นมารเช่นเดียวกับผู้เป็นบิดา ในครั้งนั้นสไปค์ได้ลงมือสังหารเธออย่างเลือดเย็น เลือดที่เปรอะมือเขาในวันนั้น จนถึงตอนนี้ยังได้กลิ่นอยู่เลย
แล้วผนังถ้ำก็หายไป...ปรากฏเป็นพื้นที่กว้างขวางเข้ามาแทน บนพื้นดินมีเศษซากกระเบื้องแตกกระจัดกระจายพร้อมกับเศษซากอาคาร สไปค์ในวัยสิบเจ็ดมองไปยังร่างของราชันย์มารที่เดินผ่านเข้าบานประตูเชื่อมระหว่างมิติไป แววตาของมันไม่ได้เป็นแววตาของคนที่พ่ายแพ้ แต่เป็นแววตาของคนที่รอวันจะกลับมาทำลายล้างทุกสิ่ง และทวงสิ่งที่เป็นของตนเองกลับคืน
บุตรีแห่งข้า...
ในความฝันนั้น สไปค์เอามือกุมศีรษะตน งอเข่าทิ้งตัวลงอย่างสับสน
อีกแล้วหรือ...บุตรีอีกแล้วหรือ...
ภาพของสตรีทั้งสองซ้อนทับเหมือนเป็นคนเดียวกัน ใบหน้าที่หลอมรวมเข้าด้วยกันจนแยกแยะไม่ออกได้สร้างความสับสนให้กับสไปค์จนไม่อาจทานทนไหว สิ่งที่เกิดขึ้นนี้คือความฝัน ใช่ เขารู้ว่ามันคือความฝัน แต่ทำไมเขาถึงยังไม่ตื่น เมื่อไหร่ฝันร้ายนี้จะจบลงเสียที
บทสรุปเรื่องราวของอาเทียร์เมื่อเจ็ดปีก่อน มันลงเอยด้วยการที่เขาลงมือสังหารเธอ แต่แล้วครั้งนี้ล่ะ...เขาจะลงมือสังหารฟลอร์เลนได้หรือ ถ้าหากว่าเธอคือบุตรีแห่งอัชลี่ย์ ซึ่งเป็นผู้มีฐานะเป็นถึงผู้สืบทอดบัลลังก์แห่งราชันย์โดยชอบธรรม?
ทำไม...ข้าจึงต้องเผชิญกับชะตากรรมแบบนี้เป็นครั้งที่สองด้วย?
ทำไมฟ้าต้องกลั่นแกล้งให้ข้าต้องเลือกทางใดทางหนึ่งอีกครั้ง ทั้งที่เรื่องแบบนั้นมันควรจะจบลงไปแล้ว
ทำไม!
เสียงคร่ำครวญในความฝันแม้ไม่ได้ดังออกมาสู่โลกภายนอก แต่ผู้ที่นอนเฝ้าไข้เขาก็ยังรับรู้ได้ถึงความโศกเศร้าที่เขาแบกรับอยู่ สีหน้าของสไปค์ที่นอนอยู่บนเตียงนั้นเต็มไปด้วยเหงื่อที่ซึมผ่านผิวออกมา ลมเย็นจากแอร์ดูจะไม่ช่วยให้ร่างกายเขาเย็นขึ้นมาบ้างเลย
เปลือกตาของสไปค์ค่อย ๆ เปิดออกอย่างเชื่องช้า สีหน้าของเขาดูไม่ค่อยดีจนน่าเป็นห่วง แม้จะตื่นจากฝันร้ายอันยาวนานมาแล้วแต่ก็ไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเลยเมื่อต้องมารับรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในฝัน ก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกจริงนี้เช่นกัน
หนึ่งเดือนให้หลังจากเหตุการณ์ทัพมารบุก ทางจักรวรรดิได้ให้ความช่วยเหลือในเรื่องของการบูรณะและต่อเติมอะไรอีกหลายอย่างเพื่อให้สถาบันกลับมาอยู่ในสภาพที่ดีดังเดิม เพราะถึงแม้ว่าฉากของเหตุการณ์จะอยู่ห่างจากตัวสถาบันไม่ต่ำกว่าห้ากิโล แต่ก็มีมารอีกหลายตัวที่มุ่งตรงไปยังสถาบันเพื่อหวังจะทำลายให้สิ้นซากอยู่
สไปค์แม้ไม่ได้ไร้สติจนถึงขั้นกลายเป็นเจ้าชายนิทราก็จริง แต่เขาก็ใช้เวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้นอนซมอยู่บนเตียงทั้งที่ยังมีสติอยู่ครบถ้วน อาการบาดเจ็บถูกรักษาหายไปหมดแล้ว มีเพียงเรื่องบางเรื่องที่ติดตรึงฝังใจจนกลายเป็นเหมือนรอยแผลเป็นที่ไม่มีวันหาย มันหนักหนาจนถึงขั้นที่เขาไม่อาจรวมสมาธิเพื่อเรียกปราณไร้ลักษณ์ออกมาได้เลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม...ในวันรุ่งขึ้นนี้เขาจะต้องลุกขึ้นมาจากเตียงอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะจะมีการจัดพิธีมอบตำแหน่งเจ้าตำหนักอัคคีคนใหม่แล้ว ซึ่งในการลงมติร่วมกันระหว่างเจ้าตำหนักทั้งสามคนที่เหลือนั้น พวกเขาช่วยไขกระจ่างเรื่องราวของความเข้าใจผิดเกี่ยวกับตัวตนของสไปค์ที่มีต่อเหล่านักเรียนในสถาบันจนกระแสเกี่ยวกับสไปค์ถูกพลิกไปอีกทาง หลังจากนั้นก็ยื่นรายชื่อสไปค์เข้าเพื่อรับตำแหน่งเจ้าตำหนักอัคคีคนใหม่ทันที
แต่ก็ยังมีคนกลุ่มหนึ่งมองว่าผู้ที่สมควรได้รับตำแหน่งนี้ต้องเป็นฟาร์ชูลันที่อดทนสู้ฟันฝ่ามาตลอดตั้งแต่รอบแรก การตัดสินจึงไม่ใช่การชุบมือเปิบไปโดยคนที่เข้ามาแทรกทีหลัง บางคนเสนอให้สไปค์กับฟาร์ชูลันต่อสู้กันเองเพื่อค้นหาผู้ชนะที่เหมาะสมที่สุด แต่แน่นอนว่าไม่มีทางที่สไปค์กับฟาร์ชูลันจะยอมสู้กันเองเพียงเพราะลมปากของคนไม่กี่คนหรอก
ฟาร์ชูลันยื่นคำปฏิเสธไม่ขอเป็นเจ้าตำหนักอัคคี ดังนั้นตำแหน่งที่ว่างเว้นอยู่นี้จึงตกเป็นของสไปค์ไปโดยปริยาย
“ไม่ดีใจหน่อยเหรอ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เห็นบอกว่าอยากจะเป็นเจ้าตำหนักซะขนาดนั้น” คนพูดขึ้นมาคือซิลเวอร์ที่ในตอนนี้ยืนกอดอกพิงผนังห้องอยู่
สไปค์ยังคงนิ่งเงียบ ในใจก็นึกถึงช่วงเวลาเมื่อเดือนก่อน ในตอนที่ยังไม่เกิดเรื่องเกิดราวอะไร ตอนนั้นเขามีปณิธานแรงกล้าในการที่จะเป็นเจ้าตำหนักให้ได้ เขาต้องไปหาทางท้าสู้กับเจ้าตำหนักแล้วก็ล้มเหลว สุดท้ายก็มีชะตาที่ต้องพบว่าเจ้าตำหนักอัคคีคนปัจจุบันก็คือมารที่ปลอมแปลงแฝงตัวมา เขาถูกใส่ร้ายจนต้องระเห็จเร่ร่อนหนีไปจากสถาบัน สุดท้ายได้รับการฝึกฝนจากยอดฝีมือและได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง
เพื่อมาพบกับความจริงที่แสนเจ็บปวด...เมื่อฟลอร์เลนแท้จริงแล้วคือบุตรีแห่งอัชลี่ย์ผู้เป็นราชันย์มาร...
หลังจากศึกเมื่อเดือนก่อนจบลง เขาตรงเข้าไปคุยกับเธอเป็นการส่วนตัว แต่กลับถูกเธอบอกปัดอย่างไร้เยื่อใยก่อนจะเดินจากไปโดยไม่คิดจะเหลียวหันกลับมาอีกเลย หลังจากนั้นเป็นต้นมาไม่ว่าจะพยายามขอเข้าพบเธอยังไง เขาก็ไม่ได้รับการอนุมัติ
ทำไมไม่ยอมอธิบาย ทำไมต้องหนี!
นี่จึงเป็นสิ่งที่ชายหนุ่มรู้สึกขุ่นเคืองใจจนไม่อาจข่มตาลงนอนได้ สภาพร่างกายของเขาเริ่มทรุดโทรมอย่างน่าใจหาย ท้ายที่สุดแม้ภายนอกจะไม่มีอาการบาดเจ็บ แต่ก็ต้องถูกนำตัวส่งศูนย์แพทย์เพื่อพักรักษาตัวทันที
บาดแผลทางใจส่งผลกับสไปค์อย่างหนักจนหลายคนไม่อาจทนดูไหว หนึ่งในนั้นก็คือฟาร์ชูลัน แม้เธอจะมาเฝ้าเขาที่นี่ทุกวัน แต่ก็ต้องพบว่าอีกฝ่ายไม่มีท่าทีอยากจะพูดอะไรออกมาเลยสักคำเดียว กระทั่งแววตาที่มองเหม่อออกไปนอกหน้าต่างห้องพักยังเต็มไปด้วยความขุ่นมัว ราวกับว่านี่คือร่างของคนตายทั้งที่ยังหายใจอยู่
“เลิกทำบ้า ๆ ได้แล้ว”
สุดท้ายก็ทนข่มกลั้นอารมณ์ไว้ไม่ได้อีก ฟาร์ชูลันเริ่มมีโทสะขึ้นมาบ้าง เธอตรงเข้าไปกระชากคอเสื้อของสไปค์ขึ้น ซิลเวอร์แทบจะเข้ามาห้ามปรามไว้ไม่ทัน สีหน้าของฟาร์ชูลันตอนนี้แม้เต็มไปด้วยความโกรธ แต่ก็ยังแฝงอารมณ์เศร้าอยู่ไม่น้อย นั่นจึงทำให้ซิลเวอร์ตัดสินใจยืนดูอยู่นิ่ง ๆ
“พรุ่งนี้นายจะต้องรับตำแหน่งเจ้าตำหนักอัคคีคนใหม่แล้ว! ถ้ายังออกไปรับตำแหน่งทั้งที่มีสภาพแบบนี้ล่ะก็ ไม่มีใครเขาอยากจะยอมรับนายนักหรอก!”
“......”
“พูดอะไรบ้างสิ! เป็นคนใบ้หรือไง?”
ชายหนุ่มนิ่งเงียบไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยคำพูดที่เต็มไปด้วยลมออกมา เสียงของเขาฟังดูแปลกไปมาก อาจเป็นเพราะไม่ได้พูดนานจึงเป็นแบบนี้
“ข้า...”
ถ้าหากเป็นเจ้าตำหนักอัคคี ก็คงต้องเจอกับเธอบ่อยขึ้น
“...ไม่อยากเป็น”
ความในใจของสไปค์แสดงออกมาผ่านคำพูดที่ไร้ซึ่งความหนักแน่น นั่นยิ่งทำให้ฟาร์ชูลันโมโหมากขึ้นไปอีก
“ก่อนหน้านี้อยากเป็นแทบตาย พอจะได้เป็นกลับคิดจะละทิ้งไป” เธอกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูดโปนออกมา “ฉันทนไม่ไหวแล้วนะ!”
แต่ขณะที่ฟาร์ชูลันจะทำอะไรเกินเลยกับสไปค์อยู่นั้น เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น ซิลเวอร์หันหน้าไปมองคนที่เดินเข้ามาในห้องก่อนจะทำตาโตเหมือนไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง เขาแทบจะทิ้งตัวลงนั่งคุกเข่าไม่ทันเมื่อต้องพบว่าผู้ที่มาเยือนก็คือจักรพรรดิซีลู่หนิง ซึ่งเดินมาพร้อมกับราชองครักษ์อีกสองคน
“พูดได้ดี” หนุ่มน้อยหน้าหยกกล่าวขึ้นมาหลังจากที่ได้ยินเสียงคำตอบของสไปค์เมื่อสักครู่ “เจ้าจะได้เป็นเจ้าตำหนักอัคคีแน่แท้อยู่แล้ว แต่รู้อะไรไหม...แม้ฟาร์เชนจะกลายเป็นมารในสายตาของคนอื่น ๆ ไปแล้ว แต่สิ่งที่เธอสร้างไว้ก็ยังไม่ดับสูญไปง่าย ๆ เพียงเพราะเจ้ามาแทนที่หรอกนะ”
เสียงพูดของซีลู่หนิงทำให้ฟาร์ชูลันรู้สึกตัว เธอถอยห่างออกจากบริเวณขอบเตียงทันทีเพราะไม่ต้องการแสดงอารมณ์ด้านนี้ให้ใครอื่นเห็น ทางด้านซีลู่หนิงเมื่อเห็นฟาร์ชูลันถอยห่างออกไปก็เดินตรงเข้ามาใกล้เตียงที่สไปค์นอนอยู่ทันที
“ท่านอยากจะบอกอะไร” สไปค์ถามกลับด้วยสีหน้าและแววตาที่ไม่เปลี่ยนไปจากเดิมเท่าไรนัก อย่างไรก็ตามลักษณะการใช้คำพูดของเขาที่ดูไม่ให้ความเคารพยำเกรงต่อบุคคลที่เป็นถึงจักรพรรดินี้ ทำให้ราชองครักษ์ทั้งสองรู้สึกไม่ชอบใจเป็นอย่างมาก แต่ซีลู่หนิงกลับไม่ถือสาหาความอะไร
“จะทำให้คนเคารพได้ จำเป็นต้องเริ่มต้นจากศูนย์ ไม่ใช่ช่วงชิงเพื่อได้มา” ซีลู่หนิงกล่าวกลับไป “เจ้ายังไม่ได้เริ่มจากศูนย์เพื่อพิชิตใจคน แต่กลับถูกเรียกหมายให้รับมอบตำแหน่งเสียแล้ว แล้วทีนี้จะทำยังไงกันดีล่ะ?”
“......”
“เดี๋ยวข้าจะช่วยเอง” ซีลู่หนิงแสยะยิ้มที่มุมปากพลางกล่าวต่อ “ข้าจะมอบภารกิจให้กับเจ้า มันจะเป็นภารกิจที่ทำให้บรรดานักเรียนในสถาบันต่างก็ต้องยอมรับในตัวเจ้า เพราะถ้าเจ้าได้มันมาโดยที่ไม่ได้ผ่านการคัดเลือกในตำแหน่งแชมป์จากงานประลองล่ะก็ มันคงจะดูไม่ดีนัก” องค์จักรพรรดิหนุ่มหันหน้าไปมองทางฟาร์ชูลันแว้บหนึ่ง
“ผู้คนส่วนมากดูจะอยากให้แม่มดผู้นี้รับตำแหน่งเจ้าตำหนักอัคคีมากกว่าเจ้าเสียอีก”
“งั้นก็ให้มันเป็นไปตามนั้น เพราะตอนนี้ข้าไม่อยากเป็นอะไรแล้วทั้งสิ้น” เหมือนมีเสียงฟาร์ชูลันแทรกเข้ามาว่าฉันก็ไม่อยากเป็นย่ะ! แต่ทั้งสองคนดูจะไม่สนใจเสียงนั้น
“ไม่หรอก เจ้าจะต้องอยากเป็นแน่” ซีลู่หนิงยื่นหน้าเข้ามาใกล้ในระยะที่แทบจะชนกันอยู่แล้ว สไปค์เผลอดึงหน้าตนกลับไปตามสัญชาตญาณ กลิ่นหอมพิลึกลอยเข้าจมูกจนสติที่สูญเสียไปได้ตื่นขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง
“ข้าสัญญาเลยว่าหากเจ้าทำภารกิจนี้ได้สำเร็จ เจ้าจะได้รับการไขข้อข้องใจในเรื่องที่กำลังสงสัยอยู่นี้แน่นอน”
สไปค์จ้องไปที่ดวงตาของซีลู่หนิงราวกับต้องการจับผิดเรื่องน่าสงสัยนี้
“มันคือภารกิจอะไร” สไปค์ถาม สายตาก็ยังจับจ้องอีกฝ่ายอยู่ไม่วาง
ซีลู่หนิงยิ่งรับรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังระแวงกลับยิ่งทำตัวให้น่าระแวงมากกว่าเดิม เขาในตอนนี้ไม่ได้มีมาดหรือบารมีที่เหมาะสมกับตำแหน่งจักรพรรดิเลย มันเหมือนเด็กที่กำลังเล่นซุกซนเอาความพึงพอใจเข้าว่าเสียมากกว่า
“ในทางเหนือของจักรวรรดิซี ที่นั่นมีถ้ำใหญ่โตอยู่หนึ่งแห่ง เจ้าจะต้องไปที่นั่นเพื่อสืบค้นเบาะแสของเขี้ยวมังกรนิลกาฬ ซึ่งว่ากันว่ามีอิทธิฤทธิ์ในการเพิ่มพูนพลังปราณของผู้ฝึกในระยะเวลาอันสั้นได้” คราวนี้ใบหน้าของจักรพรรดิหนุ่มกลับจริงจังขึ้นมา “จงนำสิ่งนี้กลับมาให้ข้าที่จักรวรรดิ แล้วหลังจากนั้นเจ้าจะได้รับสิ่งที่เจ้าต้องการแน่นอน”
“แต่ข้าต้องขึ้นรับตำแหน่งเจ้าตำหนักในวันพรุ่งนี้แล้ว?”
“เรื่องนั้นข้าจะจัดการเอง เจ้าคิดว่าข้าคือใครกัน?” พูดพลางยืดอกออกมา แต่ด้วยลักษณะท่าทีที่ดูเหมือนกับเด็กนั้น ทำให้รู้สึกไปว่าการวางมาดเมื่อสักครู่ช่างชวนให้ตลกอย่างบอกไม่ถูก
สไปค์กำลังใช้ความคิดอยู่เงียบ ๆ
หากทำสำเร็จ ผู้คนจะยอมรับในตัวเขา? เรื่องนี้เขาไม่สนหรอก
ที่เขาสนคือเรื่องที่เกี่ยวกับฟลอร์เลนต่างหาก
“ก็ได้ หวังว่าองค์จักรพรรดิจะไม่ตระบัดสัตย์”
คำตอบของสไปค์สร้างความพึงพอใจแก่ซีลู่หนิงเป็นอย่างมาก จักรพรรดิหนุ่มขานรับคำตอบนั้นด้วยนิ้วก้อยที่ยื่นเข้าไปเกี่ยวนิ้วก้อยของอีกฝ่ายไว้อย่างแน่นหนา ซีลู่หนิงยื่นริมฝีปากเข้าไปที่ใบหูของสไปค์ก่อนจะเอ่ยคำพูดบางอย่างที่มีเพียงเขาเท่านั้นที่ได้ยิน และเมื่อเสร็จสิ้นเรื่องราวพร้อมกับได้คำตอบที่พึงพอใจแล้วก็เดินออกไปจากห้องทันทีโดยให้เหตุผลว่าจะรีบไปดำเนินการเรื่องขอเลื่อนพิธีรับตำแหน่งให้
บรรยากาศในห้องกลับคืนสู่สภาวะเดิมอีกครั้ง แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือแววตาของสไปค์ที่ในตอนนี้เริ่มดีขึ้นมามาก
“แค่คำพูดไม่กี่คำถึงกับทำให้กลับมาเป็นคนปกติได้ นี่องค์จักรพรรดิใช้เวทมนตร์อะไรเสกใส่เจ้ากันนะ” แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่ได้ทำให้ซิลเวอร์สงสัยอยู่คนเดียว
“ไม่มีเวทมนตร์แขนงไหนทำแบบนั้นได้หรอก เพราะถ้ามีอยู่จริงฉันก็คงจะร่ายมันใส่เจ้าบ้านี่ไปตั้งนานแล้วล่ะ” ฟาร์ชูลันกล่าวด้วยน้ำเสียงเอือมระอา
เสียงบ่นของเพื่อนทั้งสองไม่ได้แทรกเข้าไปในหูของสไปค์ได้เลย เขาทำทีเหมือนคนไม่สนใจฟังก่อนจะลุกออกจากเตียงนอน ดวงตาดูมีประกายขึ้นมาบ้างแล้ว ชายหนุ่มเริ่มยืดเหยียดกล้ามเนื้อที่พักหลังมานี้ถูกปล่อยปละละเลยมามากพอดู พอเสร็จแล้วก็หันไปทางเพื่อนทั้งสองคนที่ดูเหมือนจะรอฟังคำพูดอะไรสักอย่างอยู่
“เอาล่ะ เดินทางสู่ถ้ำทางเหนือกันเถอะ!”