บทที่ 13 พลังของม่วง (1)
บทที่ 13 พลังของม่วง (1)
ม่วงที่อยู่ข้างๆ รู้สึกสับสนในใจ ฉินซางไม่ไว้ใจให้อินจู๋เดินทางคนเดียวจริงๆ ด้วย ไม่รอให้อินจู๋เอ่ยปาก เขาก็ชิงพูดขึ้นก่อนแล้วว่า “ข้าว่าไม่จำเป็นหรอก มีข้ากับอินจู๋อยู่ด้วยกันก็พอแล้ว พวกเราไปกัน” คราวนี้ถึงตาเขาดึงอินจู๋บ้าง เดินออกจากสมาคมเวทมนตร์โดยที่แม้แต่หน้าก็ไม่หันกลับมามอง
ดิยาร์ราอยากจะรั้งเอาไว้ แต่ตอนที่เขาเห็นแววเย็นเยือกฉายวาบในดวงตาของม่วง คำพูดที่จ่ออยู่ตรงปากก็เก็บกลับไปโดยไม่รู้ตัว พอหันไปมองศพหกร่างที่ยืนอยู่ก็ทำหน้าเบ้พลางกล่าวว่า “ทำยังไงดี? ข้าจะทำยังไงดี? ราชทูตแห่งเบอร์บอนตายอยู่ที่นี่กันหมด...”
เปียโรเดินมาอยู่ข้างกายดิยาร์ราแล้วกระซิบเอ่ยว่า “ท่านรองนายกสมาคม คงจะไม่มีใครเห็นพวกเขามาที่นี่หรอก ต่อให้มีคนเห็นพวกเขาก็คงไม่ยอมรับ! ท่านรีบจัดการจะดีที่สุด แล้วค่อยรายงานท่านนายกสมาคม ให้ท่านตัดสินใจเถอะ”
ดิยาร์รากล่าวอย่างลังเลว่า “เจ้าหมายถึงเผาทำลายหลักฐาน”
เปียโรชำเลืองมองศพของพวกลูเฟเต้อย่างรังเกียจ ก่อนกล่าวอย่างเกลียดชังว่า “พวกเขาสมควรตายตั้งนานแล้ว แค่คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าลูกศิษย์ของท่านนายกสมาคมจะแข็งแกร่งอย่างนี้ เหมือนว่าเขาจะมีความสามารถระดับแดงเท่านั้นเอง! ช่างเหนือความคาดหมายเหลือเกิน”
ถึงอย่างไรดิยาร์ราก็ฝึกฝนเวทมนตร์มาหลายปี ตอนนี้จึงค่อยๆ สงบจิตสงบใจลงได้ “เอาล่ะ เรื่องในวันนี้พวกเจ้าอย่าแพร่งพรายไป โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับเด็กคนเมื่อกี้ ลืมทุกอย่างที่พวกเจ้าเห็นซะ เอาล่ะ จัดการพวกเขาก่อนแล้วกัน ทำให้สะอาดหน่อยล่ะ”
แววตาเย็นชาฉายวาบในดวงตาของเปียโร “เผาทำลายหลักฐาน นี่คือเรื่องที่นักเวทอัคคีอย่างเราถนัดที่สุด”
อินจู๋ย่อมไม่รู้ว่าตัวเองสร้างความเดือดร้อนให้แก่สมาคมเวทมนตร์มากมายแค่ไหน ระหว่างที่เดินอยู่บนถนนในเมืองลูน่าก็พูดกับม่วงที่อยู่ข้างๆ ว่า “ม่วง เมื่อกี้เราฆ่าคน ข้าทำอย่างนั้นถูกไหม?”
สายตาของม่วงมองไปทางอินจู๋อย่างอ่อนโยน ก่อนพยักหน้าแข็งขันแล้วกล่าวว่า “ถูกแน่นอน เมื่อเผชิญหน้าศัตรูย่อมต้องขุดรากถอนโคน ไม่อย่างนั้นก็มีแต่จะสร้างความเดือดร้อนให้ตัวเองมากขึ้น การทำลายคือวิธีปฏิบัติต่อศัตรูที่ดีที่สุด วันนี้เจ้าทำได้ดีมาก”
ตัวอินจู๋เองก็เป็นเหมือนกระดาษเปล่า พอฟังคำชมของม่วง ความวิตกกังวลเล็กน้อยในใจเมื่อสักครู่ก็หายวับไปทันที จึงยิ้มพลางกล่าวว่า “งั้นก็ดี ต่อไปถ้ามีศัตรู ข้าจะฆ่าพวกมัน แต่ว่า...ม่วง ในเมื่อปู่ฉินบอกให้สมาคมเวทมนตร์หาใครสักคนมาสอนความรู้ทั่วไปในทวีปลองกินุสให้ข้า พวกเราไปทั้งอย่างนี้ไม่ค่อยจะดีหรือเปล่า!”
ม่วงชะงักฝีเท้าก่อนกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “อินจู๋ เจ้าเชื่อใจข้าไหม?”
อินจู๋พยักหน้าอย่างไม่ลังเลแล้วกล่าวว่า “เชื่อใจอยู่แล้ว เจ้าคือเพื่อนสนิทที่สุดของข้า”
ม่วงยิ้มออกมา “ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ก็ให้ข้าสอนทุกอย่างในทวีปลองกินุสให้กับเจ้าแล้วกัน ไป พวกเราไปซื้อของกันก่อน หลังจากนั้นก็น่าจะออกเดินทางได้แล้ว”
พอเห็นรอยยิ้มของม่วง อินจู๋ก็อดอบอุ่นใจขึ้นมาไม่ได้ ก่อนจะเดินตามเขาไปโดยไม่คิดอะไรไปมากกว่านี้ เกรงว่าฉินซางกับเย่หลีคงไม่มีวันคาดคิดถึงว่าอินจู๋จะตามเจ้าคนที่สอนเขาฆ่าคนไปมิลาน ไม่ใช่แบบที่พวกเขาตระเตรียมไว้
ม่วงพาอินจู๋เดินไปถึงหน้าร้านค้าริมถนนแห่งหนึ่งแล้วหยุดฝีเท้าลง “อินจู๋ เจ้ามีเงินติดตัวไหม?”
อินจู๋พยักหน้า แสงสีเงินสว่างวาบบนมือ เหรียญทองกำหนึ่งปรากฏขึ้น “ปู่ให้มา ดูเหมือนว่าจะมีเหรียญทองแบบนี้อยู่หลายร้อยล่ะมั้ง เจ้าเอาไหม?”
ม่วงพยักหน้าก่อนรับเหรียญทองมาจากมือของอินจู๋ แล้วจึงพาเขาเดินเข้าไปในร้านค้านั้น
เสียงกระดิ่งดังต่อเนื่องอยู่ภายในร้าน ชายวัยกลางคนคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างใน ท่าทางซึมเซา พอเห็นม่วงกับอินจู๋เดินเข้ามาจึงค่อยลุกขึ้นยืน “ต้องการอะไรดีล่ะ?”
อินจู๋มองไปรอบๆ อย่างสงสัยใคร่รู้ เห็นแต่เพียงอาวุธและเสื้อเกราะหลากหลายแบบแขวนอยู่บนกำแพง ของเหล่านี้ล้วนเป็นของที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน จึงอดไม่ได้ที่จะซักถามม่วงว่า “ม่วง นี่คืออะไรน่ะ?”
ม่วงกล่าวว่า “ของพวกนี้คือเสื้อเกราะที่นักรบใส่และอาวุธที่พวกเขาใช้”
อินจู๋กล่าวว่า “พวกเราต้องซื้อไหม? ดูไปแล้วใช้ได้เลย เจ้าเอาไหม?”
ม่วงพยักหน้าก่อนกล่าวกับชายวัยกลางคนคนนั้นว่า “ขอดาบใหญ่สองมือให้ข้าเล่มหนึ่ง”
ชายวัยกลางคนกล่าวอย่างเฉื่อยชาว่า “ดาบใหญ่สองมือมีหลายแบบมาก เจ้าอยากได้แบบไหน? พวกเจ้าเลือกมาหาข้าที่นี่น่ะถูกแล้ว อาวุธที่ผลิตที่นี่ล้วนแต่เป็นอาวุธมีชื่อเสียงไปทั่วอาร์คาเดีย”
ม่วงกล่าวอย่างรำคาญเล็กน้อยว่า “หยุดพูดไร้สาระ แบบไหนก็ได้ทั้งนั้น ขอแค่น้ำหนักเยอะก็พอ ยิ่งหนักยิ่งดี”
คำพูดไร้มารยาทของม่วงทำให้ชายวัยกลางคนโกรธเคืองเล็กน้อย เพียงแต่พอเขาเห็นรูปร่างบึกบึนของม่วงก็ไม่กล้าพูดอะไรไปมากกว่านี้ จึงพูดกับตัวเองในใจ เจ้าอยากได้ของหนักๆ ไม่ใช่หรือ? ได้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะให้ของหนักๆ กับเจ้า
“ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าตามข้ามา” ระหว่างที่พูดชายวัยกลางคนก็หันหลังเดินเข้าไปในห้อง
อินจู๋กับม่วงเดินตามเขาไปถึงข้างใน เห็นแต่เพียงชายฉกรรจ์หลายคนกำลังหลอมอาวุธพลางเหงื่อไหลไคลย้อย เดิมทีอาร์คาเดียก็ร้อนพออยู่แล้ว ยืนอยู่ข้างเตาไฟก็ยิ่งร้อนเข้าไปอีก แต่ทว่าอินจู๋กับม่วงไม่รู้สึกอะไรมากนัก ก่อนเดินตามชายวัยกลางคนที่ปาดเหงื่อไม่หยุดตรงเข้าไปด้านในสุด
ชายวัยกลางคนชี้ไปยังมุมหนึ่งแล้วกล่าวว่า “นี่คือดาบใหญ่สองมือที่หนักที่สุดแล้ว ถ้าเจ้ายกได้ก็ขายให้เจ้าไปเลย” ระหว่างที่พูดใบหน้าของเขาก็ฉายแววหยอกล้อ
ตรงมุมนั้นคือสิ่งของสีดำสนิทอย่างหนึ่ง พูดตามตรงว่านั่นเรียกดาบไม่ได้อย่างแน่นอน แต่เหมือนเป็นกระบองเหล็กอันหนึ่งมากกว่า ความยาวประมาณเกือบสองเมตร ส่วนหัวหนาอยู่สักหน่อย ปลายอีกด้านแคบกว่ามาก แต่ถึงจะเป็นด้านแคบก็มีเส้นรอบวงพอๆ กับแขนของชายวัยผู้ใหญ่ ปลายด้านที่หนายิ่งมีขนาดใหญ่เท่าหัวคน ด้านบนเปรอะเปื้อนละอองฝุ่นจำนวนมาก
“นี่คือดาบที่เจ้าพูดถึง?” อินจู๋กล่าวอย่างโกรธเคืองเล็กน้อย แม้จะเป็นครั้งแรกที่เขาออกจากทะเลโพรงมรกต แต่ดาบหน้าตาเป็นอย่างไรเขาก็รู้ดี
ชายวัยกลางคนกล่าวว่า “นี่คือดาบพิเศษ พวกเจ้าอยากได้ดาบหนักไม่ใช่รึ? ที่นี่มันถือว่าหนักที่สุดแล้ว ขอแค่เจ้ายกได้ ข้าจะยกให้พวกเจ้าไปเลย” ระหว่างที่พูด แววตาหยอกเย้าในดวงตาของเขาก็ฉายชัดยิ่งขึ้นกว่าเดิม
สายตาของม่วงสงบนิ่ง แต่อินจู๋กลับรู้สึกได้ลางๆ ว่าตอนนี้ม่วงอารมณ์ไม่ดีอย่างมาก ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ม่วงจับปลายด้านที่แคบของกระบองอันนั้นไว้ ตอนที่เขาเริ่มออกแรงก็อดเปล่งเสียงฮึบออกมาจากปากเบาๆ ไม่ได้ แม้แต่ดวงตาก็เผยให้เห็นแววประหลาดใจเล็กน้อย ตรงมุมปากเผยรอยยิ้มบางๆ แล้วจึงยกกระบองเหล็กที่ยาวประมาณสองเมตรนั้นขึ้นมา “ไม่เลว”
ชายวัยกลางคนเห็นม่วงยกกระบองเหล็กขึ้นมาอย่างสบายๆ ลูกตาก็แทบจะถลนออกมาจากเบ้า ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเขาว่าความหนักของกระบองเหล็กนั้นน่ากลัวแค่ไหน กระบองเหล็กอันนี้เขาได้มาโดยไม่ตั้งใจตอนที่พาลูกน้องไปขุดแร่เหล็ก ความหนักที่วัดได้ หนักกว่าแร่เหล็กระดับเดียวกันเกือบหลายสิบเท่า อย่างน้อยก็เกินห้าร้อยกิโลกรัม หากไม่ใช่เพราะโลภว่ามันอาจจะเป็นโลหะพิเศษอะไรสักอย่าง เขาถึงกับจะไม่เอากระบองเหล็กอันนี้กลับมาด้วย แต่ภายหลังเขากลับผิดหวัง ไม่ว่าไฟจะแรงแค่ไหน แม้กระทั่งเสียเงินมากมายเพื่อเชิญนักเวทอัคคีมา ก็ไม่สามารถนำกระบองอันนี้ไปหลอมซ้ำได้ เวลาผ่านไปเนิ่นนาน จึงโยนทิ้งไว้ในโรงตีเหล็กแห่งนี้ เขาเชื่อไม่ลงจริงๆ ว่าจะมีใครสักคนสามารถยกกระบองเหล็กอันนี้ได้อย่างสบายๆ ในสถานการณ์ที่ไม่ใช้พลังยุทธ์ อีกอย่าง มองไปแล้วคนคนนี้ยังดูเด็กยิ่งนัก
“พวกเราไปเถอะ” ม่วงเอ่ยประโยคสั้นๆ ง่ายๆ ก่อนจะพาอินจู๋เดินออกไปข้างนอก
“รอ...รอเดี๋ยวก่อน” เสียงของชายวัยกลางคนดังมาจากข้างหลัง
ม่วงขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “เจ้านึกอยากเปลี่ยนใจหรือไง?”
……………………………………….