บทที่ 11 วิธีระลึกถึงความรัก
บทที่ 11 วิธีระลึกถึงความรัก
ปลายฤดูใบไม้ผลิต้นสาลี่ที่หวังโหรวฮวาปลูกไว้หน้าประตูบ้าน เริ่มแตกยอดอ่อนขึ้นมาจากผืนดินอย่างเข้มแข็ง จากนั้นกิ่งก้านใบก็งอกงามอย่างต่อเนื่อง
เถี่ยซินหยวนก็รอดพ้นจากชะตากรรมโดนคนบีบหนอนน้อยมาได้ นับตั้งแต่เห็นผู้หญิงพวกนั้นชอบจ้องหว่างขาของตัวเอง เขาก็ตัดสินใจบอกลากางเกงเปิดเป้าโดยเด็ดขาด
ไม่ว่ามือหยาบๆ หรือมือที่เนียนนุ่ม เวลาจับหนอนน้อยของเขาเอาไว้ล้วนออกแรงบีบมหาศาล ราวกับว่าถ้าหากไม่ทำเช่นนี้ คงไม่อาจแสดงความเอ็นดูต่อเด็กน้อยออกมาได้มากพอ!!!
อันที่จริงเรื่องนี้ก็มีเหตุผลอยู่ ในเมืองหลวงมีนักบวชบำเพ็ญตบะรูปหนึ่งเดินทางมาจากดินแดนนอกด่านทางตะวันตก เขาจะยืนอยู่ในย่านที่คึกคักจอแจที่สุดของถนนหม่าสิง แล้วใช้มีดแทงเข้าที่จุดสำคัญบนร่างกายตัวเอง เพื่อแสดงศรัทธาที่เขามีต่อพุทธองค์ จากนั้นเดินวนอยู่ในลานกว้างกลางเมืองหลวงรอบหนึ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม้จะเดินมาแล้วรอบหนึ่งพร้อมเลือดที่ไหลนองไม่หยุด เขาก็ยังมีท่าทางเลื่อมใสศรัทธาไม่เปลี่ยน ปากท่องบทสวดบูชา มือก็ทำท่าลัญจกร[1] ใบหน้าแต้มด้วยรอยยิ้มจางๆ เล่าขานกันว่ายามพุทธองค์แสดงพระธรรมก็มีรอยยิ้มเช่นนี้
นักบวชผู้นี้เดินไปตามถนนผ่านมาทางประตูซีสุ่ย เขาเข้ามาขอน้ำแกงเปรี้ยวหวานในร้านเล็กๆ ของหวังโหรวฮวาดื่มแก้กระหาย ก่อนเดินออกจากร้านก็ชี้มาทางเถี่ยซินหยวน พร้อมกับหัวเราะแล้วกล่าวว่าเด็กคนนี้เป็นเด็กมีวาสนา
เมื่อพวกผู้หญิงที่อาศัยอยู่ละแวกใกล้เคียงมาแสดงความยินดีกับหวังโหรวฮวา นางก็มีสีหน้าเรียบเฉยและเอ่ยเพียงว่า ขอแค่ลูกชายข้าเป็นคนเอาการเอางาน นักบวชนั่นจะกล่าวว่าอะไรล้วนเป็นคำพูดไร้สาระ
ตลอดทั้งวันหวังโหรวฮวาจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ยกอาหารให้ลูกค้าผิดหลายต่อหลายครั้ง เคราะห์ดีที่เป็นลูกค้าขาประจำ ทุกคนต่างไม่ถือสาอะไร พวกเขาหัวเราะและเอ่ยปากด่าคำสองคำก็จบเรื่องไป
มีเพียงเถี่ยซินหยวนที่รู้ดี หลังจากมารดากลับมาถึงบ้าน แม้กระทั่งเหรียญทองแดงที่นางชื่นชอบนักหนาก็ยังไม่ยอมนับ ได้แต่อุ้มเขาเอาไว้แล้วนั่งนิ่งอยู่ริมหน้าต่างบานเล็กๆ อยู่เนิ่นนาน
เจ้าจิ้งจอกน้อยไม่เข้าวังหลวงอย่างหาได้ยากยิ่ง วันนี้มันนอนหลับเป็นเพื่อนพวกเขาสองแม่ลูกบนเตียง
เสียงอึกทึกครึกโครมในช่วงฤดูใบไม้ผลิดังลอดเข้ามาทางหน้าต่างเป็นระยะ เถี่ยซินหยวนรู้สึกว่าห้องในบ้านของเขาเหมือนอยู่ในช่วงเดือนสิบสองของปีก็ไม่ปาน
นับว่าโชคดีที่มารดาของเขากลับมาเป็นเหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว นางดึงกล่องใส่เงินออกมาแล้วตั้งหน้าตั้งตานับ เถี่ยซินหยวนถึงได้โล่งใจขึ้นมาเสียที เขาไม่ชอบท่าทางของนางในเวลานั้นจริงๆ ไม่ชอบเลยสักนิดเดียว
ช่วงเวลาที่ต้องเคี่ยวเนื้อหมูของทุกวันมาถึงแล้ว มารดากำลังนั่งจุดไฟอยู่หน้าเตา ส่วนเจ้าจิ้งจอกก็กระโดดขึ้นไปบนแท่นวางหม้ออย่างเริงร่า มันโยนห่อผ้าเล็กๆ ลงไปในหม้อห่อหนึ่ง จากนั้นวิ่งไปหาเถี่ยซินหยวนเพื่อขอรับความดีความชอบ
หวังโหรวฮวารีบตักห่อผ้าขึ้นมาจากหม้อ แล้วสูดจมูกดมกลิ่นอย่างสงสัย หลังจากพบว่าเป็นห่อเครื่องเทศ ก็ส่งสายตาแปลกประหลาดหันมาทางเถี่ยซินหยวนและเจ้าจิ้งจอก
เมื่อนางเห็นว่าบุตรชายทะเลาะต่อยตีกับจิ้งจอกตัวนั้นอย่างดุร้าย ไม่พบความผิดปกติใดๆ ก็กัดฟันครุ่นคิดแล้วนำห่อผ้านั้นใส่ลงไปในหม้อต้มต่อ
วันรุ่งขึ้นหลังจากหวังโหรวฮวาขายอาหารให้ลูกค้าจนหมดแล้ว ก็รีบเก็บร้านพาเถี่ยซินหยวนและเจ้าจิ้งจอกขึ้นรถเทียมวัวที่จ้างมาคันหนึ่ง มุ่งหน้าออกนอกเมืองหลวง
แม้ล่วงเข้าสู่ช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิแล้ว แต่ยังมีผู้คนเดินทางออกมาชมทิวทัศน์เขียวขจีมากมาย รถม้าสำหรับเดินทางไกลหลายคันปักกิ่งอ่อนของต้นหลิวเอาไว้ นี่เป็นคำอวยพรจากใจจริงของญาติสนิทและมิตรสหาย
เถี่ยซินหยวนไม่อยากออกมานอกเขตกำแพงสูงตระหง่านนั่นเลย เขารู้สึกว่าต้าซ่งในเวลานี้จะออกเดินทางไปไหนมาไหนล้วนเต็มไปด้วยอันตรายที่ไม่อาจคาดเดาได้
ยังไม่ต้องกล่าวถึงนางซุนเอ้อร์เหนียง[2]ที่เปิดร้านนึ่งซาลาเปาเนื้อคนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ตรงเนินกากบาท เขาอาจจะเจอเสือลายพาดกลอนตัวใหญ่ดุร้ายที่เขาจิ่งหยางก็ได้ นับว่าไม่มีเรื่องน่ายินดีเป็นมงคลเลยสักเรื่อง
อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าประวัติศาสตร์ในยุคสมัยนี้ การก่อกบฏเป็นดั่งอาหารสามัญประจำบ้าน
เนื้อหนังนุ่มนิ่มอย่างเขาไม่ว่าจะเอามานึ่งสดๆ หรือว่าตุ๋นน้ำแดง คิดว่ารสชาติคงอร่อยพอดูเชียว
สัมภาระที่รถเทียมวัวบรรทุกมีมากมายทั้งห่อใหญ่ห่อเล็ก โดยส่วนใหญ่จะเป็นเสบียงอาหารและผ้าหลายพับ ดูท่ามารดาคงอยากกลับไปสำรวจสภาพหมู่บ้านตระกูลเถี่ย ลองดูว่าบ้านของตัวเองยังอยู่หรือไม่
หลังเดินทางออกจากเมืองหลวงมาได้ไม่นาน แม่น้ำสายใหญ่ก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า กระแสน้ำขึ้นในแม่น้ำช่วงฤดูใบไม้ผลิยังไม่ทันไหลผ่านไป สายน้ำจึงส่งเสียงคำรามดังก้องและพุ่งทะยานไปไกลนับพันลี้
“เปลี่ยนเส้นทางสิ!” หวังโหรวฮวากระซิบก่อนจะถอนหายใจแผ่วเบา
ชายชราผมหงอกขาวที่ขับรถเทียมวัวอยู่เอ่ยต่อว่า “แม่หนู เจ้าคงทราบดี ปีกลายเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ เขื่อนกั้นแม่น้ำพังทลาย หัวหน้าคนเดินเรือแห่งแม่น้ำฮวงโหที่เก่งกาจที่สุดอย่างหยวนหลี่อวี๋ไม่อาจอุดรอยแตกได้ เขาโดนคลื่นซัดจมหายไปกับกระแสน้ำ ดังนั้นทางการจึงปล่อยให้แม่น้ำสายนี้เสาะหาทางไปของมันเอง ในที่สุดแม่น้ำก็เปลี่ยนทิศทางมาที่นี่อย่างไรเล่า”
“ท่านผู้เฒ่า รู้จักหมู่บ้านตระกูลเถี่ยที่เมื่อก่อนอยู่ริมแม่น้ำหรือไม่?”
ชายชราส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “เวลานี้แม่น้ำก็ไหลผ่านแถบหมู่บ้านตระกูลเถี่ยไปนั่นแหละ หมู่บ้านที่เจ้าตามหาเกรงว่าคงอยู่ก้นแม่น้ำไปแล้ว”
หวังโหรวฮวาส่ายหน้าแล้วตอบว่า “คราวนั้นเมื่อกระแสน้ำไหลบ่ามา ข้าก็รู้อยู่แล้วว่าคงรักษาหมู่บ้านตระกูลเถี่ยเอาไว้ไม่ได้ ในเมื่อท่านผู้เฒ่าก็เป็นคนของตระกูลหลิวที่อยู่ริมน้ำ ท่านคงรู้แน่ว่าคนในหมู่บ้านนั้นไปอยู่ที่ไหนกันหมด?”
ชายชราส่ายหน้าก่อนจะตอบว่า “เรื่องนี้ต้องถามทางการถึงจะได้ ตามหลักแล้วผู้ประสบภัยเช่นคนในหมู่บ้านตระกูลเถี่ย อาจถูกจัดสรรเข้าใช้แรงงานในกองทหารสำรองก็เป็นได้
แต่ว่าตาเฒ่าอย่างข้ารับจ้างขับรถเทียมวัวหาเลี้ยงตัวเองอยู่แถวนี้ ยังไม่เคยเจอคนของหมู่บ้านตระกูลเถี่ยมาก่อนเลย พวกเจ้าสองแม่ลูกนับว่าเป็นกลุ่มแรก”
น้ำเสียงของหวังโหรวฮวาสั่นเครือเล็กน้อย นางเอ่ยขึ้นแผ่วเบาว่า “ถ้าอย่างนั้นขอให้ท่านผู้เฒ่าพาพวกเราแม่ลูกไปจุดที่ใกล้หมู่บ้านมากที่สุด ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็ต้องทำพิธีเซ่นไหว้สักหน่อย”
ชายชราถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนจะพยักหน้า เขาส่งเสียงร้องคำหนึ่งแล้วบังคับรถเทียมวัวมุ่งหน้าไปทางต้นน้ำของแม่น้ำฮวงโห
เถี่ยซินหยวนประเมินสภาพแม่น้ำสายนี้อย่างละเอียด เขาอดนับถือความสามารถของหน่วยงานทางการไม่ได้ ช่วงเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งปีพวกเขาสามารถเรียกระดมแรงงานมาสร้างเขื่อนกั้นเส้นทางน้ำสายนี้ได้อีกครั้ง แม้ว่าต้นหลิวที่เพิ่งแบกขึ้นไปจะแตกยอดอ่อนออกมาประปรายเท่านั้น แต่คาดการณ์ได้เลยว่าไม่กี่ปีหลังจากนี้ ริมตลิ่งที่เคยพังทลายก็จะมีต้นหลิวสีเขียวขจีงดงาม
ทิวทัศน์ต้นหลิวสีเขียวพลิ้วปลิวไสวอันโด่งดังของเมืองหลวงจะปรากฏให้ผู้คนได้ชื่นชมอีกครั้ง
เมื่อรถเทียมวัวแล่นมาไกลประมาณสิบกว่าลี้ก็หยุดลง
หวังโหรวฮวาชี้ไปที่เนินทรายกลางแม่น้ำแล้วเอ่ยว่า “ต้นหลิวเก่าแก่ต้นนั้นยังไม่ตายรึนี่?”
ชายชราลูบหนวดเคราของตัวเองแล้วกล่าวว่า “ข้าจำได้ว่าต้นไม้นั่นคงเป็นต้นที่ขึ้นอยู่ข้างศาลบรรพชนหมู่บ้านตระกูลเถี่ยใช่หรือไม่?”
ใบหน้าของหวังโหรวฮวาพลันเป็นสีแดงระเรื่อ นางเอ่ยปากคล้ายพึมพำกับตัวเองว่า “ใช่แล้ว ปีนั้นข้ากับพ่อของเด็กคนนี้คารวะบรรพชนที่ใต้ต้นหลิวนั่น จากนั้นจึงแต่งงานกัน”
ชายชรานิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “แม่หนูเชิญเจ้าตามสบายเถิด ข้าจะพาวัวไปกินน้ำทางนั้นก่อน ถ้าเจ้าจะกลับก็ตะโกนบอกข้าสักคำก็แล้วกัน แต่ว่าเวลาก็สายคล้อยมามากแล้ว ถ้ากลับไปช้านักประตูเมืองปิดเสียก่อนแน่ พวกเจ้าแม่ลูกจะพักอยู่นอกกำแพงเมืองคงไม่เหมาะเท่าใด”
ชายขับรถเทียมวัวเดินห่างไปไกลแล้ว หวังโหรวฮวาจึงอุ้มเถี่ยซินหยวนลงมาจากรถ เร่งก้าวเดินมาข้างหน้าสองก้าว จากนั้นคุกเข่าลงกับพื้นดินทรายเผชิญหน้ากับฮวงโหที่กระแสน้ำไหลไม่หยุดนิ่ง ก่อนจะตะโกนออกมาจนสุดเสียงว่า “พี่ชี!!!...”
แม่น้ำฮวงโหยังคงเกรี้ยวกราดเหมือนเช่นเคย สายน้ำขุ่นมัวไหลไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและรุนแรง กลบฝังเสียงตะโกนของหวังโหรวฮวาลงใต้คลื่นลูกใหญ่อย่างไร้ความปรานี
เถี่ยซินหยวนนั่งยองๆ อยู่ด้านข้าง เฝ้ามองมารดายกขนมและผลไม้เซ่นไหว้มากมายลงมาจากรถเทียมวัว สุดท้ายนางยังยกทังปิ่งสองชามออกมาจากกล่องใส่อาหารใบหนึ่ง แล้วมอบให้ผู้จากไปอย่างเคารพนอบน้อมอยู่ริมแม่น้ำ ปากเอ่ยวาจาพึมพำด้วยเสียงสั่นเครือที่เถี่ยซินหยวนฟังไม่รู้เรื่องเลยสักนิด
เมื่อมารดาโขกศีรษะ เถี่ยซินหยวนก็โขกศีรษะตาม มารดาโค้งคำนับ เถี่ยซินหยวนก็โค้งคำนับไปกับนางด้วย หลังจากมารดารอให้เทียนลุกไหม้จนหมดแล้ว จึงชี้ไปทางต้นหลิวสูงใหญ่ที่อยู่กลางแม่น้ำแล้วกล่าวกับเถี่ยซินหยวนว่า “บ้านของเราเคยอยู่ตรงนั้น”
เถี่ยซินหยวนไม่อาจเอ่ยตอบมารดาได้ วันนี้เป็นวันครบรอบหนึ่งปีที่เขามาถึงโลกใบนี้ เป็นวันที่เคยเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่อีกด้วย หรือกล่าวได้ว่ายังเป็นวันครบรอบหนึ่งปีการจากไปของบิดาอีกด้วย
เขาอยากบอกกับมารดาเหลือเกินว่า สามสิบปีไหลสู่ตะวันออก สามสิบปีไหลสู่ตะวันตกก็หมายถึงแม่น้ำสายนี้เอง ผ่านไปอีกสักหลายปี เมื่อใดที่ดินตะกอนในแม่น้ำทับถมจนเส้นทางน้ำเสมอกันแล้ว มันจะเปลี่ยนทิศทางต่อไปอีก ไม่แน่ว่าหมู่บ้านตระกูลเถี่ยอาจปรากฏสู่สายตาผู้คนอีกครั้ง
กระดาษเงินกระดาษทองถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน ขนมและผลไม้เซ่นไหว้ก็ถูกหวังโหรวฮวาโยนลงแม่น้ำฮวงโหไปจนหมด รวมถึงห่อผ้าที่มีเชือกป่านมัดไว้อย่างดี สุดท้ายแม้แต่ข้าวสารสีขาวสะอาดและผงแป้ง นางก็โยนลงแม่น้ำฮวงโหไปด้วย ท่าทางของนางแลดูดุร้ายยิ่ง
จากนั้นนางก็หันกลับมาอุ้มเถี่ยซินหยวนไปนั่งที่รถเทียมวัวแล้วกลับไปที่ริมน้ำอีกครั้ง ไม่รู้ว่านางบอกกล่าวอะไรกับแม่น้ำสายนี้ก่อนจะเดินกลับมา
เจ้าจิ้งจอกน้อยสูดจมูกฟุดฟิดดมกลิ่นไปทั่ว สุดท้ายมันยื่นจมูกไปดมแขนหวังโหรวฮวา เถี่ยซินหยวนถึงได้รู้ว่าแขนของมารดามีเลือดไหลซึมออกมา...
ชายชราไม่ได้เดินห่างออกไปไกลเท่าไร เมื่อเห็นหวังโหรวฮวาเดินกลับมาที่รถ เขาก็จูงวัวสีน้ำตาลกลับขึ้นมาจากด้านล่างของตลิ่งน้ำ ขณะที่นำวัวผูกเข้ากับคานรถก็พบว่าแขนของหวังโหรวฮวากำลังมีเลือดไหล
เขาดูลังเลเล็กน้อยก่อนเอ่ยว่า “แม่หนู จำเป็นด้วยหรือที่เจ้าต้องเอ่ยคำสาบานร้ายแรงแบบนี้ คนที่จากไปก็จากไปหมดแล้ว เจ้ายังสาวอยู่มากนัก”
หวังโหรวฮวาเอ่ยยิ้มๆ ว่า “นี่เป็นวิธีเดียวที่ข้าจะตอบแทนบุญคุณของสามีได้”
ชายชราถึงกับคารวะหวังโหรวฮวาอย่างนอบน้อม หวังโหรวฮวาก็รับการคารวะนั้นอย่างเปิดเผย เถี่ยซินหยวนกลับรู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะสมเท่าใด จนกระทั่งเห็นใบหน้าของมารดาทอประกายบริสุทธิ์ผุดผ่องดั่งเทพศักดิ์สิทธิ์ จึงได้แต่นั่งรถเทียมวัวกลับเมืองหลวงไปด้วยความสับสน
เมื่อหัวหน้าชุมชนนำเจ้าหน้าที่ทางการมาถึงประตูบ้าน เถี่ยซินหยวนถึงได้เข้าใจว่ามารดาของตนต้องการทำสิ่งใดกันแน่ นางต้องการ...ครองตนเป็นหม้าย[3]ไม่คิดแต่งงานใหม่ชั่วชีวิตเพื่อเถี่ยอาชี
หลังจากเจ้าหน้าที่ทางการตรวจพิสูจน์บาดแผลน่าสยดสยองบนแขนมารดาแล้ว ก็นำป้ายแบนเรียบสีดำเพื่อเชิดชูคุณธรรมแขวนไว้ที่หน้าประตูบ้านบานเล็กๆ ของบ้านตระกูลเถี่ย ป้ายนี้ใหญ่โตเกินประตูบ้านไปมากทีเดียว ราวกับมีก้อนหินหนักอึ้งวางทับอยู่ก็ไม่ปาน
แท้จริงแล้วมารดาอายุยังไม่นับว่ามากมาย เถี่ยซินหยวนคิดว่าอย่างไรนางก็คงอายุไม่เกินยี่สิบห้าปี หญิงสาวอายุเท่านี้ในโลกอนาคตส่วนใหญ่ยังไม่แต่งงานเสียด้วยซ้ำ แต่นับจากนี้ไปมารดาของเขาจะต้องนั่งกอดป้ายนี้แก่ชราอย่างเดียวดายไปชั่วชีวิต
เถี่ยซินหยวนเข้าใจมาโดยตลอดว่าเรื่องราวเช่นนี้คงจะเกิดในสมัยราชวงศ์หมิงและชิง ซึ่งหลักจริยธรรมขงจื๊อแพร่หลายกว้างขวาง เขาคาดไม่ถึงว่าจะมาเกิดในยุคสมัยที่ไม่สงบสุขของต้าซ่งได้
พระราชบิดาของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันรับหญิงที่เคยแต่งงานมาแล้วอย่างหลิวเอ๋อเป็นภรรยา ก็ไม่เคยเห็นว่าจะมีผู้ใดกล้าแสดงความไม่พอใจต่อพฤติกรรมของพระองค์เลยสักนิด ยังไม่ต้องกล่าวถึงว่าหลิวเอ๋อผู้นี้เคยกุมอำนาจในราชสำนักต้าซ่งอย่างแท้จริงนานถึงแปดปี
พอเสร็จเรื่องเจ้าหน้าที่ของทางการก็เดินจากไปทันที ก่อนหน้านี้เมื่อพวกเขาจะเข้าเขตบ้านของแม่ลูกตระกูลเถี่ยก็ต้องรายงานต่อองครักษ์บนกำแพง ส่วนเหนือศีรษะนั้นมีหน้าไม้ขนาดใหญ่ที่พร้อมจะยิงศรออกมาได้ทุกเวลา พวกเขาจึงไม่ยอมรั้งรออยู่บ้านตระกูลเถี่ยนานเกินจำเป็น
เถี่ยซินหยวนที่กำลังสับสนและมึนงงไปหมดรู้สึกเป็นห่วงมารดาอย่างยิ่ง แต่เมื่อนางนอนหลับไปในยามค่ำคืน กลับมีความสงบนิ่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แม้กระทั่งเสียงกรนเบาๆ อย่างเคยก็ไม่มี...
เถี่ยซินหยวนเบิกตาโพลงในห้องที่มืดมิด เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดมารดาต้องเลือกวิธีเช่นนี้เพื่อระลึกถึงความรักของนาง
เพราะเป็นวิธีที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน และมันก็โหดร้ายเกินไปแล้ว...
----------------------------
[1] ท่าลัญจกร(佛印)ลัญจกรเป็นตราท่ามือเชิงสัญลักษณ์ ซึ่งปรากฏมีอยู่ในพระพุทธศาสนามหายานมานานแล้ว และใช้แทนปริศนาธรรม ในแต่ละนิ้ว แต่ละข้อนิ้ว มือซ้ายมือขวา ล้วนมีความหมายเกี่ยวกับเรื่องบารมี-ขันธ์ ฯลฯ ไว้ให้ขบคิด
[2] ซุนเอ้อร์เหนียง (孙二娘)ตัวละครจากเรื่องสุยหู่จ้วน (水浒传)หรือ 108 วีรบุรุษเขาเหลียงซาน นิสัยดุร้ายฆ่าคนได้อย่างเลือดเย็น
[3] ครองตนเป็นหม้าย(守节)สมัยโบราณหากสามีตายผู้หญิงที่ยอมรักษาเนื้อรักษาตัวไว้ไม่มีสามีใหม่ และอยู่ในกรอบเรียกว่าโส่วเจี๋ย