ตอนที่ 29 เสวี่ยหงเยว่และเหอไป๋หลาน
ตอนที่ 29 เสวี่ยหงเยว่และเหอไป๋หลาน
เสวี่ยหงเยว่นั้นได้เห็นหน้าเหอไป๋หลานครั้งแรกในงานศพของบิดามารดา
ได้พบและได้พูดคุยกันเมื่อครบวัยสิบหก ในครั้งที่ได้ไปร่ำเรียนศึกษาการเมืองการปกครองและอยู่คลุกคลีอยู่ด้วยกันเป็นปี
และเมื่อหลังจากเรียนจบก็ยังคงติดต่อกันบ้างทางจดหมายจวบจนปัจจุบัน
นั่นคือบทบาทของเหอไป๋หลานที่เสวี่ยหงเยว่รู้จัก
ทว่า...
ปีอวิ๋นเจวี้ยนที่ 72
ในตอนนี้เสวี่ยหงเยว่มีอายุเพียงแค่สิบหกปี หลังจากผ่านพ้นพิธีบรรลุนิติภาวะมาได้ไม่นานเขาก็ถูกผู้อาวุโสทั้งหลายส่งตัวมาที่สำนักเฉินอันซึ่งเป็นสถานที่ศึกษาความรู้ ความสามารถด้านวิชาการและการปกครองให้กับคุณหนู คุณชายรุ่นเยาว์เพื่อให้เติบโตขึ้นมาเป็นผู้นำสกุลที่ดี
เมื่อเดินทางมาถึงแล้วรั้วสำนักแล้ว เด็กหนุ่มก็ได้ยินถึงกับเสียงวิพากวิจารณ์กันเสียให้สนุกปากจากศิษย์รุ่นพี่เกี่ยวกับหัวข้อของของตนทันที
นั่นเป็นอะไรที่เสวี่ยหงเยว่ทำใจไว้แล้ว ที่นี่ไม่ใช่สำนักของที่บ้าน เฉินอันนั้นรวบรวมลูกคนรวยร้อยพ่อพันแม่ เขาเป็นคุณชายสกุลใหญ่โตติดหนึ่งในสาม ขึ้นเป็นประมุขก่อนวัยอันควร ซ้ำคาร์แรคเตอร์ที่สร้างมาให้คนภายนอกรู้จักก็แสนจะเย็นชาพูดน้อย จะเป็นประเด็นเผือกเผาร้อนฉ่าในวงนินทามันก็ไม่แปลก ปากคนมันห้ามไม่ได้อยู่แล้ว ถือคติทำใจเย็นไม่สนใจเสียงนกเสียงกา ต่างคนต่างอยู่เสีย ชีวิตจะมีความสุขกว่า
ตอนนี้เสวี่ยหงเยว่กำลังยืนอยู่ที่ท่าเรือ ยืนเหม่อลอยรับลมเย็นไปเรื่อยด้วยวามรู้สึกอยากพักผ่อนสมอง เหยียบแผ่นดินเฉินอันมาครึ่งวัน เขารู้สึกเหมือนโดนกันออกจากวงสนทนาจากศิษย์รุ่นพี่ ถามว่าง้อไหม ก็ไม่นะ ดีใจเสียอีกที่ไม่ต้องมานั่งฟังคำอวดร่ำ พร่ำถึงสถานะของสกุลหรือกิจกรรมของลูกคนรวย
ดอกบัวงามสีชมพูนวลพริ้วไหวไปตามสายลม เขาทอดสายตามองบรรยากาศอันเงียบสงบไปเรื่อยเปื่อยด้วยความรู้สึกสบายใจ สำนักเฉินอันนั้นเป็นสำนักสังกัดสกุลซุน จึงทำให้มีอาณาเขตกว้างขวางรายล้อมด้วยธรรมชาติสวย เหมาะสมสำหรับการเรียนรู้ให้กับประมุขรุ่นเยาว์ จึงไม่แปลกหากจะถูกกล่าวขานว่าเป็นสวรรค์แห่งการศึกษา
แต่ถ้าจากในสายตาเขา...มันคือโรงเรียนเอกชนสำหรับลูกคนรวยดีๆ นี้เอง
เสวี่ยหงเยว่เลิกคิ้วเล็กน้อย เมื่อเห็นเรือลำใหญ่มุ่งตรงมายังท่าเรืออยู่ลิบๆ ธงที่กวัดไกวตามสายลม แม้อยู่ไกลจนมองไม่เห็นตราแต่ก็มั่นใจได้ว่านั่นคือธงประจำสกุลใดสักสกุลหนึ่งเป็นแน่ เด็กหนุ่มเข้าใจได้เดี๋ยวนั้นว่าตอนนี้คงมีเด็กจากสักสกุลหนึ่งกำลังเดินทางมาถึง
เมื่อคิดได้ดังนั้น เจ้าตัวเลยผละตัวออกมาจากท่าเรือ รีบหนีในตอนนี้เสียจะดีกว่า การมีลูกคุณหนูคุณชายมาลงท่า ไม่แคล้วจะมีแต่ความวุ่นวาย
เขาเดินกลับมายังห้องพักของตน เสวี่ยหงเยว่ก็นั่งลงกับที่นอน แล้วเริ่มที่จะกลิ้งไป และก็กลิ้งมา ขดตัวซุกผ้าห่ม การที่ได้เดินทางไกลออกจากรั้วบ้านสกุลเสวี่ยและไม่ต้องโดนหลานซิ่นหลิงเทศนาสั่งสอนมันทำให้เขามีความสุขเหลือจะกล่าว
เมื่อนอนกลิ้งพักผ่อนจนพอใจแล้ว เสวี่ยหงเยว่ก็ค่อย ๆ ขยับลุกขึ้นมาจากเตียงนอน ลงไปเปิดหีบสัมภาระเพื่อนำของที่อยู่ด้านในออกมาจัดวาง ในห้องที่เขาพักอาศัยอยู่ในตอนนี้นั้นเป็นห้องเดี่ยวขนาดกว้างขวาง มีเครื่องเรือนเครื่องใช้ที่ดูหรูหราครบครัน อยู่สุขสบายไม่ต่างจากบ้านเดิม
แม้เขาจะไม่มั่นใจนักว่าห้องศิษย์คนอื่นเป็นแบบไหน แต่จากที่เดินผ่านโซนหอนอนมา ก็ดูเหมือนจะไม่มีใครที่ได้ห้องเดี่ยว
เส้นหนาแถมได้สิทธิพิเศษห้องเดี่ยว ถ้าในอนาคตจะโดนศิษย์คนอื่นหมั่นไส้ก็ไม่แปลกใจเลยสักนิด
ได้แต่หัวเราะร่าน้ำตาตกในใจเช่นนั้น ระหว่างจัดห้องไปด้วย สำนักเฉินอันปฏิเสธการให้มีคนรับใช้ติดตาม ทุกสิ่งทุกอย่างศิษย์ที่นี่ต้องทำด้วยตัวเอง ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขา ชาติก่อนเคยเป็นสามัญชนคนธรรมดามาก่อน ทั้งงานบ้าน ทั้งสกิลเอาตัวรอดของเด็กหอ เขามีมาตั้งแต่ตอนเรียนมหาลัย
แต่...พวกคนอื่นนี่น่ะสิ
โคร้ม!
แล้วเขาก็ได้ยินเสียงดังโครมครามจากห้องด้านข้างฝั่งซ้าย ตามด้วยการร้องโอดโอยครวญครางด้วยความเจ็บปวด นั่นก็ทำให้เสวี่ยหงเยว่ถึงกับหัวเราะออกมาเบาๆ
“ยังคิดไม่จบเลย...” เสวี่ยหงเยว่สายหน้า เขาเดินไปที่กำแพง นึกอะไรในหัวเล็กน้อย เคาะพนังสองสามที
“ท่านที่อยู่ห้องด้านข้างเป็นอันใดหรือไม่ กรุณาสงบเสียงหน่อยได้ไหมขอรับ?” ถามด้วยความเป็นห่วงในประโยคแรก ไปพร้อมกับคงคาร์แร็คเตอร์คนหยิ่งกับประโยคหลัง ไม่นานนักเสวี่ยหงเยว่ก็ได้ยินเสียงเคาะกำแพงเบาๆ ตอบลับมาเช่นกัน
“ข้อต้องขออภัยที่รบกวนท่านคุณชาย เผอิญข้ามีปัญหากับการเปิดหีบสัมภาระเล็กน้อย”
คำตอบนั้นทำให้เสวี่ยหงเยว่ถอนหายใจออกมายาวเหยียด ทั้งเหนื่อยใจทั้งรู้สึกเอ็นดูในความทำอะไรไม่ค่อยจะเป็นของพวกลูกคุณหนู
“กรุณาออกไปรับข้าด้วย” เสวี่ยหงเยว่ตอบ เขาเดินออกจากห้องของตัวเองตรงไปยังห้องด้านข้างฝั่งซ้าย เคาะประตูเบาๆ สองถึงสามทีเพื่อเรียกให้เจ้าของห้องเปิดประตู
“รอ รอสักครู่” เจ้าของห้องตอบ แล้วจึงรีบมาเปิดประตูให้เสวี่ยหงเยว่ เขาเป็นเด็กหนุ่มที่มีเส้นผมสีดำสนิทยาวเหยียดตรงกับดวงตาสีทองสว่างสวย ใบหน้าอ่อนเยาว์วัยสิบหกนั้นมีเค้ารางของความหน้าตาดีอย่างเด่นชัด หากโตไปคงเป็นหนุ่มหล่อที่น่าหลงใหล
และเมื่อคุณชายท่านนั้นเห็นหน้าเสวี่ยหงเยว่ เขาก็ชะงักไปพลัน
“คุณชายเสวี่ย?” เขาพึมพำก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่าเสวี่ยหงเยว่นั้นผ่านพิธีแต่งตั้งเป็นประมุขไปแล้ว
“ไม่สิ ประมุขเสวี่ย”
“อา...ใช่ ขอรับ” เสวี่ยหงเยว่ตอบอย่างเสียไม่ได้ เดิมทีก็เข้าใจว่าตัวเองเป็นคนดังในด้านน่าหมั่นไส้ เขาเตรียมใจยอมรับการโดนปฏิเสธหรือโดนทำหน้าเหม็นเบื่อใส่เรียบร้อยแล้ว ทว่ากลับไม่ใช่ คุณชายคนนั้นกลับเชื้อเชิญให้ตนเข้าห้องอย่างเป็นมิตร
และเมื่อเข้าไปในห้อง เสวี่ยหงเยว่ถึงกับปั้นหน้าไม่ถูก ความเละเทะของห้องเดี่ยวสุดหรูนั้นมันมากมายเสียจนเขาไม่รู้จะบรรยายออกมาอย่างไรให้สมกับความรกไร้ระเบียบนี้ดี เด็กหนุ่มค่อย ๆ รวบชายชุด ก้าวเดินอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้เหยียบของที่ตกตามพื้น เขย่งเกร็งจิกปลายเท้า คิดหนักมากว่าจะเดินหลบของรกยังไงให้ท่าสวย
“ต้องขออภัยด้วยขอรับประมุขเสวี่ย ข้าไม่ค่อยถนัดในด้านงานเรือนเท่าใดนัก” คุณชายคนนั้นหัวเราะแห้ง ๆ หลบสายตาไปด้วยความเขินที่ต้องถูกเห็นในมุมน่าอายเช่นนี้ ทว่าเสวี่ยหงเยว่กลับส่ายหน้า เขาค่อยก้มลงหยิบผ้าที่ตกไว้บนพื้นขึ้นมา
“ช่างไร้ระเบียบนัก” เสียงของเขานั้นกดต่ำเป็นเชิงตำหนิ ทว่ากริยาและการกระทำนั้นตรงกันข้าม เสวี่ยหงเยว่พับผ้าอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้วยื่นให้อีกฝ่าย ดวงตาสีแดงหรี่ลง ความรกนั้นทำให้รู้สึกคันไม้คันมือ ปลุกจิตวิญญาณเด็กหอของเขาเหลือจะกล่าว
เห็นแล้วปล่อยไม่ได้...ขัดหูขัดตาเป็นบ้า...
“หากห้องยังรกท่านจะดูแลสกุลได้เช่นไร หลังจากนี้กรุณาดูข้าแล้วโปรดทำตามด้วย”.
กว่าจะช่วยคุณชายผู้นั้นจัดแจงห้องเสร็จและทำให้ห้องอันแสนรกจะกลับมาสะอาดน่านอนได้นั้นก็ใช้เวลาไปหลายชั่วโมงนัก
เสวี่ยหงเยว่ลอบถอนหายใจยาว ลงมือลงแรงจนรู้สึกปวดเมื่อย ต่อให้อายุสิบหกจะเป็นวัยกระเตาะสุดสดใส หนุ่มแน่นเปี่ยมพลังงานสักแค่ไหน แต่สภาพจิตใจเขาก็เป็นคนรุ่นลุงที่ไม่สัมพันธ์กับร่างกายเอาเสียเลย
พอเก็บของจนเรียบร้องแล้ว เขาเพิ่งสังเกตว่าห้องนอนแห่งนี้เป็นห้องนอนขนาดกว้างมาก กว้างและหรูพอ ๆ กับห้องของเขา
คงจะเป็นคุณชายสกุลสำคัญไม่แพ้กับเขา...เสวี่ยหงเยว่คิดเช่นนั้นไปพลาง มองใบหน้าด้านข้างของอีกฝ่ายไปพลาง ยิ่งมองเขาก็ยิ่งรู้สึกคุ้นเคยทว่าเขากลับนึกไม่ออกว่าเคยคน ๆ นี้เจอที่ไหน
“เป็นระเบียบยิ่งนัก หากข้าทำเองคงไม่ได้ถึงเพียงนี้” คุณชายคนนั้นหันมายิ้มให้ เขาหันไปหยิบกล่องใส่ของบางอย่างแล้วเดินมานั่งด้านข้างของเสวี่ยหงเยว่ ซึ่งกล่องใบนั้นเป็นกล่องบรรจุขนมแป้งปั้นอบรูปทรงดอกไม้ดูสวยงามน่าทานยิ่งนัก “ถือเป็นของตอบแทนจากข้า ขนมนี้ท่านแม่ของข้าทำมาให้ก่อนข้าออกเดินทาง ข้ามั่นใจว่าท่านจะต้องถูกปากเป็นแน่”
เมื่อเห็นขนมหน้าตาน่าทานซ้ำยังกลิ่นหอม ๆ ลอยกรุ่น คนหิวที่ยังไม่ได้กินอะไรเลยนับตั้งแต่เที่ยงก็ถึงกับแอบกลืนน้ำลายลงคอ อันที่จริงแล้วนิสัยของเสวี่ยหงเยว่นั้นไม่ควรรับขนมอะไรง่าย ๆ จากคนแปลกหน้า แต่ว่า-- นี่เขาอยู่ในโรงเรียนใช่ไหมล่ะ ในเมื่ออยู่ในโรงเรียนก็ต้องมิตรกับเขาบ้างสิ ความหิวชนะทุกสิ่งขนาดนี้เขาก็ไม่จำเป็นหาข้ออ้างเป็นคนหยิ่ง เขาเลยหยิบขนมชิ้นหนึ่งมาไว้กับมือทันที
“ถ้าท่านกล่าวเช่นนั้น ข้าก็ขอรับไว้...สักชิ้นก็แล้วกันขอรับ” เขาว่า อย่างน้อยก็ยังมีความเกรงใจมากพอที่จะไม่รับมาหมดกล่อง เขาหยิบขนมมาชิ้นหนึ่งมากิน เมื่อลิ้นรับรสเขาก็รู้สึกอยากกออกรีแอคชั่นแบบการ์ตูนทำอาหาร อร่อยมาเสียจนแสงแทบออกปาก
คุณแม่ครับ...อร่อยจนน้ำตาจะไหลเลยครับ
“รสดีใช่ไหมขอรับประมุขเสวี่ย” คุณชายคนนั้นว่าเมื่อเห็นสีหน้าพึงพอใจของเสวี่ยหงเยว่ เมื่อโดนทักเช่นนั้นก็ทำให้คนเคลิ้มกระแอมเสียงเบา ตีหน้าเก็กขรึมพยักหน้า
“มารดาของท่านนั้นมีฝีมือยิ่งนัก” เสวี่ยหงเยว่พยักหน้า ก่อนจะหันไปมองคนที่นั่งด้านข้างตัว “แล้วก็หากเป็นไปได้ อย่าเรียกข้าว่าประมุขเลย ในเวลานี้ ข้ายังไม่ได้ทำงานประมุขอย่างเต็มตัว”
อีกอย่างหนึ่งคือมันจั๊กจี้แปลกๆ ด้วยเวลาโดนเรียก
“เข้าใจแล้วขอรับ...อา...” คุณชายคนนั้นเงียบลงเล็กน้อย แล้วมองสีหน้าของอีกฝ่าย เขาดูลังเลเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง “หากท่านไม่ว่าอะไรแล้วล่ะก็ ข้าจะเรียกท่านว่าหงเยว่เฉยๆ ได้หรือไม่ขอรับ?”
“ตามใจท่านเถิด จะเรียกว่าอันใด ข้าก็ไม่เกี่ยง” เสวี่ยหงเยว่ถอนหายใจออกมาเบา ๆ เพราะดูจากความหรูหราแล้ว คงเป็นคุณชายสกุลใดสักสกุลที่น่าจะมีศักดิ์ใกล้เคียงกับสกุลใหญ่เป็นแน่
หรือไม่ก็...
“เช่นนั้นแล้ว...ข้าขอถามนามของคุณชายบ้าง จะได้หรือไม่” เสวี่ยหงเยว่เอ่ยถาม มันคือความสงสัยผสมกับความภาวนา คาดเดาเอาว่าอย่าให้ใช่อย่างที่ตัวเองคิด
“เหอไป๋หลานขอรับ” เขาตอบ และคำตอบนั้นก็ทำให้เรียวคิ้วของเสวี่ยหงเยว่ขมวดมุ่น
นั่นไง...
เสวี่ยหงเยว่รู้สึกไม่อยากให้ลางสังหรณ์ตัวเองแม่นยำขนาดนี้มาก่อนเลย...
“อันที่จริงแล้วข้าเคยพบท่านเมื่อหกปีก่อน ตอนนั้นตัวข้าได้ไปเยือนที่ตำหนักเสวี่ยพร้อมกับครอบครัวเพื่อร่วมพิธีศพบิดามารดาของท่านขอรับ” เขาตอบด้วยรอยยิ้ม ดวงตาสีทองนั้นเหลือบมองใบหน้าของเสวี่ยหงเยว่เล็กน้อย ก่อนจะหยิบขนมจากในกล่องขึ้นมากินชิ้นหนึ่ง
“แต่ท่านคงจะจำข้าไม่ได้สินะขอรับ”
เสวี่ยหงเยว่พยักหน้า อันที่จริงแล้วเขาไม่ได้ฟังที่เหอไป๋หลานพูดเลยแม้แต่น้อย จับใจความการชวนคุยไม่ได้สักเท่าไรนักเนื่องจากในหัวของเขากำลังมีหลายเรื่องให้ต้องคิดไปหมด
พอรู้สึกตัวอีกที เขาก็หันมองเหอไป๋หลาน ริมฝีปากนั้นอ้าออกคล้ายกับอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าสุดท้ายแล้วเสวี่ยหงเยว่ก็เงียบ เขาพูดอะไรไม่ออก คิดอะไรไม่สุด บางอย่างในตัวของเขามันไม่ยอมให้เขาพูดออกมา...พูดออกมาถึงเรื่องในอนาคตที่จะเกิดขึ้นกับเหอไป๋หลาน
เขาหลบสายตามองไปทางอื่น สักพักก็ค่อย ๆ ลุกขึ้น
“นี่ก็เย็นมากแล้ว ข้าคงต้องขอตัวไปพักผ่อนที่ห้อง ไว้พบกันในช่วงอาหารเย็นขอรับ คุณชายเหอ” เสวี่ยหงเยว่พยักหน้าให้เหอไป๋หลานเล็กน้อย ทว่าในจังหวะที่เขากำลังจะเดินไปนั้นเหอไป๋หลานก็รั้งข้อมือของเขาเอาไว้
“ไป๋หลาน...ท่าน — เจ้าจะเรียกข้าแบบนั้นก็ได้นะหงเยว่” เหอไป๋หลานกล่าวซึ่งเสวี่ยหงเยว่ก็ไม่ตอบอะไร เขาเพียงแค่พยักหน้าให้เท่านั้นก่อนที่จะเดินออกจากห้องนั้นไป
เมื่อบานประตูได้ปิดลง เสวี่ยหงเยว่ก็รีบเร่งฝีเท้าเพื่อเดินกลับห้องของตัวเองให้ไวที่สุด พุ่งตรงไปหยิบหนังสือพล็อตย่อออกมาจากชั้นวางมาอ่าน เขาจับจ้องย่อหน้าหนึ่งในหน้าแรกที่เป็นส่วนเรื่องย่อ อ่านทวนซ้ำทั้งที่จำขึ้นใจแล้ว ทว่าเขาก็ยังอยากอ่านทวนอีกครั้ง เพื่อที่ว่าจะมีอะไรที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
แต่...ไม่ว่าจะอ่านวนเท่าไร ตีความมากขนาดใน สิ่งที่เขียนก็ยังคงเหมือนเดิม มันก็ยังคงเหมือนเดิมบทของเหอไป๋หลานจบลงที่ความตายเหมือนเดิม
ในระหว่างที่เสวี่ยหงเยว่กำลังคิด และสับสนในใจเป็นหนักหนานั้น เสียงเคาะกำแพงจากทางฝั่งซ้ายก็ดังขึ้นมาสองสามทีพร้อมกับเสียงของเหอไป๋หลาน
“วันนี้ขอบคุณเจ้ามาก ถ้าเจ้าไม่ว่าอะไรแล้วล่ะก็ เย็นนี้ ลงไปทานข้าวเย็นด้วยกันนะ” เขาว่า ซึ่งนั้นก็ทำให้เสวี่ยหงเยว่ครุ่นคิดมากกว่าเดิม
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น เสวี่ยหงเยว่ก็ค่อย ๆ ถอนหายใจออกมา เขาเดินตรงไปยังกำแพงห้องฝั่งซ้าย ดวงตาสีแดงจำจ้องผนังนั้น คิดอะไรมากมายหลายอย่างจนหัวแทบแตก เขาไม่อาจหนีเนื้อเรื่องความตายของเหอไป๋หลานได้ พอๆ กับที่ตัดเยื่อใย ไร้ไมตรี หนีจากอีกฝ่าย
ในเมื่อบทของเหอไป๋หลานคือเพื่อนร่วมเรียนในช่วงวัยรุ่นของเสวี่ยหงเยว่ เขาต้องใช้เวลานี้สร้างมิตรภาพกับเหอไป๋หลานให้มากที่สุด เพื่อไม่ให้เส้นเรื่องที่กำหนดผิดพลาด
ไม่เป็นไรหรอก ในเมื่อบทมันปูมาเป็นแบบนี้...ไม่เป็นไร แค่อย่าไปสนิทสนมเกินกว่าบทบาทที่ควรมีก็พอ
เมื่อคิดได้แบบนั้นเสวี่ยหงเยว่ก็หลับตาลง สูดลมหายใจเข้าไปลึก ๆ ค่อย ๆ เคาะกำแพงตอบกลับไป
“เข้าใจแล้ว”
และมิตรภาพของพวกเขาทั้งสองก็เกิดขึ้นจากตรงนั้น
ตอนนี้ เสวี่ยหงเยว่ในวัยสิบหกก็คิดอะไรง่าย ๆ เขารู้เพียงว่าตัวเองมีหน้าที่ต้องเล่นตามบทที่กำหนด เรื่องย่ออยากให้เขาทำอะไรเขาก็ทำไปเรื่อย ๆ ให้ครบเท่านั้น
เขากำลังดูถูกโชคชะตาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
เพราะความเป็นจริง สิ่งที่เขาจะต้องเจอมันอาจจะโหดร้ายกว่าที่เขาคิดยิ่งนัก...
ภายในห้องส่วนตัวอันแสนสงัดเงียบ เสวี่ยหงเยว่ค่อย ๆ พลิกหน้ากระดาษอย่างเชื่องช้า อ่านและทบทวนบทเรียนที่เขียนในตำราเพื่อให้ตัวเองได้จดจำเนื้อหาข้างในนั้นอย่างขึ้นใจ
หลังจากที่เขาได้ร่ำเรียนที่เฉินอันแห่งนี้ก็ผ่านมาได้สักพักใหญ่ ๆ แล้ว พอรู้ตัวอีกทีราวสองถึงสามเดือนจึงจะครบกำหนดที่จะสำเร็จวิชาการปกครองเสียที เสวี่ยหงเยว่คุ้นชินกับการเรียนที่นี่ ระบบวิชานั้นมีตั้งแต่การพัฒนาภูมิประเทศตลอดไปจนถึงการวางแผนเศรษฐกิจ ดู ๆ ไปแล้วก็ไม่ต่างจากเรียนคณะรัฐศาสตร์เท่าไรนัก ซึ่งเหมาะกับเขาที่ชอบเรียนวิชาที่สามารถอ่านได้จากในตำรา
เป็นเวลาเกือบปีที่แสนราบรื่น...
หรือเปล่า...นะ?
“หงเยว่ —”
มีเสียงเคาะที่ดังจากกำแพงฝั่งซ้ายนั้นอีกแล้ว นับตั้งแต่วันแรกที่ได้พบจวบจรดจนวันนี้ เหอไป๋หลานกระตือรือร้นที่จะเข้าหาและตีสนิทเขาเสมอมา จนเสวี่ยหงเยว่ที่ตั้งใจไว้ว่าจะไม่สนิทเกินกว่าบทบาทที่ควรกลับตัวติดเป็นคู่หู โดนลากไปนั่นไปนี่ตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา
พอคิดได้แบบนั้น เขาเลยแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ไม่สนใจการเรียกร้องความสนใจของเหอไป๋หลาน วันพรุ่งนี้มีสอบช่วงเช้า หัวเด็ดตีนขาดยังไงเสวี่ยหงเยว่จะไม่ยอมเสียเวลาในการอ่านหนังสือทบทวนอย่างเด็ดขาด
เสียงเคาะเรียกนั่นก็ปล่อยให้ดังไปเถอะ ให้มันดังไปเลย ไม่หือ ไม่อือ ไม่ตอบกลับซะอย่าง เดี๋ยวพี่แกก็ยอมแพ้ไปเอง เขาต้องใจแข็งซะบ้าง ไม่งั้นคงได้ใจ ติดไปเป็นนิสัยเสียยันโตแน่ ๆ
ตุบ...
แต่แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาในห้องคล้ายมีอะไรบางอย่างโดดเข้ามาทางระเบียง เสวี่ยหงเยว่รู้ได้ทันทีเดี๋ยวนั้นว่าสิ่งแปลกปลอมที่อยู่ ๆ ก็บุกรุกห้องเขานั้นคืออะไร
“คุณชายเหอ ถึงท่านอยู่ห้องด้านข้าง แต่ไม่ได้หมายความว่าท่านจะมีสิทธิเข้าออกห้องข้าตามใจชอบนะขอรับ” เสวี่ยหงเยว่ตอบโดยไม่ได้เหลียวหลัง เจ้าคุณชายเหอไป๋หลานนั้นเป็นคนดื้อหน้าซื่อ รั้นหน้าใส ไม่แคล้วคงเบื่อที่จะเรียกร้องความสนใจเลยปีนระเบียงเข้าห้องเข้ามาแน่ ๆ
“เพราะเจ้าไม่ยอมตอบข้า” เหอไป๋หลานนั่งลงด้านข้าง เขายื่นผลท้อมาให้อีกฝ่าย “ข้าเก็บได้จากป่าท้อด้านหลัง เลยเอามาฝาก”
“ไม่ใช่ว่าป่าท้อด้านหลังนั้นเป็นส่วนหวงห้ามสำหรับศิษย์หรอกหรือ” เสวี่ยหงเยว่เอ่ย หรี่ตาลงมองคนข้างตัวเล็กน้อย เขาไม่ได้ตอบรับ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ ถึงท้อจะหน้าตาดีชมพูอวบน่ากินสักแค่ไหน แต่เขาก็รับมากินอย่างโจ่งแจ้งไม่ได้อยู่ดี
“ไม่มีใครเห็นน่า” เหอไป๋หลานทำเสียงสูง ระหว่างนั้นก็เคี้ยวท้อตุ้ย ๆ ไปด้วย ทว่าแม้จะกินไม่หยุดปากสักแค่ไหนก็ยังคงมีภาพลักษณ์ของคุณชายไฮโซเต็มเปี่ยมจนเสวี่ยหงเยว่หรี่ตาด้วยความหมั่นไส้ “วันก่อนน้องชายข้าเขียนจดหมายมาหา เล่าให้ฟังว่าท่านแม่ทำท้อเชื่อม ก็เลยนึกอยากก็เท่านั้น”
เสวี่ยหงเยว่ชะงักเล็กน้อย ยามที่เหอไป๋หลานเล่าถึงน้องชายทีไร ก็รู้สึกเหมือนมีมดคันไฟไต่ยุบยิบที่ตัว คล้ายอาการคนเจอของผิดสำแดง ต่อให้พยายามจินตนาการถึงหน้าเด็กคนนั้นเท่าไรก็นึกไม่ออก เพราะเสียวไส้ก่อนภาพจะปรากฏทุกที
แหงสิ อนาคตข้างหน้า ต้องตายเพราะโดนน้องชายเอ็งแทงนี่หว่า – แต่นั่นก็เป็นแค่ความคิดของเสวี่ยหงเยว่วัยสิบหกล่ะนะ
“ท่านดูสนิทสนมกับน้องชาย” เสวี่ยหงเยว่กล่าว
“อื้ม ก็ข้าไม่อยู่บ้านตั้งสองปี ปีก่อนต้องเดินทางไกล ปีนี้ต้องมาเรียนที่เฉินอัน ถ้าอะไรที่ทำให้ไป๋เทียนหายเหงาได้ ข้าก็อยากทำ” เหอไป๋หลานว่าระหว่างนั้นก็นำมีดพกขึ้นมาปลอกท้ออีกผล ท่าทางและสีหน้าตอนกิน คล้ายจงใจยั่วให้เสวี่ยหงเยว่หมดความอดทน
“ทานไหม?”
เสวี่ยหงเยว่ส่ายหน้าน้อย ๆ ระหว่างที่หยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน ปล่อยให้เหอไป๋หลานจ้อเรื่องน้องชายของตัวเองเป็นคุ้งเป็นแคว
อันความจริงแล้วเขาไม่ได้สนใจเรื่องของเหอไป๋เทียนที่เหอไป๋หลานเล่าสักเท่าไรนัก สิ่งที่รับรู้มาก็จะปล่อยให้ไหลผ่านหูไม่ได้จดจำ เพราะอย่างไรเสีย เขาก็รู้จักพระเอกคนนั้นตั้งแต่เกิดยันโตจากในการอ่านเรื่องย่ออยู่แล้ว หากเป็นไปได้ก็อยากจะรู้เรื่องคนที่จะมาฆ่าตัวเองในอนาคตให้น้อยที่สุด
เพราะฟังแล้วโคตรจะแสลงใจ...
เสวี่ยหงเยว่อ่านหนังสือเตรียมสอบไปพลาง เหลียวมองคนกินท้อยั่วไปพลาง ไปจนจบหนึ่งบท เขาก็หันไปมองคนที่นั่งข้างตัว
“ไม่อ่านหนังสือสอบหรือ?”
“ทวนจบมานานแล้ว” เขาตอบ
และนั่นทำให้เสวี่ยหงเยว่กลอกตา ลืมไปเสียสนิทเชียวว่าเหอไป๋หลานนั้นมีคาแรคเตอร์เป็นเพอร์เฟ็คแมน ทำอะไรทุกอย่างได้ดี ได้คล่องไปเสียทุกอย่าง ไม่ต้องอ่านอะไร คะแนนก็นำไปอยู่ระดับสูงจนน่าหมั่นไส้ เขาไม่แปลกใจเลยสักนิดว่าทำไมพระเอกถึงมือปมอิจฉาพี่นัก
“หากทวนจบแล้วก็ไปทวนใหม่” เสวี่ยหงเยว่ว่า เขาปิดหนังสือเมื่ออ่านจบแล้ว เหลียวมองคนด้านข้างตัว ยิ่งเห็นรอยยิ้มที่เหมือนจะไม่ยี่หระกับอะไรนั่นแล้วเขาก็ขมวดคิ้วมุ่น ในใจเต็มไปด้วยความหมั่นไส้ คว้าผลท้อและมีดขึ้นมาปลอกบ้างอย่างคนโมโหหิว
ทว่า ไม่รู้ความรีบหรือความหิวทำให้มือสั่น มีดนั้นเกิดพลาดไปบาดมือตัวเองเข้า เลือดสดไหลซิบออกจากปากบาดแผลจนเจ้าตัวทำหน้ามุ่นขมวดคิ้ว เมื่อเหอไป๋หลานเห็นดังนั้นเขาจึงดึงมือของเสวี่ยหงเยว่มาหาตัว หลับตาลงเล็กน้อย ถ่ายทอดพลังในการรักษาให้
เลือดสดสีแดงฉานไหลย้อนกลับไป ปากแผลค่อยๆ สมานรวมตัวกันจนปิดสนิท แค่ชั่วพริบตาเดียวร่องรอยมีดบาดก็หายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น
“สมกับที่เป็นวิชารักษาของท่าน” เสวี่ยหงเยว่เอ่ยพลางมองนิ้วที่หายปวดหายเจ็บของตัวเองแล้ว ซึ่งเหอไป๋หลานก็ได้แต่ยิ้มๆ
“ไม่ใช่ของข้าคนเดียวหรอก...คนในสกุลข้ามีความสามารถนี้ด้วยกันทั้งนั้นแหละ” เหอไป๋หลานบอก ซึ่งเสวี่ยหงเยว่ก็พยักหน้าตอบกลับไป
“แล้วก็นะหงเยว่ เรื่องพลังนั่นน่ะช่างไปก่อนเถอะ นี่ก็ฟ้ามืดแล้วในเมืองมีงานดอกไม้ไฟ ไม่คิดจะออกไปชมดอกไม้ไฟเสียหน่อยหรือ?” เขาเอ่ยอ้อนบอกถึงสาเหตุที่ลงทุนบุกรุกปีนระเบียงห้องของอีกฝ่าย
เสวี่ยหงเยว่จ้องมองด้วยดวงตาสีทองคู่นั้น ทว่าเขากลับเอาสันหนังสือกดใส่หน้าผากเหอไป๋หลานแทน ซ้ำยังเคาะโป๊ก ๆ เบาๆ อีกตั้งสองสามที ประมุขหนุ่มคนนั้นแพ้ลูกอ้อนแค่กับเด็กและหาได้สนใจหนุ่มหล่อไม่ เสียใจด้วยนะเหอไป๋หลาน
“ชมที่ระเบียงได้ขอรับ กฏขของเฉินอันก็มีบอกไว้เด่นชัดว่าห้ามออกไปนอกเขตสำนักในยามวิกาล ท่านคือว่าที่ประมุขท่านไม่ควรละเลยกฏส่วนรวมแม้จะเป็นเรื่องเล็ก...น้อย” ช่วงท้ายนั้นเสวี่ยหงเยว่หรี่เสียงลง เพราะยิ่งพูด เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าทั้งรูปประโยค ทั้งแพทเทิร์นการบ่นนั้นช่างคลับคล้ายคลับคลา...ว่าเป็นสิ่งที่หลานซิ่นหลิงนั้นเอามาใช้บ่นตัวเองเมื่อสมัยก่อนไม่มีผิด
“เจ้าบ่นเป็นคนแก่ไปได้” เหอไป๋หลานเป่าปากบู้บี้คล้ายส่งเสียงท้วง เขาลุกขึ้นมาช้า ๆ ก่อนจะดึงมือของเสวี่ยหงเยว่ให้ลุกขึ้นมา “แต่ข้าก็คาดเอาไว้แล้วว่าเจ้าจะต้องกล่าวอย่างนั้น เอาล่ะ อ่านหนังสือจบแล้วใช่ไหม หากจบแล้ว ก็ตามข้ามา”
ต่อให้เสวี่ยหงเยว่จะอ้าปากปฏิเสธก็ไม่ทันแล้ว เหอไป๋หลานกึ่งลากกึ่งจูงให้เขาออกมาจากห้อง และพาเดินมาที่ห้องของตัวเขาเองซึ่ง...
รกสลัดผัดหมี่เลยครับ
“ข้าจำได้ว่า ข้าเพิ่งช่วยท่านจัดห้องไปเมื่อวานซืน” เสวี่ยหงเยว่ทำหน้าปลาตายใส่ ห้องของเหอไป๋หลานนั้นรกเสมอหากไม่มีใครช่วยจัด เขานึกสงสารคนรับใช้และว่าที่ภรรยาของคุณชายคนนี้อย่างสุดหัวใจ ทำสะอาดได้ไม่กี่วันก็กลับมารกราวกับเจอพายุมรสุมกวาดล้าง
“น่า เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่เก่งด้านงานบ้านงานเรือน” เหอไปหลานว่าหลบสายตาไปไกลแสนไกลด้วยความอายปนกับความรู้สึกผิด เขาค่อย ๆ ย่องเดินไปทางด้านหลังห้องตัวห้อง ดันหีบใบหนึ่งออกมาจากที่ซ่อน เขาเปิดฝามันออกก่อนจะหยิบของบางสิ่งออกมา
“ข้าได้รับมาก่อนจะมาเรียนที่เฉินอัน คาดว่าตอนนี้คงบ่มได้ที่แล้วกระมัง” เขากล่าวก่อนจะนำของไหบรรจุของบางสิ่งออกมาวางตรงหน้าซึ่งนั่นก็ทำให้เสวี่ยหงเยว่กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่
“ของดีของบ้านเจ้าใช่ไหมเล่า”
สุราน้ำทิพย์เหมันต์...
เสวี่ยหงเยว่นั้นไม่ใช่คนหลอกล่อง่ายด้วยของกินเลยจริง ๆ นะ ทว่าหากมีใครเตรียมของพร้อมขนาดนี้มา เขาก็เกรงใจที่จะปฏิเสธให้เสียน้ำใจ รู้ตัวอีกทีหนึ่งเขาก็อยู่ที่ระเบียงห้องของเหอไป๋หลาน ปูฟูกนั่ง ชมจันทร์และบรรยากาศกลางคืนไปพลาง ดื่มสุราแกล้มผลท้อไปพลางเสียแล้ว
“อีกไม่กี่เดือนเราก็เรียนจบแล้ว” เหอไป๋หลานกล่าว โคลงจอกเหล้าของตัวเองเล็กน้อย เงยหน้ามองไปบนฟ้า ทอดสายตาดูหมู่ดาวที่ส่องประกาย “ข้าก็เตรียมตัวเรียนรู้งานราชการ ส่วนเจ้า ก็คงกลับไปทำงานบริหารบ้านเมืองทันทีเลยใช่ไหม?”
เสวี่ยหงเยว่พยักหน้า มองเงาสะท้อนพระจันทร์บนจอกเหล้าเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ ซดดื่ม
“เพราะฉะนั้นแล้ว...” ทว่าในจังหวะที่เหอไป๋หลานกำลังจะพูดบางอย่าง เสียงหวีดแหลมก็ดังขึ้นขัด ทำให้พวกเขาทั้งสองหันไปยังต้นเสียงทันที
บนท้องฟ้าทีนั้นได้มีการจุดประทุระเบิดของดอกไม้ไฟสีสวย เริ่มขึ้นจากหนึ่งลูก สองลูก ตลอดจนเรื่อย ๆ แต่งแต้มน้ำเงินเข้มน้ำเงินเข้มนั้นให้สว่างไสวสวยงามและตราตรึงใจ
เสวี่ยหงเยว่มองภาพตรงหน้าของตัวเองจวบจนดอกไม้ไฟลูกสุดท้ายได้จุดประกายบนท้องฟ้า สายตานั้นดูเต็มไปด้วยความประทับใจ เพราะไม่บ่อยนักที่เขาจะได้มาดูดอกไม้ไฟเช่นนี้ เขาจะจดจำภาพของดอกไม้ไฟที่เห็นคืนนี้เอาไว้ในหัว สลักลึกในความทรงจำ
‘ไม่ว่าจะเมื่อไร สิ่งที่เรียกว่าดอกไม้ไฟก็ช่างงดงามและไม่ยั่งยืน’
เมื่อเหลือบมองสีหน้าของคนข้างตัว รอยยิ้มบาง ๆ ก็พลันปรากฏบนใบหน้าของเขาโดยที่ตัวของเสวี่ยหงเยว่เองก็ไม่เข้าใจเท่าไรนัก...
“ขอบคุณที่ชวนมาดูนะขอรับ”
แม้ว่าจะเป็นเพราะบทบาทบังคับให้สถานการณ์ระหว่างพวกเขาเป็นเช่นนี้ แต่เสวี่ยหงเยว่เองก็ปฏิเสธไม่ได้แล้วว่าเหอไป๋หลานคือเพื่อน...
เพื่อนคนแรกของเขาในโลกอวิ๋นเจวี้ยนแห่งนี้
เสวี่ยหงเยว่ค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาในห้องกว้าง ร่างสูงขยับตัวลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า เหลียวมองไปรอบตัวก็พบว่าตนกำลังนอนอยู่บนที่นอน เมื่อทบทวนจึงจำได้ว่าหลังจากจบการประชุมแล้วเขาก็หนีกลับมานอนพักเนื่องจากเหนื่อยล้าจากการเดินทาง
เขานวดหัวตาตัวเองเล็กน้อยด้วยความปวดหัวหนึบ ๆ ผสมกับความปวดเมื่อยล้าตัวราวกับเรี่ยวแรงที่มีโดนสูบออกไปตอนนอน
เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างก็จึงพบคำตอบ เพราะท้องฟ้าตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีแดงเสียแล้ว
ผีตากผ้าอ้อม นอนช่วงตะวันทับตาแบบนี้ ไม่แปลกเลยที่จะฝันอะไรประหลาดเช่นนั้น เขาไม่มั่นใจนักว่าพลังของต่างหูทำให้เขาเห็นนิมิตเช่นนั้นหรือเปล่า หากใช่ก็น่าขันนัก ทว่ามันก็เป็นเรื่องที่น่าคิดถึงเสียจนส่งเสียงหัวเราะไม่ออก
จะว่าเป็นเพราะมาเจอเหอไป๋หลานในรอบหลายปีหรืออย่างไรก็ไม่ทราบได้
หากตัวเขาในอดีตมารู้ว่าตอนนี้เขาสนิทกับเหอไป๋เทียนมากขนาดนี้จะรู้สึกอย่างไร เขาไม่อยากจะนึกเชียว
เมื่อคิดถึงเรื่องนั้น สีหน้าที่ดูเครียดจัดก็ดูจะผ่อนคลายลงอย่างอย่างน่าประหลาด ทว่าก็มีอะไรหลายเรื่องติดค้างในหัวเป็นตะกอนอยู่เยอะไปหมดจนไม่รู้ว่าควรจะเริ่มจากสิ่งไหนเป็นอย่างแรก
ชายหนุ่มค่อย ๆ ลุกขึ้นมา หันหลังกลับไปเก็บผ้าปูที่นอน หมอนและผ้าห่มให้เรียบร้อย เนื่องจากอีกไม่นานงานเลี้ยงหลังการประชุมจบจะเริ่ม เขาควรเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการไปร่วมงาน
เมื่อเตรียมตัวเรียบร้อยแล้วนั้นก็พบว่ายังเหลือเวลาอีกสักพักใหญ่ ๆ กว่าจะถึงเวลาเริ่มงาน เขาเลยเลือกที่จะหยิบหนังสือมาหนึ่งเล่มเพื่อหาที่นั่งอ่านรองานเลี้ยงเริ่ม
เสวี่ยหงเยว่เดินลัดเลาะไปตามทางเดิน สถานที่แห่งนี้เป็นที่พักที่เอาไว้ใช้รับรองแขกสถานะสูง มันจึงค่อนข้างกว้างและกินเนื้อที่ทรัพยากรเยอะแยะเสียจนชวนให้หลงทางขนาดเขาที่มาประชุมบ่อย บางทียังจะหลงทาง...
และ...ใช่ ตอนนี้หลงทางแล้ว
เสวี่ยหงเยว่ถอนหายใจออกมา มองซ้ายและมองขวา ดูไปรอบ ๆ แล้วก็รู้สึกเหมือนยิ่งเดินก็ยิ่งวนเวียนกลับมาที่เดิม ในตอนแรกเขาตั้งใจว่าจะไปนั่งอ่านหนังสือในห้องสมุด แต่ดูเหมือน ต้องพึ่งพาสวนหย่อมใกล้ ๆ นี้แทนเสียแล้ว
เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาจึงเดินลัดเลาะเข้าไปที่สวนหย่อม ข้ามสะพานสระบัว ตรงไปยังศาลากลางน้ำที่เงียบสงบ เปิดหนังสือขึ้นมาอ่านอย่างเชื่องช้า
ทว่าเนื้อหาในหนังสือกลับไม่เข้าไปในสมองเลยแม้แต่น้อย การที่ได้เจอกับเหอไป๋หลานอีกครั้งมันมีอิทธิพลกับเขาได้มากอย่างน่าประหลาด
ตะกอนความคิดที่ยังหาทางรับมือไม่ได้กลับมาลอยฟุ้งเต็มหัวอีกครั้ง ในระยะหลังมานี้เขาเริ่มรับมือกับปัญหารอบตัวไม่ถูก เหตุการณ์ในนิยายมันถูกเร่งให้มาไวกว่ากำหนดการณ์ของเรื่องย่อหลายช่วงปี ซ้ำไทม์ไลน์ยังสลับซับซ้อนมากกว่าเดิมจนจับต้นชนปลายไม่ถูก
หากทำได้...เขายังอยากให้ตัวเองมีเวลารับมือและทำใจกับบทบาทการตายของเหอไป๋หลานมากกว่านี้ ทว่า ในตอนนี้กลับทำไม่ทันแล้ว และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้เขาวางตัวกับเพื่อนสนิทคนนี้ของตนในช่วงนี้ไม่ค่อยถูกนัก
เพราะเมื่อเหอไป๋เทียนได้พบกับหานหลิ่ง...มันก็ใกล้ถึงเวลาที่เหอไป๋หลานจะต้องตายแล้ว
เสวี่ยหงเยว่เม้มปาก เอามือแตะที่จี้ห้้อยคอของตัวเอง เขารู้สึกว่ามันร้อนกว่าปกติ...
อีกทั้งการตายของเหอไป๋หลานยัง...
ยัง...