ตอนที่ 29 คนที่น่าสงสัย
ตอนที่ 29 คนที่น่าสงสัย
หลังกลับจากการเข้าพบเจ้าหญิงเฌอรีน และรวมตัวกับเคนเซย์ที่ออกไปเคลียร์ภารกิจรายวันของหน่วยจนเสร็จเรียบร้อย หน่วยเคซีโร่ก็เปิดประชุมอย่างเคร่งเครียดยาวเหยียดมาร่วมชั่วโมงได้แล้ว
ข้อมูลรายชื่อที่ส่งให้หน่วยข่าวกรองช่วยสืบค้นข้อมูลเชิงลึกอาจต้องรอเวลา เอ็ดเวิร์ดผู้เป็นมันสมองของหน่วยจึงทำการค้นหาข้อมูลเองในเบื้องต้นเช่นกัน
จากหลายอย่างที่ค้นพบ ทั้งแฟนหนุ่มของเจ้าหญิงและผู้ติดตามทั้งสี่ต่างเสียชีวิตไปแล้วจริงๆ อย่างที่เล่ามา ส่วนครอบครัวของเพื่อนข้างบ้านแต่ละคนก็ยังมีชีวิตอยู่อย่างปกติดี
ข้อมูลจากทุกเส้นทางถูกบอกล่าวให้รู้กันทั้งหมดสรุปเป็นภาพรวมใหญ่ๆ อีกครั้ง
ทั้งจากเฮคเตอร์กับชาเกลที่ไปพบเจอมาด้วยตัวเอง จากความทรงจำของโซอีที่นึกได้ เบาะแสจากเฟย์นะที่ได้เห็นคนร้ายในคืนนั้น เรื่องราวเมื่อสามปีก่อนของเจ้าหญิงเฌอรีน และการไปสืบค้นข้อมูลที่นิวยอร์กซึ่งน่าจะต้องกลับไปสะสางต่อให้จบอีกครั้ง เพื่อการเชื่อมโยงระหว่างนางแบบสาวคนนั้นกับหนทางการเข้าสู่วิถีแห่งพลังวิญญาณ
“น่าสงสัย...ถึงจะตงิดเรื่องเพื่อนบ้านหน่อยๆ แต่ไอ้แฟนของเจ้าหญิงนั่นแหละน่าสงสัยที่สุด”
ฟอแกนด์นั่งกอดอก กระดิกปลายเท้าที่นั่งไขว่ห้างลงความเห็นออกมาอย่างหงุดหงิด
“พฤติกรรมน่าสงสัยจริงๆ นั่นแหละ โดยเฉพาะตอนบอกให้ผสมไวน์ให้พวกคนใช้กิน ถึงจะฟังเรื่องโลกวิญญาณจากเจ้าหญิงคร่าวๆ มันก็แปลกเกินไปอยู่ดีที่จะคิดว่าเจ้าหญิงมีพลังอะไรสักอย่างที่น่าจะส่งให้ตัวเองได้จริงมั้ย ปกติคนปะทุพลังมันต้องคิดแบบว่า...ตัวเราก็ปะทุพลังได้สินะ คล้ายๆ ผุดความคิดออกมาจากตัวเองทุกอย่างว่าเราก็เจ๋งเหมือนกันนะ อะไรประมาณนั้นไม่ใช่เหรอ”
“เอ่อ...อย่าเหมาทุกคนรวมกับตัวเองสิ แต่ก็จริงของหัวหน้านะ การที่อยู่ดีๆ จะคิดว่าเจ้าหญิงมีพลังอะไรสักอย่างที่ส่งให้ตัวเองได้มันดูข้ามเลเวลไปหน่อย”
เฮคเตอร์พูดซ้ำความเดิมอย่างเห็นด้วยทีเดียว
“ถ้าไม่ฉลาดเอามากๆ ก็ต้องเป็นคนจำพวกรู้มากและเห็นเรื่องพวกนี้มาเยอะมากกว่า น่าสงสัยจริงๆ ตายที่ว่านี่ตายจริงๆ รึเปล่าแบบที่เฮคเตอร์สงสัยนั่นแหละ” เอ็ดเวิร์ดเองก็ตอกย้ำความน่าแปลกใจนี้เช่นกัน
“อืม...เป็นไปได้มั้ยครับคนชื่อเจคนั่นก็แค่โดนสิง เหมือนกับเรื่องของโซอีเมื่อตอนนั้น วิญญาณต้นไวท์แอชก็เป็นแค่วิญญาณ การสิงร่างผู้คนทั่วไปเพื่อทำอะไรสักอย่างไม่น่าใช่เรื่องแปลกรึเปล่า ถ้าเจ้าของร่างที่สิงตายไปก็แค่ไปสิงร่างใหม่เท่านั้นเอง เจ้าคนร้ายผมทองที่เราเห็นๆ กันนี่ที่จริงก็อาจจะแค่เป็นร่างกายที่ถูกสิงด้วยรึเปล่า เพราะเจ้าวิญญาณนั่นก็ไม่น่าจะมีร่างกายจริงๆ เหลืออยู่แล้ว ที่โซอีเห็นตอนนั้นว่าน่าจะเป็นผมสีทองน่าจะเรื่องบังเอิญ คนผมสีทองโลกนี้ก็เยอะแยะไปนะครับ”
ทุกคนบนโต๊ะหันไปมองชาเกลอย่างพร้อมเพรียงกัน สมแล้วที่เป็นความหวังของหน่วย เป็นคลื่นลูกใหม่ที่ใครหลายคนหมายมั่นให้เขาขึ้นเป็นหัวหน้าคนถัดไปต่อจากฟอแกนด์
“ฉลาดมาก ชาเกลพูดถูก… ทำไมเรานึกเรื่องง่ายๆ แค่นี้ไม่ออกนะ” ฟอแกนด์เอ่ยชมเลขาของหน่วยขึ้นในทันที
“เป็นไปได้ เราอาจจะยึดติดเกินไปว่าวิญญาณที่สิงคนนานๆ จะเริ่มมีจุดสีดำจนกลายเป็นดิคเคนส์ แต่เจ้านั่นมันก็ปล่อยดิคเคนส์ประดิษฐ์ได้อยู่แล้วนี่ อาจจะเป็นความสามารถที่แท้จริงของมันรึเปล่า วิญญาณก็เลยไม่สะเทือนกับผลกระทบการสิง ปกติวิญญาณจะคงรูปร่างตามจิตที่ยึดติดอยู่ วิญญาณที่โซอีเห็นอาจจะเป็นร่างจริงๆ ของเจ้าไวท์แอชก็ได้ ถ้าอย่างนั้นก็เป็นไปได้ว่าทำไมเจ้านั่นถึงได้เลือกสิงพวกผมสีทองๆ เหมือนกัน คงเพราะรู้สึกเหมือนกับตัวเองที่สุดน่ะ”
เอ็ดเวิร์ดวิเคราะห์ขึ้นมาคร่าวๆ และคิดว่าเป็นไปได้มากทีเดียว
“งั้นเจ้าตัวการจริงๆ ที่เราต้องจับให้ได้ก็คือวิญญาณต้นไวท์แอชนั่นสินะครับ วิญญาณนั่น...ถ้าถึงเวลานั้นปล่อยให้ผมจัดการได้มั้ย”
เคนเซย์ที่เงียบฟังมาโดยตลอดพูดออกมาเป็นครั้งแรก หนนี้กลายเป็นรุ่นพี่ทุกคนที่มองมาทางนี้แทน
สิ่งหนึ่งที่ทุกคนสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน คือตั้งแต่เคนเซย์ทำพิธีชำระวิญญาณให้เฟย์นะมา กลิ่นอายพลังวิญญาณของเขาก็แรงกล้าขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า ไม่นับว่าน้องเล็กของหน่วยดูนิ่งขึ้นสงบเยือกเย็นขึ้นกว่าที่เคย คงเพราะเหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงนี้
“ต้องเป็นนายอยู่แล้วเคนเซย์ เท่าที่เห็นก็มีแต่นายเท่านั้นแหละที่ทำได้ ถึงตอนนั้นก็ฝากด้วยละกันนะ”
หัวหน้าหน่วยตอบกลับราวกับยกหน้าที่นี้ให้เป็นของเคนเซย์โดยสมบูรณ์
“ยังไงก็ตาม” เอ็ดเวิร์ดพาทุกคนกลับมาเข้าเรื่องต่อ “แต่เราก็ยังหาจุดเชื่อมโยงไม่ได้ว่าเจ้าพวกนั้นได้พลังจากเจ้าหญิงไปได้ยังไงอยู่ดี คงต้องตามไปหาข้อมูลกันต่อแล้วล่ะ”
“เฮคเตอร์ นายกลับไปจัดการที่นิวยอร์กต่อให้เสร็จ ฉันกับชาเกลจะลองไปตามเรื่องที่ลอนดอนสักหน่อย วันนี้พักก่อนสักวันพรุ่งนี้เช้าค่อยไปก็ได้ ประชุมวันนี้พอแค่นี้ก่อน แยกย้ายกันไปทำงานของตัวเอง”
แล้วฟอแกนด์กล่าวปิดการประชุมเพียงแค่นั้น...
เวลาผ่านพ้นไปจนถึงช่วงหัวค่ำ หลังจากที่วันนี้โซอีได้มีโอกาสขลุกอยู่ในครัวเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับอาหารพื้นเมืองต่างๆ ของคาเรมบ้างแล้ว เมื่อใกล้ถึงมื้อเย็นก็มีข่าวมาส่งในครัวว่าคุณชายเคนเซย์กลับมาถึงบ้าน ให้เตรียมตั้งสำรับมื้อเย็นไปที่ห้องพักชั่วคราว
เวลาอาหารเช้าเป็นมื้อเดียวของวันที่สมาชิกของครอบครัวนี้จะตื่นมารับประทานร่วมกัน นอกนั้นก็สุดแล้วแต่ธุระปะปังของแต่ละคนกันไป
“คุณโซอีจะรับมื้อเย็นพร้อมกับคุณเฟย์นะด้วยเลยไหมคะ”
หญิงสาวในร่างเด็กนิ่งงันไปเมื่อถูกสาวใช้ในครัวถาม ลังเลอยู่เล็กน้อยก่อนจะควักโทรศัพท์มือถือออกมา
กล่องข้อความหรือแม้แต่สายไม่ได้รับยังคงว่างเปล่า ขณะที่ถอนใจยาวพรืดออกมานั่นเอง เสียงเตือนข้อความใหม่ก็ดังขึ้นในตอนนั้นพอดี
‘กำลังจะไปรับ’ รอยยิ้มที่ห่างหายไปนานปรากฏขึ้น เธอรีบกดตอบกลับสั้นๆ ว่า ‘อื้อ’ ก่อนจะเก็บโทรศัพท์ลงอย่างอารมณ์ดีขึ้นผิดหูผิดตา
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวจะมีคนมารับกลับแล้ว ฉันขอเอาของที่หัดทำวันนี้กลับไปด้วยได้มั้ยคะ ไม่รู้รสชาติเป็นยังไงบ้าง ต้องไปหาคนช่วยชิมแล้วล่ะค่ะ”
แน่นอนว่าคำร้องขอของหญิงสาวได้รับการตอบรับ โซอีคือแขกของบ้านที่ทุกคนพูดคุยด้วยเป็นอย่างดี ยิ่งพอรู้เรื่องของเธอกันหมดแล้ว ต่างคนก็ต่างพยายามทำดีกับเธออย่างเห็นอกเห็นใจ
โซอีกลับไปเก็บกระเป๋าที่ห้องพักชั่วคราวของเฟย์นะ ล่ำลากันเล็กน้อยเพราะพรุ่งนี้คงได้เจอกันใหม่ เฟย์นะถึงกำหนดการที่ต้องไปศูนย์วิจัยพลังวิญญาณเพื่อตรวจสอบที่มาของพลังแล้ว
เฮคเตอร์ส่งข้อความมาอีกครั้งว่ารออยู่ที่ห้องโถงรับแขก เมื่อโซอีวิ่งมาถึงเขาก็อยู่ตรงนั้นพร้อมกับเคนเซย์ที่นั่งคุยเล่นกันไปเรื่อยเปื่อย พอเห็นเขาขึ้นมาจริงๆ แล้วโซอีก็เหมือนเพิ่งนึกได้ว่า สถานการณ์ของเขากับเธอในตอนนี้มันดูแปลกแปร่งจนทำหน้าไม่ค่อยถูกไปแล้ว
“กลับก่อนล่ะ เจอกันพรุ่งนี้”
เฮคเตอร์บอกลาเคนเซย์ โซอีเพียงเดินไปแตะแขนผู้นำทางไว้ก่อนที่เงาร่างของทั้งสองจะหายวับไป
ห้องพักของเฮคเตอร์ ทั้งสองปรากฏตัวขึ้นในห้องห้องเดิมที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน
“พรุ่งนี้เช้ายังต้องกลับไปที่นิวยอร์กต่อน่ะ ไม่รู้จะได้กลับตอนไหน เตรียมเสื้อผ้าไปพักบ้านเคนเซย์เผื่อไว้ก็ได้นะ”
เฮคเตอร์หันมาบอกกับโซอี ยิ่งเมื่อเงียบมองหน้ากันแล้ว ความประหม่าก็เกิดขึ้นจนแทบไม่รู้จะพูดคุยกันเหมือนเดิมได้อย่างไร
“อื้อ ขอบคุณที่บอกนะ ว่าแต่...จะกินข้าวเย็นเลยมั้ย ฉันมี...”
“ไม่เป็นไร” เฮคเตอร์พูดสวนขึ้นมา “เอ่อ...พอดีนึกได้ว่านัดกับเอ็ดจังไว้น่ะ เธอกินไปเลยนะไม่ต้องรอ ไม่ต้องทำเผื่อด้วย หรือไม่ก็...เธอจะเอาอะไรจากข้างนอกมั้ยเดี๋ยวฉันไปซื้อให้ก่อน เพราะคงจะกลับช้าหน่อยนะ”
โซอีนิ่งอึ้งไป ทำท่าเหมือนอยากพูดอะไรสักอย่าง แต่จนท้ายก็ไม่ได้พูดนอกจากบอกว่าไม่เอาอะไร และเมื่อตอบกลับไปร่างของเฮคเตอร์ก็หายไปจากในบ้านทันทีเช่นกัน
บ้านเดี่ยวสองชั้นขนาดสามห้องนอนพอดีสำหรับครอบครัวเล็กๆ แต่ก็คงดูใหญ่เกินไปสำหรับการอาศัยอยู่ตัวคนเดียวตามลำพัง เอ็ดเวิร์ดไม่ได้อยู่ที่บ้านพักของเจ้าที่กองปราบวิญญาณ เขามีบ้านเป็นของตัวเองอยู่ในเขตตัวเมืองที่ ‘เคย’ ซื้อไว้เพื่อจะได้อยู่กับภรรยา แม้ภายนอกจะดูเป็นบ้านธรรมดา แต่ภายในกลับตกแต่งอย่างหรูหราแค่มองเผินๆ ก็รู้ว่าเป็นบ้านของคนมีฐานะไม่เบา
เจ้าของบ้านได้แต่รินเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ให้กับแขกผู้ไม่ได้รับเชิญที่มุมเคาน์เตอร์เก็บเครื่องดื่มราคาแพงของบ้าน และก็นานมากแล้วที่เฮคเตอร์มานั่งจมปลักเอาหน้าตะแคงแนบพื้นโต๊ะแบบนี้
“ผมทำตัวไม่ถูกแล้ว ทำยังไงดี เอ็ดจัง”
หลังนอนหมอบเป็นใบ้อยู่นาน ในที่สุดคนมีปัญหาก็เริ่มแสดงอาการออกมา
“หมายถึงโซอีใช่มั้ย ตั้งแต่วันที่ไปบ้านเคนเซย์ด้วยกันคราวนั้นละ ฉันว่าพวกนายทำตัวแปลกๆ เธอมาถามฉันเรื่องอดีตของนายด้วยว่า ทำไมนายถึงได้อยากอยู่คนเดียว”
เฮคเตอร์สะดุ้งลุกขึ้นมานั่งตัวตรงอย่างตกใจ
“ไม่ได้เล่าอะไรหรอก บอกให้ไปถามนายเองน่ะ”
ก่อนเจ้าตัวจะถอนใจอย่างโล่งอก เมื่อเอ็ดเวิร์ดพูดขึ้นต่อแบบนั้น
“นายน่ะใจดีกับคนอื่นไปทั่ว อยากทำอะไรๆ ให้คนอื่นไว้ก่อนแล้วก็ไม่ค่อยนึกถึงตัวเอง ถึงนายจะไม่ได้คิดอย่างอื่นอะไรเลย ก็แค่ทำอะไรให้ได้ก็อยากทำให้คนอื่น แต่มันทำให้คนเขาเข้าใจผิดได้ง่ายๆ โดยเฉพาะกับพวกผู้หญิงนะ”
เมื่อเริ่มถูกเทศนาสั่งสอนเฮคเตอร์ก็หมอบลงกับพื้นโต๊ะเช่นเดิม เอ็ดเวิร์ดเคยชินกับท่าทางแบบนั้นแล้วเขาจึงไม่หยุดพูดกลางคัน
“อย่างคุณหมออนาเซียก็เป็นตัวอย่างให้เห็นชัดๆ ไม่ใช่รึไง นายก็ช่วยอะไรๆ ไว้เยอะแยะช่วงที่เธอเข้ามาทำงานใหม่แล้วเหมือนมีปัญหา เพียงแค่ว่าปัญหาของคุณหมอมันไม่ได้หนักเหมือนโซอี ยิ่งเห็นโซอีเป็นแบบนี้นายก็เลยยิ่งเอาใจใส่เธอมากขึ้น ถึงตัวจะเท่านั้นแต่โซอีไม่ใช่เด็กแล้วนายก็รู้ ที่ผ่านมาก็คงไม่เคยมีใครทำอะไรให้ขนาดนี้มาก่อน จะมีความรู้สึกอะไรขึ้นมาบ้างมันก็ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน”
จบประโยคยืดยาวทั้งบ้านก็เงียบไปชั่วขณะ จนท้าย...เฮคเตอร์ก็พึมพำออกมาในที่สุด
“มันเลวร้ายมากเลยเหรอ ที่ผมเป็นแบบนี้”
เอ็ดเวิร์ดถอนใจอย่างเหนื่อยหน่ายทันที
“เฮ้อ… ช่างเถอะ พูดไปก็เท่านั้น ว่าแต่พูดถึงโซอีแล้วนี่...นายรู้สึกรึเปล่าว่าเธอแปลกเกินไป แน่นอนว่าไม่ได้หมายถึงเรื่องที่ตัวไม่โตขึ้น แต่หมายถึงสภาพจิตใจน่ะ”
เฮคเตอร์ชำเลืองตาขึ้นมามองคนถาม เอานิ้ววาดแก้วน้ำที่เย็นจนมีไอน้ำเกาะเล่นไปเรื่อยๆ
“เธอเข้มแข็งมาก”
“ใช่ แต่มากเกินไปจนผิดปกติ มากจนน่าตกใจ หลังกลับจากคฤหาสน์ชามันด์ฉันพอมองออกแล้วว่าเธอจะน่ารู้อะไรสักอย่าง ที่ตอนแรกบอกว่าจำอะไรไม่ได้คงเพราะยังตั้งตัวไม่ทัน แต่สองวันจากนั้นฉันก็เห็นเธอร่าเริงกว่าตอนมาที่นี่ใหม่ๆ ซะอีก แต่ก็คงเกิดอะไรขึ้นสักอย่างระหว่างพวกนายนั่นแหละใช่มั้ย ถึงบอกว่าจะอยู่ด้วยกันจนแก่ตายนี่”
เฮคเตอร์ชะงักอีกครั้งเมื่อได้ยิน ดึงนิ้วออกจากแก้วกลับมาเกาคางแก้อาการที่เขินขึ้นมาอย่างประหลาด ชายหนุ่มยังไม่ได้เอ่ยปากเรื่องนี้กับใครเพราะรอดูจังหวะเหตุการณ์หลายๆ อย่างอยู่ แต่พูดกับเอ็ดเวิร์ดก็คงจะไม่เป็นไร
“เธอจะไม่มีวันตาย เอ็ดจัง...” ท่านรองของหน่วยขมวดคิ้วเข้าหากันในทันที
“หมายความว่ายังไง”
“หมออนาเซียบอกว่าร่างกายของเธอหยุดการเจริญเติบโตอย่างถาวร แล้วผมก็ได้รู้ความจริงอีกอย่าง ร่างกายของเธอรักษาตัวเองได้ ต่อให้มีแผลอะไรมันก็จะรักษาตัวเองจนกลับมาเป็นเหมือนเดิม คงเพราะอย่างนี้ด้วยเธอก็เลยไม่โตขึ้นจริงๆ” ทั่วบ้านกลับมาเงียบอีกครั้ง เอ็ดเวิร์ดนั่งกอดอกนิ่งงันไปเหมือนใช้ความคิดยกใหญ่
“ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ คงเป็นผลจากตอนโดนสิงที่ถูกเค้นพลังชีวิตออกมาจนหมด จนพลังวิญญาณมีการตอบสนองอะไรสักอย่าง น่าคิดนะ...พลังวิญญาณจริงๆ ของโซอีคืออะไรกันแน่ บอกเลยว่าพวกนักสะกดวิญญาณที่ตระกูลหลักรับไปดูแลเองน่ะ ไม่มีใครธรรมดาสักคนหรอก”
เฮคเตอร์อึ้งไปเช่นกัน เขามัวแต่นึกว่าจะหาทางแก้ไขเรื่องนี้ยังไง แต่ไม่เคยนึกให้ลึกซึ้งขนาดนี้มาก่อนเลย
“แต่อันที่จริงผมพอนึกออกแล้วว่าทำยังไงเธอถึงจะตายได้จริง เห็นเรื่องเฟย์นะแล้วก็เพิ่งนึกออก ถ้าเธอถูกดิคเคนส์ดูดพลังชีวิตไปจนหมดก็น่าจะตายได้เหมือนกัน เพราะความเสียหายทางนั้นมันไม่เกี่ยวกับสภาพร่างกายอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะเอ็ดจัง”
“ก็จริงนะ… นายบอกเธอรึยัง”
“ไม่มีทาง ทำหน้าอยากตายตลอดเวลาอย่างนั้นเกิดรู้ขึ้นมาคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นล่ะ”
“แต่ถ้ารู้เรื่องโลกวิญญาณรู้เรื่องดิคเคนส์แล้ว ไม่คิดเหรอว่าเธอจะพอนึกวิธีนี้ออกแล้วน่ะ ไม่ใช่ว่ารู้อยู่แล้วแต่ไม่ได้อยากตายหรอกเหรอ”
“ผมว่าไม่นะ ที่เธอเหมือนคิดแต่เรื่องเงินตลอดเวลา คงคิดว่าต้องเก็บเงินไว้ใช้เยอะๆ เพราะไม่รู้ว่าตัวเองต้องมีชีวิตอยู่ไปจนถึงเมื่อไหร่นั่นแหละ”
“แต่ก็ไม่แน่นะ เธออาจจะกังวลเรื่องเงินเพราะรู้ตัวว่าไม่มีทางตายได้จริงๆ ก็ได้ ดูตอนที่กลับจากคฤหาสน์ชามันด์นั่นสิ ธาวินสลบไปสามวัน ในขณะที่โซอีแทบไม่เป็นอะไรเลย ที่ดูสภาพแย่แบบนั้นคงเพราะเรื่องอะไรๆ ที่นึกได้มากกว่า เธอไม่ได้หมดสติด้วยซ้ำตอนไปถึงแผนกแพทย์วิญญาณ ภาวนาขอให้เป็นว่าเพราะเธอมีพลังวิญญาณสูงมากแทนเถอะ ไม่ใช่ว่าแม้แต่ดิคเคนส์ก็ทำอะไรเธอไม่ได้เหมือนกัน...”