ซัพที่37: หยั่งเชิงพี่จ๋ากันเถอะ!
ซัพที่37: หยั่งเชิงพี่จ๋ากันเถอะ!
เพราะฝีมือองค์รักษ์ผู้หวังดีหรือไม่ก็ไม่ทราบ ทำให้บัดนี้จินหลงต้องมานั่งติดแหงกอยู่ภายในห้องร่วมกับองค์ชายใหญ่เจิ้งเฟิงหยางวัยยี่สิบปี
เจ้าตัวแสบเหลือบตามองเฟิงหยางที่กำลังนั่งอ่านตำราหน้านิ่ง ก่อนจะก้มหน้าตีเนียนทำงานตัวเองเมื่ออีกฝ่ายหันมามอง
อึดอัดโว้ยยยย หย่งเล่อหายไปหน๊ายยย
จินหลงแทบแหกปากร้องเรียกองค์รักษ์คนสนิทที่หายวับไปตั้งแต่เฟิงหยางเหยียบเข้ามาในตำหนัก
“น้องสี่นี่ดีนะ อายุเพียงสิบห้าปีก็ได้ตำหนักมาแล้ว” ..นั่นไง งานแซะก็มา
“ไม่หรอกพี่ใหญ่ ตัวข้านั้นทำได้เพียงเขียนเรื่องในจินตนาการเท่านั้น เรื่องยากๆ นั้นคงมิอาจทำได้ ได้แต่หวังพึ่งพี่ใหญ่” จินหลงพยายามตอบอย่างถ่อมตัว
“อย่าถ่อมตัวไปเลย งานเขียนนั้นมิใช่เรื่องเล็กหรอก ทั่วราชอาณาจักรไร้ผู้มีจินตนาการและความสามารถสูงเช่นเจ้า แม้แต่นักปราชญ์ยังต้องยอมรับ” ไม่ถ่อมตัวแล้วจะให้อวดเก่งหรือไงเล่า! ขืนข้าพูดเช่นนั้นไปมีแต่พี่ใหญ่จะเกลียดชังข้ามิใช่หรือไร
“ข้ามิได้ถ่อมตัวไปหรอกเสด็จพี่ เพียงแค่เอ่ยความจริง เทียบกับงานราชกิจที่ท่านทำ ข้านับว่าด้อยนัก” จินหลงก้มหัวเล็กน้อยพร้อมรอยยิ้มจางๆ
“แต่ข้าได้ยินผู้คนเล่าว่าผู้ครองบัลลังก์คนต่อไปคงไม่พ้นเจ้า” องค์ชายใหญ่ปิดหนังสือแล้วจ้องตาจินหลงด้วยสายตาอ่านยาก
“นั่นคงเพียงแค่ข่าวโคมลอย ไร้มูลความจริง เสด็จพี่ก็เห็นแล้วนี่ ช่วงนี้ข้ามิได้ช่วยเสด็จพ่อทรงงานแม้แต่น้อย มีแต่นั่งเขียนหนังสือ มิเช่นนั้นก็หนีออกไปเที่ยวเล่น” จินหลงยังคงใบหน้าเปื้อนยิ้มไว้
“ก็นะ เรื่องที่ข้าได้ยินก็คงเป็นเพียงเรื่องโคมลอยดังที่เจ้าว่า เสด็จพ่อคงไม่คิดจะนำผู้สติฟั่นเฟือนมาครองบัลลังก์หรอก ทั้งยังดูเจ้าเองก็มีความสุขต่อการอยู่ในโลกของเจ้าดี” โอ้โห.. พูดงี้ต่อยกันเลยไหม!
“พี่ใหญ่ โลกเรากว้างขวางนัก จินตนาการทำให้เกิดความคิดนอกกรอบ เกิดเป็นความคิดสร้างสรรค์ การปกครองบัลลังก์มิสามารถทำได้ด้วยตนเพียงคนเดียว” จินหลงเตือนสติ ถึงอย่างไรเขากับเฟิงหยางก็ยังเป็นพี่น้องร่วมบิดา ทั้งเขายังไม่อยากให้เกิดสงครามแก่งแย่งชิงดีเช่นชาติแรก มีแต่ต้องเชื่อมสัมพันธ์ตั้งแต่ในวัยเด็ก
“ไม่หรอกน้องสี่ เจ้ายังเด็กนัก คงไม่เข้าใจว่าเงินและอำนาจซื้อได้ทุกสิ่ง” ..ใครกันแน่ที่เด็กฟร่ะ
“แต่ความภักดี หาได้ซื้อได้ด้วยเงินไม่ ท่านเข้าใจที่ข้าสื่อหรือไม่?” จินหลงพยายามดึงสติ
“นั่นเป็นเพียงความคิดของคนที่อยู่ในโลกจินตนาการเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงสุดท้ายผู้คนก็แพ้ต่อความโลภในใจ” เอิ่ม ใครกันแน่ที่อยู่ในโลกของจินตนาการ!
“ก็..แล้วแต่เสด็จพี่จะคิดแล้วกัน” จินหลงถอนหายใจ ก่อนก้มหน้าก้มตาเขียนนิยายต่อสู้กับบรรยากาศที่แสนหนักอึ้งในห้อง
ใครก็ได้เอาข้าออกไปจากตรงนี้ที๊!!
หลังองค์ชายใหญ่จากไป จินหลงจึงกลับมายังห้องนอนและปีนขึ้นไปนอนแผละบนเตียงทันที นึกอยากนอนพักสมอง แต่องครักษ์ตัวดีกลับเข้ามาก่อน
“เป็นเยี่ยงไรบ้างองค์ชาย ได้แรงบันดาลใจหรือไม่?” หย่งเล่อฉีกยิ้มเป็นเอกลักษณ์ จินหลงหันหน้ามามองผู้มาใหม่ด้วยหางตา
“กล้าถามนะ แล้วนี่เจ้าหายไปไหนมา ปล่อยให้ข้าต้องทนอยู่กับความกดดันเช่นนี้” องครักษ์หนุ่มไม่สะท้าน
“ข้าเห็นว่าองค์ชายทรงต้องการสมาธิ จึงออกไปฝึกปรือฝีมือกับหยางเค่อ” องค์ชายวัยสิบห้าปีคิ้วกระตุก
“ข้าไม่ได้ต้องการสมาธิ! ข้าต้องการความช่วยเหลืออออ” จินหลงดีดดิ้นอยู่บนเตียง ขณะที่หย่งเล่อเดินไปดูต้นฉบับบนโต๊ะ
“พระองค์ยังเขียนไปได้ไม่ถึงไหนเลยนี่ เหตุใดจึงพักแล้ว?” หย่งเล่อหันมาถามด้วยรอยยิ้ม
“อินเนอร์ไม่มา เขียนแล้วไม่อิน” จินหลงนอนหันหลังให้
“อินเนอร์กับอินแปลว่าอะไร?” หย่งเล่อยกสมุดน้อยๆ ที่จินหลงทำให้ขึ้นมาจบ
“ความรู้สึกร่วม” จินหลงตอบสั้นๆ ขณะที่หย่งเล่อจดศัพท์
“อ้อ พรุ่งนี้องค์ชายรองจะเสด็จมานะพะยะค่ะ” เจ้าตัวแสบหันขวับมาจนคอแทบเคล็ด
“ห้ะ!! พี่รองเนี่ยนะ!” โอ้มายก็อตตต ไม่โอเคคค
“ใช่ พระองค์ควรเลือกดีกว่า ว่าจะเล่นบทคนปกติหรือบทสติฟั่นเฟือน” จินหลงกุมขมับ
“เลือกไม่เจอเลยได้ไหม?” จินหลงย้อนถาม ราวกับต้องการความหวัง
“ไม่ได้”
เช้าวันต่อมา จินหลงก็แทบจะปีนหน้าต่างหนี เมื่อเขาจับรังสีอำมหิตได้จากด้านหน้าตำหนัก เหวินหลงวัยสิบแปดปีเดินหน้าบึ้งตึงเข้ามา ท่วงท่าการเดินว่องไวจนดูออกว่ามีเรื่องไม่พอใจ
“หย่งเล่อ.. เจ้าว่าข้าจะรอดไหม?” จินหลงลอบมองผ่านบานประตูพร้อมกับหย่งเล่อ
“องค์ชายรองนิ่งกว่าเมื่อก่อนนัก พระองค์อย่ามองในแง่ร้ายนักเลย” เจ้าตัวแสบถอนหายใจ ก่อนจะเดินออกไปต้อนรับพี่ชายที่ด้านหน้า
“เสด็จพี่ ไม่เจอกันเสียนาน พระองค์เป็นเช่นไรบ้าง” จินหลงฉีกยิ้มการค้า แต่เหวินหลงยังคงนิ่ง มองหน้าน้องชายอย่างไม่ชอบใจนัก
“เสด็จพ่อให้ข้ามาหาเจ้า ฮึ หากไม่เห็นแก่เสด็จแม่ข้าคงไม่มาแล้ว” เหวินหลงหันไปกระดิกนิ้วให้ทหารด้านหลัง ก่อนนายทหารจะนำดาบสองเล่มออกมา จินหลงเห็นดังนั้นจึงเงยหน้ามองพี่ชายอย่างไม่เข้าใจ
“เสด็จพี่ พระองค์จะเอาดาบออกมาทำไม?” จินหลงเริ่มเห็นว่าท่าไม่ดี ค่อยๆ ก้าวถอยไปหาหย่งเล่อ เหวินหลงจึงดึงดาบออกมาจากฝัก ให้คมด้ามสะท้อนแสงเล็กน้อย ก่อนจะจ้องตาจินหลงและเผยรอยยิ้มเย้ยหยัน
“ข้าแค่ไม่นึกว่าน้องสี่จะเป็นถึงนักเขียนชื่อดัง คิดแล้วก็น่าตะลึงนัก จึงอดห่วงไม่ได้ว่าน้องสี่จะเอาแต่นั่งหน้าโต๊ะมิได้ออกกำลัง จึงคิดจะมาช่วยฝึกร่างกายให้เสียหน่อย” โอ้ยยยย แบบนี้ให้ข้าไปทนแรงกดดันแบบเมื่อวานดีกว่า!
“หย่งเล่อ ข้าจะทำยังไงดี” จินหลงกระซิบถามเสียงเบา
“ก็แล้วแต่พระองค์สิ ฝีมืออย่างพระองค์ องค์ชายรองแค่แตะต้องยังไม่อาจทำได้” หย่งเล่อกระซิบตอบด้วยรอยยิ้ม
“จะบ้าหรือไง ขืนทำอย่างนั้นมีหวังพี่รองได้ตามจองล้างจองผลาญข้าแน่” จินหลงเถียงกลับ
“งั้นพระองค์ก็โดนซ้อมไป”
“...”
คำว่าฝึกร่างกายของเหวินหลง ก็เป็นเพียงฉากหน้าอย่างที่คาด เพราะมันคือการซ้อมกันชัดๆ! จินหลงได้แต่หลบเป็นพัลวัน แกล้งตอบโต้กลับไปบ้างพอไม่ให้อีกฝ่ายไม่รู้ว่าเขาออมมืออยู่
ตู้มมม!
ฝ่าเท้าของพี่ชายแท้ๆ กระแทกเข้าใส่ท้องน้องรักแรงจนจินหลงถึงกับจุก หากเขาไม่ได้รวบรวมพลังไว้ที่ท้อง ป่านนี้คงได้กระอักเลือดแน่
“อ่อนแอเสียจริง” เหวินหลงเย้ยหยัน จินหลงกันฟันกรอดทรุดอยู่กับพื้น ตะโกนถามผู้เป็นพี่
“ข้ามิได้อ่อนแอ! ท่านต่างที่บ้าพลังเกินไป คิดว่าจะได้ทุกอย่างมาด้วยกำลังงั้..พลั่ก!” ร่างเล็กถูกเตะลอยออกไป หย่งเล่อที่ยืนมองเริ่มกำหมัด ไม่พอใจในสิ่งที่องค์ชายรองทำ และไม่พอใจที่องค์ชายของตนยอมให้ถึงเพียงนี้
“อย่ามาบังอาจกับข้าจินหลง!” คมดาบถูกยกขึ้นมาจ่อหน้าน้องชาย ดวงตาของจินหลงไร้ความหวาดกลัว สร้างความแปลกใจให้กับเหวินหลง ทว่าดาบของเขาก็ถูกดาบของหย่งเล่อที่เข้ามาช่วยปัดออก
เคร้ง!
หย่งเล่อยืนบังจินหลงไว้ แม้ใบหน้าจะยังคงเปื้อนยิ้ม แต่กลับเย็นยะเยือก
“พระองค์ต่างหากที่บังอาจเกินไป ถึงอย่างไรองค์ชายสี่ก็ยังเป็นองค์ชายเช่นท่าน ศักดินานั้นเท่าเทียม” หย่งเล่อยืนขวางพร้อมใช้ดาบตั้งท่าสง่างามเตรียมปะทะกับองค์ชายรอง
หย่งเล่อ.. เจ้าควรมาช่วยข้าตั้งแต่ลูกเตะแรกแล้วไหม!!
“แล้วการที่เจ้าเอาดาบมาหันใส่ข้าเช่นนี้ ไม่กลัวตายงั้นรึ?” เหวินหลงเชิดหน้า หย่งเล่อจึงเหลือบมองทหารโดยรอบที่ชักดาบออกมา
“หน้าที่ของข้าคือเป็นองครักษ์ให้กับองค์ชายสี่ หากพบเจอภัยอะไร ก็มีหน้าที่ปกป้อง ไม่ใช่ยืนนิ่งเฉยดูพระองค์ถูกทำร้าย” พูดได้ดีมากหย่งเล่อ แต่จะดูดีกว่านี้หากเจ้าไม่ใช่ต้นเหตุให้ข้าต้องมาเจอเรื่องแบบเน้!!
แปะๆๆ
“ดี เป็นหมารับใช้ที่ซื่อสัตย์ดี เห็นเจ้าซื่อสัตย์เช่นนี้รองแม่ทัพอย่างข้ามีหรือจะเอาเรื่องเอาราว ทหารเช่นนี้ต่างหากที่ควรเอาแบบอย่าง” จินหลงและหย่งเล่อถึงกับกระพริบตาปริบๆ ไม่คิดว่าเหวินหลงจะมาแบบนี้
“ต่างจากคนอ่อนแอ ที่ไม่คิดจะดิ้นรน” สายตาเหยียดหยามพุ่งตรงมาที่จินหลง
“กลับ!” เหวินหลงหันหลังพลางเก็บดาบ ทิ้งให้น้องชายและราชองครักษ์ยืนงง
เหล่านางกำนัลรีบเข้ามาดูอาการจินหลงที่ยังคงเหวอ เมื่อได้สติเขาจึงเงยหน้าถามหย่งเล่อ
“สรุปพี่รองจะฝึกให้ข้าดิ้นรน หรือมาซ้อมข้าเฉยๆ เนี่ย?”
วันที่สาม ย่อมเป็นขององค์ชายสาม จินหลงตื่นแต่เช้าด้วยความตื่นเต้นที่จะได้พบพี่ชายอีกคน ในบรรดาองค์ชายทั้งสี่พระองค์ องค์ชายสามเป็นองค์ชายเพียงคนเดียวที่จินหลงคาดหวังว่าจะใช้งานได้
“นี่พระองค์...กำลังทำอะไรอยู่พะยะค่ะ?” หย่งเลอยิ้มขณะมองจินหลงนั่งชิมน้ำชาหลายสิบจอกบนโต๊ะ
“ก็ลองจิบชาดูน่ะสิ ข้าไม่รู้ว่าพี่สามจะชอบชาแบบไหน เลยต้องมาลองดูว่าอันไหนอร่อยสุด” เด็กชายตอบด้วยใบหน้าจริงจัง ต่างจากหย่งเล่อที่ต้องนวดบริเวณหว่างคิ้ว
“แล้วพระองค์จะทำเช่นนั้นไปเพื่ออะไร” จินหลงมององครักษ์ตนตาแป๋ว
“ก็ต้องทำให้พี่สามรู้สึกดีด้วยน่ะสิ เป้าหมายของข้านอกจากจะตามหาว่าที่ฮ่องเต้แล้ว ยังต้องการรวมพี่น้องให้เป็นหนึ่งด้วยนะ เจ้าก็เห็นพี่ใหญ่กับพี่รองแล้ว ยากจะตายชัก พี่สามนี่แหละญาติดีด้วยง่ายสุด” จินหลงตั้งอกตั้งใจเลือกชนิดชา ก่อนจะหันไปสั่งนางกำนัลให้นำถ้วยชาหรูออกมาใช้
ผ่านไปไม่นานองค์ชายสามจึงเสด็จมาถึง จินหลงและหย่งเล่อยังคงลอบมองออกมาจากห้อง จินหลงอ้าปากค้างทันทีที่เห็นพี่สามของตน
รูปร่างสูงสง่า ผิวขาวเป็นออร่า ใบหน้านิ่งสงบ เส้นผมสีดำยาวสยายสั่นไหวตามแรงลม ชุดที่สวมใส่ไม่ได้หรูหราอู้ฟู่แบบองค์ชายใหญ่เฟิงหยาง แต่กลับเป็นชุดที่ดูเรียบหรู องค์ชายสามฮุ๋ยเจี๋ยเดินเข้ามาด้วยท่าทางสำรวม
“นี่ถ้าพี่สามไปเป็นดารา มีหวังดังเปรี้ยงปร้างพลุแตกแหง” จินหลงเอ่ย ทำให้หย่งเล่อไม่เข้าใจ
“ดาราคืออะไร? พลุคืออะไร?” หย่งเล่อยกสมุดเตรียมจดศัพท์ฉบับจินหลง
“ดาราคือบุคคลที่ขายความสามารถทางด้านการร้องเต้นการแสดงหรือรูปลักษณ์ภายนอก พลุคือการจุดดินระเบิดขึ้นฟ้าแล้วมันก็จะกลายเป็นแสงแวววาว” จินหลงอธิบายขณะที่หย่งเล่อยืนจดศัพท์ใหม่
เมื่อฮุ๋ยเจี๋ยเข้ามาในห้องรับรองแล้ว จินหลงจึงรีบเดินไป โดยไม่ต้องรอให้นางกำนัลมาเรียก
“ขออภัยพี่สามที่ต้องรอนาน” จินหลงฉีกยิ้มแป้น องค์ชายสามจึงวางถ้วยชาลงเบาๆ ก่อนจะหันมาฉีกยิ้มให้จินหลง
“ไม่หรอกน้องสี่ ข้าเองก็เพิ่งมา มิได้รอนานอะไร” โอ้ยยยย ขอติ่งพี่สามได้ไหมมม ผู้ชายแท้ๆ ทำไมออร่าประกายได้ขนาดเน้!
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” จินหลงเอ่ย ก่อนจะนั่งลงด้านตรงข้าม เป็นองค์ชายสามที่เปิดประเด็น
“แต่เรื่องที่เจ้าคือฮุ่ยอยู่ร์จินนั้น ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลย ไม่นึกว่านักประพันธ์ชื่อดังจะอยู่ใกล้ตัวเพียงนี้” ฮุ๋ยเจี๋ยยกถ้วยชาขึ้นจิบ
“นั่นเพราะเสด็จพ่อต้องการปิดเรื่องนี้เป็นความลับ เพื่อพิสูจน์ฝีมือของข้า แต่ครั้งนี้ข้านั้นไร้แรงบัลดาลใจจะเขียนตอนต่อ จึงอยากลองคุยกับพี่ๆ ดู” ฮุ๋ยเจี๋ยเลิกคิ้วข้างหนึ่ง
“เรื่องอะไรงั้นหรือ หากข้าช่วยได้ก็จะช่วย” จินหลงฉีกยิ้ม
“ตอนนี้ข้ากำลังเขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องในรั้ววัง จึงอยากทราบว่าหากเสด็จพี่ได้กลายเป็นฮ่องเต้ ฮ่องเต้แบบไหนที่เสด็จพี่คิดว่าตัวเองจะเป็น” จินหลงยิงลูกตรง จ้องตาฮุ๋ยเจี๋ยที่ยังคงนิ่งสงบ ก่อนริมฝีปากบางจะเผยยิ้มจางๆ
“ข้าก็ย่อมอยากเป็นฮ่องเต้ที่ทำให้บ้านเมืองสงบสุขไร้สงครามไร้ปัญหา ประชาชนสามารถอยู่ได้อย่างร่มเย็น” เอาไปเลยสามผ่าน!
“แล้วเสด็จพี่จะทำเช่นไร บ้านเมืองจึงเป็นเช่นนั้น” จินหลงถามต่อ ขณะนางกำนัลเอาจานขนมมาวาง
“ไม่รู้สิ ข้าเองก็ไม่เคยคิด เพราะตัวข้าไม่ได้อยากปกครองบัลลังก์” ครั้งนี้เป็นจินหลงที่ต้องเลิกคิ้ว
“เพราะอะไรเล่า? ข้าเห็นทั้งพี่ใหญ่พี่รองต่างก็แย่งชิงบัลลังก์ มีแต่ท่านที่ไม่ต้องการ” ฮุ๋ยเจี๋ยสบตาจินหลง ก่อนจะถามต่อ
“เจ้าเองก็ไม่ได้ต้องการบัลลังก์เหมือนกันมิใช่หรือ?” จินหลงผงะ
“เหตุใดท่านจึงคิดเช่นนั้น” องค์ชายสามฉีกยิ้มจางๆ
“การแสดงออกของเจ้ามันเด่นชัดนัก งานเขียนนั้นเป็นเครื่องมือที่สามารถสร้างความเชื่อที่ผิดๆ ได้ หากเจ้าเขียนเรื่องผู้ที่เหมาะสมจะเป็นฮ่องเต้ออกไปให้ประชาชนอ่าน เจ้าก็สามารถปรับเปลี่ยนความเชื่อของประชาชนได้ หากเจ้าต้องการบัลลังก์จริง ก็คงทำไปแล้วสินะ” จินหลงกระตุกยิ้ม ก่อนจะแสร้งทำสายตาบ้องแบ๊ว
“พี่สามพูดอาราย ข้าไม่เข้าใจเลย” องค์ชายสามส่ายหน้าเบาๆ ก่อนเรียกนางกำนัลให้นำหนังสือมามอบให้จินหลง เจ้าตัวแสบกระพริบตาปริบๆ
นี่มันนิยายเขาไม่ใช่หรือไง?
ดวงตากลมโตแอ๊บแบ๊วของเด็กชายจ้องมองพี่ชายวัยสิบเจ็ดปีอย่างไม่เข้าใจนัก
“ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เซ็นและประทับตราเจ้าให้ข้าด้วยสิ”
เอางี้เลยเหรอ!!!