ตอนที่แล้วบทที่ 34 พลังอำนาจแห่งราชันย์
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 36 เรื่องไหว้วานจากองค์จักรพรรดิ

บทที่ 35 สายเลือดแห่งปฐมบุรุษ


บทที่ 35 สายเลือดแห่งปฐมบุรุษ

ผู้เป็นราชันย์ถึงกับแสดงสีหน้าขุ่นเคืองออกมาหลังจากได้ยินคำพูดของอิสตรีเบื้องหน้า ฟลอร์เลนมีแววตาที่มุ่งมั่นราวกับเตรียมใจมาก่อนแล้ว มันให้ความรู้สึกว่าถ้าโดนบังคับให้พูดใหม่เธอก็คงจะพูดคำเดิมออกมาอยู่ดี ทางด้านสไปค์เองหลังจากที่ได้ยินคำพูดของฟลอร์เลน ยิ่งทำให้เขาสับสนจนไม่รู้แล้วว่าอะไรคือเรื่องจริงกันแน่

“นี่คือสาเหตุที่ข้าไม่มีทางอยู่ร่วมกับท่านได้” ฟลอร์เลนกล่าวเสียงแข็งหนักแน่นอีกครั้ง อัชลี่ย์ถึงกับแค่นเสียงไม่พอใจออกมา

“ข้าเคยบอกเจ้ากี่ครั้งแล้วว่าเจ้าไม่ใช่มนุษย์ อย่าได้พูดอะไรแบบนั้---”

“ข้าเป็นมนุษย์!”

ฟลอร์เลนถึงกับกล้าแทรกคำเข้ามาในขณะที่อัชลี่ย์กำลังพูดอยู่ ซึ่งนี่นับเป็นการกระทำที่แสนโง่เขลายิ่ง ไม่เคยมีมารตนไหนกล้ากระทำแบบนี้มาก่อน เมื่ออัชลี่ย์จ้องเข้าไปยังดวงตาของเธอก็สัมผัสได้ถึงความคิดและปณิธานอันแรงกล้า เขารู้ว่าต่อให้พูดยังไงหญิงสาวคนนี้ก็คงจะไม่เปลี่ยนใจแน่ ๆ

ถ้าเช่นนั้นล่ะก็...

ผู้เป็นราชันย์เหล่สายตาหันไปมองยังเด็กหนุ่มที่เขายังคุยด้วยไม่จบ สีหน้าประหลาดใจของสไปค์ยังคงติดตรึงบนใบหน้าไม่หายไป และเหมือนฟลอร์เลนจะสัมผัสได้ถึงลางสังหรณ์ในแง่ลบ เธอพุ่งตัวเข้าไปขวางร่างของสไปค์เอาไว้ตามสัญชาตญาณตน อัชลี่ย์ถึงกับเดาะลิ้นไม่พอใจออกมา

หากช้าไปเพียงเสี้ยววินาทีเดียว สไปค์อาจจะถูกสังหารไปแล้ว

“ถ้าคิดจะทำอะไรเขา ก็ฆ่าข้าเสียก่อน!”

“เจ้าไม่ควรพูดคำนี้ออกมา” อัชลี่ย์ตีหน้านิ่งพลางพ่นลมหายใจอย่างเบื่อหน่าย ไม่ทันไรก็เงยหน้าขึ้นแล้วมองไปบนท้องฟ้า ที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยทัศนียภาพที่สวยงามสำหรับเขา เหล่ามารน้อยใหญ่บินว่อนไปมา สังหารมนุษย์เป็นผักปลา อัชลี่ย์หัวเราะในลำคอเพราะกำลังพึงพอใจต่อสภาพการณ์ในปัจจุบัน

“ฟลอร์เลน” แล้วพอก้มหน้าลงก็เอ่ยเสียงเรียกชื่อหญิงสาวอีกครั้ง “ข้าจะพูดอีกแค่ครั้งเดียว”

“กลับมา”

คำสั้น ๆ แต่แฝงไว้ด้วยความหนักแน่นและทรงพลังอย่างยิ่ง มันคือคำพูดที่เปล่งออกมาพร้อมกับพลังปราณระดับเก้า ร่างทั้งร่างของฟลอร์เลนกับสไปค์เหมือนถูกลูกตุ้มเหล็กถ่วงทับไม่ให้ดิ้นหลุดออกไปจากตรงนี้ ในขณะที่อัชลี่ย์ยังคงก้าวเท้าเดินเข้ามาหาอย่างเชื่องช้า มันให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าทั้งสองกลายเป็นเพียงลูกไก่ในกำมือเขาเท่านั้น

ปลายนิ้วมือทั้งห้าของราชันย์ตรงเข้าไปลูบไล้ใบหน้าของฟลอร์เลน เธอที่ถูกแรงกดดันจากพลังปราณถึงกับไม่สามารถขยับตัวไปไหนได้ ดวงตาของเธอสั่นระริก แม้จะพยายามฝืนออกแรงมากแค่ไหนก็ไม่อาจดิ้นหลุดจากพันธนาการนี้ได้เลย

พลังมันต่างชั้นกันจนเกินไป!

อัชลี่ย์คว้าเอาลำคอของฟลอร์เลนก่อนจะดึงเข้ามาหาอ้อมอกของตน จังหวะนั้นก็หันไปมองทางสไปค์เป็นสายตาเดียวราวกับต้องการจะเย้ยหยันเด็กหนุ่มที่ไร้ซึ่งกำลังจะต่อต้านสถานการณ์นี้

สายตาของสไปค์มองเห็นภาพสถานการณ์ทุกอย่างกำลังขับเคลื่อนไปโดยที่ตัวเขาเองไม่อาจออกแรงขัดขืนได้ ตัวเขาที่ฝึกฝนอย่างหนักมาตลอดสามสัปดาห์มีความมั่นใจว่าแข็งแกร่งขึ้นทั้งกระบวนท่าและพลังปราณ แต่พอเจอเข้ากับผู้ดำรงตำแหน่งราชันย์แล้ว เขากลับรู้สึกว่าตัวเองยังห่างไกลอยู่อีกมาก

ไม่มีหนทางอื่นที่จะช่วยฟลอร์เลนได้แล้วจริง ๆ เหรอ?

 

ในจุดที่ห่างออกไปไกล มารทั้งสามที่ถูกผลักออกนอกระยะกลับยังคงเฝ้ามองสถานการณ์ตอนนี้อยู่ไม่ไปไหน ความรู้สึกของพวกมันตอนนี้แม้จะเต็มไปด้วยความสะใจที่ศัตรูของตัวเองกำลังถูกนายเหนือหัวของตนสั่งสอน แต่ถ้าให้ดีก็อยากให้ตัวเองเป็นฝ่ายลงมือเองเสียมากกว่า

อาการบาดเจ็บตามเนื้อตัวของพวกมันแม้ไม่หนักหนาถึงขั้นพรากชีวิต แต่ก็สร้างอาการเจ็บภายในได้มากจนไม่สามารถเริ่มต้นต่อสู้ได้อีกในระยะเวลาอันใกล้ ทั้งที่พวกมันต่างก็แสดงพลังปราณออกมาได้ถึงระดับเจ็ด แต่การถูกพลังโจมตีที่เกิดจากพลังปราณเพียงระดับห้าของสไปค์เข้าเล่นงานนั้น มันช่างเป็นอะไรที่ชวนให้รู้สึกอัปยศเหลือเกิน

แต่มันก็เข้าใจได้ไม่ยาก...ถ้าหากว่าการจู่โจมนั้นมาจากพลังปราณไร้ลักษณ์ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกสักเท่าไรนัก

ราชันย์มารอัชลี่ย์คือผู้ที่มีพลังปราณไร้ลักษณ์ในการครอบครองเพียงหนึ่งเดียว นี่คือสิ่งที่มีเพียงมารระดับสูงเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ เนื่องจากในยุคสมัยที่เปลี่ยนไปทำให้มารรุ่นใหม่ไม่ค่อยได้พบเห็นราชันย์มารอัชลี่ย์มากเหมือนกับเมื่อพันปีก่อน เพราะตั้งแต่พ่ายแพ้ในสงครามกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ ราชันย์มารอัชลี่ย์ก็แทบไม่ปรากฏตัวออกมาอีกเลย

เฟียร์ โมเรน และไกร่า ในยุคสมัยเมื่อครั้งทำสงครามกับมนุษย์ยังเป็นมารระดับล่างที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียงและหน้าตาเหมือนกับปัจจุบัน แต่อย่างน้อยพวกมันก็อยู่ในยุคที่ได้เห็นความเกรียงไกรในการทำศึกของนายเหนือหัวผู้เปรียบเสมือนกับตำนานที่ยังมีชีวิตอยู่

ดังนั้นพวกมันย่อมรู้จักปราณไร้ลักษณ์ของอัชลี่ย์เป็นอย่างดี รวมถึงพลังของปราณไร้ลักษณ์อันทรงเกียรติและควรค่านั่นด้วย พอได้มาเห็นพลังดังกล่าวนี้อยู่ในตัวตนของเด็กหนุ่มธรรมดาคนหนึ่งขึ้นมา จึงได้ทำให้ทั้งสามตนตัดสินใจนำเรื่องนี้ไปบอกกับอัชลี่ย์ แต่คำตอบของอัชลี่ย์กลับเป็นท่าทีที่ไม่เหลียวแล เสมือนว่าข่าวที่ทั้งสามนำมาแจ้งนั้นเป็นเพียงเรื่องโกหกพกลมเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ด้วยพลังของปราณไร้ลักษณ์นั้น แม้ระดับขั้นจะน้อยกว่าปราณชนิดอื่นแต่ก็มีปริมาณความเข้มข้นของพลังไม่ด้อยไปกว่ากัน นี่คือความพิเศษที่ไม่มีทางที่ปราณชนิดไหนจะมีได้ หากต้องปะทะกับปราณไร้ลักษณ์ระดับหนึ่ง คุณอาจจะต้องสู้ด้วยปราณทั่วไปในระดับสองถึงสาม หรือหากสู้กับปราณไร้ลักษณ์ในระดับห้า คุณคงจะต้องใช้พลังปราณชนิดอื่นในระดับที่มากกว่าเจ็ดขึ้นไป

การที่พลังความสามารถแบบนั้นอยู่ในการครอบครองของนายเหนือหัวอย่างอัชลี่ย์ ทำให้เหล่ามารน้อยใหญ่ต่างคิดเป็นเสียงเดียวกันว่า คู่ควรแล้ว แต่พอพบว่าพลังแบบเดียวกันนั้นมีอยู่ในการครอบครองของมนุษย์ธรรมดาอีกคนหนึ่งเช่นกันมันทำให้เกิดความรู้สึก น่ารังเกียจสิ้นดี ขึ้นมา

ช่วยกำจัดเจ้ามนุษย์นั่นทีเถอะ!

มารทั้งสามต่างวิงวอนเรื่องนี้ออกมาจากใจตน

 

ขณะที่อัชลี่ย์กำลังพาร่างของฟลอร์เลนกลับไป สไปค์ซึ่งไม่อาจขยับร่างกายได้กำลังพยายามวิงวอนต่ออำนาจพลังทุกสิ่งอย่าง ช่วยดึงเอาฟลอร์เลนกลับมายังที่ตรงนี้อีกครั้ง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีอำนาจพลังอื่นใดช่วยได้เลย ชายหนุ่มกัดฟันประชดความอ่อนแอของตนเอง ภาพรอยยิ้มแสยะของอัชลี่ย์ผุดขึ้นมาในหัว ราวกับจะตอกย้ำตัวเขาไปตลอดกาล

ทันใดนั้นก็เหมือนมีปาฏิหาริย์ปรากฏขึ้น เบื้องบนเวหามีแสงสว่างเจิดจ้าสีทองชั่วพริบตาหนึ่ง อัชลี่ย์สังเกตเห็นแสงนั้นจากปลายหางตา วินาทีนั้นเองที่มีร่างของชายผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้า ราวกับเป็นพระเอกขี่ม้าขาวในจินตนาการของสตรี แม้ใบหน้าของเขาเมื่อมองจากมุมหนึ่งจะดูงดงามยิ่งกว่าหญิงสาวบางคนอีกก็ตาม

เรือนผมสีเงินยาวเคลื่อนคล้อยตามแรงลมที่พัดโหมกระหน่ำ แววตาเรียวสวยในยามปกติบัดนี้กลับคมกริบขึ้นราวกับถูกเปลี่ยนเป็นใบมีด ทั่วร่างของเขาแผ่อำนาจของปราณมังกรสีทองอร่ามซึ่งเต็มไปด้วยบารมีแห่งพลังทั้งหมดทั้งมวล ราวกับเป็นขั้วตรงข้ามปราณไร้ลักษณ์ของอัชลี่ย์ซึ่งเต็มไปด้วยความดำมืดอันไร้ก้นบึ้ง

บุรุษผู้นั้นคือเจ้าตำหนักอัสนี บาลล์!

สีหน้าของอัชลี่ย์ดูแปลกไป ใบหน้าของบาลล์รวมทั้งพลังปราณสีทองทำให้ตัวเขาเหม่อลอยไปชั่วขณะ

“เขี้ยวมังกรเหิน!”

เหมือนมีมังกรทองปรากฏตัวขึ้นแล้วตวัดหางใส่อัชลี่ย์จนกระเด็น พลังปราณมังกรของบาลล์ถึงกับทำให้อัชลี่ย์หวนนึกถึงอดีตสมัยที่เคยต่อสู้กับปฐมบุรุษผู้เป็นจักรพรรดิองค์แรกของเผ่าพันธุ์มนุษย์ บุรุษผู้มอบความปราชัยเพียงหนึ่งเดียวให้กับตัวเขา จอมจักรพรรดิผู้เกรียงไกรคนนั้น

ซีเสี่ยวหลง!

ร่างของอัชลี่ย์หยุดกลางอากาศก่อนจะร่อนตัวลงเท้าสัมผัสพื้นอีกครั้ง บาลล์ดึงร่างของฟลอร์เลนกลับมา พอแรงกดดันจากอัชลี่ย์ถูกบาลล์ทำลายไปทำให้ฟลอร์เลนและสไปค์กลับมามีอิสระในการเคลื่อนไหวอีกครั้ง ทั้งสามต่างตั้งท่าต่อสู้เตรียมพร้อมรับมือมารร้ายเบื้องหน้า

อัชลี่ย์มองมาที่บาลล์ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

ไม่ว่าจะทั้งโซเรนหรือเอโนล่าต่างก็มีปราณมังกรเหมือนกับบาลล์ด้วยกันทั้งนั้น หนำซ้ำยังเป็นปราณระดับเก้าด้วยซ้ำไป แต่ความรู้สึกที่สัมผัสได้จากตัวตนของบาลล์กลับต่างกับสองคนนั้นโดยสิ้นเชิง บางทีอาจเป็นเพราะลักษณะบุคลิกหรือการแต่งตัว ทรงผม ทุกอย่างมันคล้ายคลึงกับซีเสี่ยวหลงไปหมดจนอดไม่ได้ที่จะเผลอปล่อยช่องว่างออกมาเมื่อแรกเห็น

“เฮ้ จะดีเหรอที่ตรงเข้ามาทางนี้น่ะ” บาลล์เอ่ยออกมาเมื่อเห็นผู้เป็นราชันย์กำลังก้าวเท้าเข้ามาทางนี้เรื่อย ๆ “เดี๋ยวจะกลับไม่ได้เอานะ?”

“พูดเรื่องอะไร?” อัชลี่ย์ถามอย่างสงสัย

“ไม่ได้สังเกตรึไงว่าสมุนมารของเจ้าเริ่มลดน้อยลงทุกทีจนแทบจะหายไปจนหมดอยู่แล้ว?”

คำพูดของบาลล์ทำให้อัชลี่ย์ถึงกับเปลี่ยนสีหน้า เขากระจายพลังของตนออกเพื่อสัมผัสตัวตนของบรรดาสมุนมารจำนวนมากแล้วก็ต้องพบว่าจำนวนที่ควรจะทยอยปรากฏออกมาเรื่อย ๆ จากจุดเชื่อมต่อนั้นได้หยุดไปแล้ว...

เกิดอะไรขึ้น?

“ใช้เวลาอยู่นานเลย กว่าจะทำลายจุดเชื่อมมิติระหว่างโลกของมนุษย์กับโลกของมารอย่างพวกแกได้ แล้วทำลายมันทิ้งซะ”

“ไม่มีทาง ด้วยพลังระดับเจ้าต่อให้มีอีกสักสิบคนก็ทำลายจุดเชื่อมต่อไม่ได้หรอก”

“มันก็ใช่ แต่ถ้าเกิดว่าไม่ได้มีแค่ข้าคนเดียวล่ะ?” เมื่อสิ้นสุดเสียงของบาลล์ พลันปรากฏเงาร่างของมนุษย์จำนวนมากกำลังลอยตัวลงมาจากเบื้องบนเวหา แววตาของอัชลี่ย์ฉายแววตื่นตระหนกออกมาเมื่อได้รับรู้ว่าบุคคลที่ปรากฏตัวนับร้อยนับพันล้วนเป็นนักรบที่ตรงมาจากจักรวรรดิซีทั้งหมด

แต่ที่น่าติดใจคือบุรุษร่างเล็กบางที่ยืนอยู่เบื้องหน้าคนกลุ่มนั้นต่างหาก

พลังปราณสีทองเข้มที่ฉายออกจากร่างของหนุ่มน้อยคนนั้น ช่างให้ความรู้สึกที่แสนคุ้นเคยยิ่งนัก

“จงถอยออกไปจากโลกของพวกเราเสีย มิเช่นนั้นแล้วอย่าหาว่าเราไม่เตือน”

คำกล่าวจากหนุ่มน้อยคนนั้นแม้ฟังดูเหมือนไร้ซึ่งพลัง แต่กลับแฝงไว้ด้วยอำนาจที่ฝังลึกลงไปในห้วงของจิตใจ

“ถ้าหากขาดอากาศของโลกแห่งมารที่หลั่งไหลผ่านจุดเชื่อมต่อล่ะก็ มารอย่างพวกเจ้าก็ไม่สามารถคงอยู่บนโลกของพวกเราได้นานนัก เรื่องนี้เจ้าน่าจะรู้ไม่ใช่หรือ”

“ถึงกับรู้เรื่องแบบนี้ เจ้าเป็นใครกัน?”

หนุ่มน้อยแค่นเสียงหัวเราะ ใบหน้าขาวเนียนเกลี้ยงเกลาราวกับหยกเนื้อดีนั่นให้ความรู้สึกถึงชนชั้นที่สูงศักดิ์หาใครเทียบเท่า และไม่รู้ว่าทำไม...ใบหน้าของเขากลับทำให้อัชลี่ย์รู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด

สถานการณ์ปัจจุบันเริ่มเปลี่ยนไป เหล่ามารที่ปรากฏตัวออกมาเริ่มถูกไล่ล่าสังหารโดยกลุ่มนักรบปราณจากจักรวรรดิแล้ว สถานการณ์เริ่มพลิกกลับตาลปัตร แม้ว่าตัวของอัชลี่ย์จะมีพลังอันแข็งแกร่งพอจะจัดการทุกคนที่อยู่ที่นี่ได้ แต่มันก็ยังเสี่ยงจนเกินไปถ้าหากเขาไม่สามารถกำจัดพวกมันทั้งหมดได้ในระยะเวลาที่เหลืออยู่

เป็นความจริงที่ว่าอากาศของโลกมนุษย์นั้นเป็นภัยต่อตัวเขา เหตุนั้นจึงทำให้เหล่ามารไม่ค่อยปรากฏตัวบนโลกสักเท่าไรนัก หากปรากฏตัวขึ้นมาก็คงใช้เวลาอยู่ไม่นานแล้วก็ต้องกลับไปเหมือนเดิม

แม้อัชลี่ย์จะมีฐานะเป็นถึงราชันย์ก็ไม่อาจลบล้างข้อเท็จจริงนี้ได้ นั่นเป็นเพราะว่า...

“ช่างเป็นบัญญัติที่น่ารังเกียจ”

อัชลี่ย์ส่งเสียงหัวเราะเหมือนต้องการจะประชดเรื่องบางเรื่อง เขานึกถึงใบหน้าของปฐมบุรุษผู้ที่เคยเอาชนะเขาเมื่อพันกว่าปีก่อนขึ้นมา

ในตอนนั้นหลังจากที่มนุษย์เอาชนะสงครามได้ จักรพรรดิซีเสี่ยวหลงได้ใช้อำนาจพลังของตนสร้างให้โลกมนุษย์ถูกคุ้มกันไว้ด้วยบัญญัติพิเศษที่จะทำให้เหล่ามารไม่มีสิทธิ์เข้ามาย่างกรายที่นี่ได้อีก แม้นานวันเข้าพอผ่านมาพันกว่าปีจะทำให้พลังบัญญัตินั้นอ่อนแอลง แต่ก็ยังส่งผลต่อมารในการอาศัยอยู่ที่นี่ในระยะยาวอยู่เหมือนเดิม

“อย่างงี้นี่เอง”

อัชลี่ย์มองเข้าไปยังดวงตาของหนุ่มน้อยผู้นั้น และสลับไปยังกลุ่มนักรบปราณที่เปรียบเหมือนกับราชองครักษ์พิทักษ์กายจำนวนมาก พอมองกลับไปที่บาลล์อีกทีหนึ่งก็เหมือนจะคิดอะไรออกแล้ว

“เจ้าก็คือทายาทรุ่นปัจจุบันสินะ”

หนุ่มน้อยยิ้มพลางพยักหน้ากล่าวกลับไป

“ข้าคือซีลู่หนิง จักรพรรดิคนปัจจุบัน ทายาทแห่งองค์จักรพรรดิซีเสี่ยวหลงตามที่เจ้าเข้าใจ”

อัชลี่ย์พยักหน้าเหมือนเข้าใจได้ เท่านี้เรื่องที่เขาสงสัยก็พลันกระจ่างขึ้นมา

หากเป็นพลังอันสืบทอดมาจากสายเลือดของซีเสี่ยวหลงล่ะก็... ไม่แปลกเลยหากจะทรงอำนาจจนถึงขั้นที่สามารถทำลายจุดเชื่อมต่อระหว่างสองโลกนี้ได้ ส่วนบาลล์ที่มีกลิ่นอายคล้ายคลึงกับซีเสี่ยวหลงตามที่อัชลี่ย์รู้สึกนั้นก็คงได้รับพลังมาจากจักรพรรดิหนุ่มคนนี้นั่นเอง

ช่วยไม่ได้...

ผู้เป็นราชันย์หันสายตาไปทางสตรีที่เขาปรารถนาจะดึงมือกลับมา แต่สายตาของเธอกลับแสดงเจตนารมณ์แน่นหนาว่าไม่มีทางยอมกลับไป หากจะใช้กำลังล่ะก็ อัชลี่ย์คงจะต้องฝ่าด่านกำแพงองครักษ์รวมถึงการต้องปะทะกับพลังอำนาจที่เป็นถึงสายเลือดของซีเสี่ยวหลงคนนั้น แค่คิดก็รู้สึกว่ามันยังเร็วเกินไปหน่อย

ยังหรอก...ยังไม่ถึงเวลานั้น

ผิวอากาศด้านหลังส่งเสียงร้องลั่นเปรี๊ยะก่อนที่จะถูกฉีกขาดออกมา ปรากฏประตูมิติสีม่วงอมดำขึ้นเบื้องหลังของอัชลี่ย์ ทุกคนในที่นี้ต่างสัมผัสได้ถึงอำนาจพลังอันมหาศาลสุดหยั่งถึงของบานประตูนั้นจนขนลุกซู่ไปตาม ๆ กัน อัชลี่ย์ก้าวเท้าเดินเข้าไปภายในบานประตูดังกล่าวนั้นก่อนจะแสยะยิ้มและขยับริมฝีปากเหมือนจะกล่าวคำพูดบางอย่างทิ้งท้าย หากแต่มันไม่มีเสียงใดหลุดลอยออกมา

มีไม่กี่คนที่มองเห็นและอ่านริมฝีปากนั้นได้ทัน

เจ้าหนีชะตากรรมนี้ไม่พ้นหรอก บุตรีแห่งข้า...

และในทันทีที่ประตูมิติปิดตัวลง ทุกผู้คนในที่แห่งนี้ก็สามารถสูดลมหายใจเข้าปอดได้อย่างเป็นปกติเสียที

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด