บทที่ 28 : ศรเหมันต์
บทที่ 28 : ศรเหมันต์
“ชั้นมรกต? เรื่องจริงใช่มั้ยเนี่ย” เสียงของนักผจญภัยประสบการณ์สูง หนึ่งในกรรมการเอ่ยขึ้นบนที่นั่งของตัวเองอย่างไม่เชื่อสายตา ว่าบัดนี้ เพื่อนรวมอาชีพ ซึ่งเกือบจะเรียกได้ว่าเป็นคู่แข่งในฐานะนักผจญภัยอย่างเอเดล จู่ๆ ก็กระโดดข้ามหัวเขาขึ้นไปเป็นระดับอัญมณี
“ค่ะ เรื่องจริง อัตตะศิลาของคุณเอเดลเพิ่งจะเลื่อนระดับเมื่อเช้านี้เอง” นักวิเคราะห์สาวกล่าวตอบง่ายๆ ส่วนสายตาจับจ้องไปยังบุคคลที่กำลังถูกกล่าวถึงในสนามทรายอย่างพินิจ ระหว่างที่คู่ประลองทั้งสองกำลังยืนไว้เชิงดูท่าทีกันอยู่
ฝ่ายหนึ่งแสดงออกด้วยความนิ่งเฉยเหมือนปกติ ภายนอกดูไม่เหมือนกำลังเตรียมพร้อมต่อสู้เลยแม้แต่น้อย หากแต่ด้านใน ฮอรัสเร่งส่วนรับประสาทสัมผัสขึ้นมาจนเต็มที่ระดับพร้อมรบ เพราะรู้แล้วว่าลูกดอกที่พุ่งออกจากคันศรของเอเดลตอนนี้รวดเร็วกว่าเดิมมากหลายเท่า คงยากที่จะระบุความเร็วของศรออกมาให้ชัด แต่จากที่เขาเห็นมันอาจเร็วได้ถึงสองสามร้อยเมตรต่อวินาที เทียบได้กับการสะบัดหนามของมังกรไม้หนึ่งในอสูรระดับจอมทัพในมหาสงครามเลยด้วยซ้ำ
ทั้งหมดนั้นต้องยกความชอบให้กับกลไกทดกำลังอันซับซ้อนที่ช่วยลดทอนแรงรั้งจากปีกศรซึ่งสร้างจากโลหะคืนตัวกับอักขระเสริมแกร่ง หากไม่ได้กลไกอันชาญฉลาดจากนักประดิษฐ์ชาวช่างผู้สันทัดผสมรวมกับฝีมืองานโลหะอันฉกาจฉกรรจ์ มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสามารถนำวัตถุดิบดังกล่าวมาสร้างเป็นคันศร เพราะคงแข็งเกินกว่าใครจะขึ้นคันรั้งได้
แต่ถึงจะมีกลไกที่ว่าแล้ว ความแข็งของธนูคันนี้ก็ยังนับมากเกินกว่าคนทั่วไปจะใช้งานได้ง่ายๆ อยู่ดีเพราะมันถูกออกแบบมาสำหรับคนที่แข็งแรงและผ่านการฝึกยิงธนูมาตั้งแต่เด็กๆ อย่างเอเดลเท่านั้น
ทว่าความรุนแรงของลูกธนูไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรเลย เมื่อเทียบกับความสามารถเพิ่มเติมของมันที่เป็นการเสริมเขี้ยวเล็บครั้งใหญ่ให้กับเอเดล เพราะมันคือการโจมตีแบบพิเศษที่ผสานรูปแบบของเวทมนตร์เข้ามา
“ได้ไง?” นักผจญภัยหนึ่งในกรรมการคนเดิมเอ่ยคำถามต่อถึงสาเหตุ ไม่ไม่ยอมละสายตาจากภาพของทั้งสอง ด้วยกลัวจะพลาดช่วงสำคัญ เช่นกันกับคนตอบที่ก็ตอบโดยไม่มองหน้าคนถามแต่จดจ่ออยู่กับการประลอง
“ด้วยปัจจัยภายนอกค่ะ ในที่นี้คือธนูคันใหม่” ไอน์ว่า
“แค่ธนูเนี่ยนะ?!”
สุดท้ายเมื่อได้ฟังคำตอบเช่นนั้น นักผจญภัยก็ถึงกับหันหน้ามาทางชาวช่างสาวอย่างไม่เชื่อหู เพราะตัวเขาและเอเดลต่างก็เป็นนักผจญภัยที่ไม่อาจก้าวข้ามระดับหยกไปได้ไม่ว่าจะพยายามฝึกหนักเพียงใดเหมือนกันมาก่อน
เขารู้ดีว่ากำแพงหยกนั้นสูงเพียงใด ถึงจะยอมรับว่าเอเดลมีพรสวรรค์และทักษะที่เหนือกว่าระดับหยกทุกคนรวมทั้งเขา แต่การพัฒนาก้าวผ่านระดับหยกไปได้เพียงแค่เปลี่ยนอาวุธใหม่นี่มันก็เป็นเรื่องที่ฟังไม่สมเหตุสมผลเกินไปหน่อย
นั่นเพราะเขายังไม่ทันได้สังเกตเห็นพื้นสนามทรายตรงจุดที่ศรของเอเดลปักจนมิดว่าตอนนี้เริ่มมีน้ำแข็งเกาะ จนไอน์ต้องอธิบายให้ฟัง
“จะเรียกว่า แค่ คงไม่ได้หรอกค่ะ เพราะจริงๆ แล้วธนูคันใหม่ของคุณเอเดล ไม่ใช่แค่ธนูแต่ถือว่าเป็นไอเทมเวทมนตร์ระดับสูง” นักวิเคราะห์สาวอธิบายพร้อมกับชี้นิ้วให้อีกฝ่ายเห็นอำนาจของศรเหมันต์ที่สามารถเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิให้ลดต่ำลงได้อย่างรวดเร็ว “เราลงทุนไปกับมันเยอะมากเลยละค่ะ” เธอพูดต่อ พร้อมกับหันมองหน้าอีกฝ่ายที่ยังตะลึงตาตั้งกับผิวทรายที่จับเป็นน้ำค้างแข็ง
“จริงๆ ฉันเองก็คิดเอาไว้นานตั้งแต่ตอนที่วัลเจอร์หายตัวไปแล้ว ว่าสมาคมเราจำเป็นต้องมีนักผจญภัยระดับอัญมณีที่ใช้งานได้ และทางที่เป็นไปได้ที่สุดก็คือการเลื่อนระดับของนักผจญภัยชั้นหยกที่เรามีอยู่ แต่การลงทุนกับไอเทมเวทมนตร์ระดับสูงที่สามารถพัฒนาขีดความสามารถของผู้ใช้ให้สูงขึ้นได้ขนาดนั้นเป็นอะไรที่มีความเสี่ยงในหลายๆ ด้าน ทั้งเรื่องทรัพยากร ทั้งโอกาสล้มเหลว แถมมันไม่การันตีด้วยว่าจะเข้ากันได้กับผู้ใช้รึเปล่า ก็เลยพับโครงการเอาไว้นานจนได้ทุนมานี่แหละค่ะ” ไอน์กล่าวต่อถึงความสัมพันธ์ระหว่างไอเทมเวทมนตร์และระดับของอัตตะศิลา
ด้วยอย่างที่รู้กันดี อัตตะศิลาหรือหินแห่งตัวตนคือสัญลักษณ์ซึ่งสะท้อนอัตลักษณ์ตัวตนของผู้ถือครองออกมาอย่างเที่ยงแท้แน่นอนไม่อาจบิดเบือนได้ ซึ่งนับตั้งแต่มันถูกค้นพบก็มีผู้คนมากมายที่พยายามศึกษาอัตตะศิลามาตลอด แต่ก็ไม่เคยมีใครเข้าใจการทำงานจริงๆ ของมันเลยแม้แต่คนเดียว ข้อมูลของมันในตอนนี้เกือบทั้งหมดยังเป็นเพียงทฤษฎีที่ไม่มีหลักฐานพิสูจน์ แต่ก็ไม่มีข้อหักล้าง
แต่อย่างหนึ่งที่แน่นอนคือมันสามารถเปลี่ยนสัณฐานธาตุของตัวเองเป็นลำดับขั้นตามทักษะและความสามารถของผู้ถือครอง ไล่ขึ้นไปจาก หินอ่อน สู่ อาเกต สู่หยก แล้วจึงเป็น มรกต ไพลิน และทับทิมตามลำดับ และเมื่อเปลี่ยนแล้วมันจะไม่เปลี่ยนกลับต่อให้เจ้าของอ่อนแอลงหรือตายก็ตาม
ซึ่งคำว่า ทักษะและความสามารถ ที่ว่า จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีใครรู้เลยว่าอัตตะศิลาวัดค่าเหล่านั้นจากปัจจัยใดบ้าง และมันวัดค่าได้จริงหรือไม่อย่างไร เพราะระดับขั้นของอัตตะศิลาหลายครั้งก็ไม่ได้วัดเพียงแค่ความสามารถในการต่อสู้อย่างเดียว แต่อาจจะรวมไปถึงคุณค่าและทักษะด้านอื่นๆ ด้วย บ่อยครั้งที่ผู้ถือครองอัตตะศิลาระดับหินด้วยกันที่ขั้นต่ำกว่าสามารถเอาชนะผู้ที่อยู่ขั้นสูงกว่าได้ในการต่อสู้
แต่หากพูดถึงระดับอัญมณีแล้วมันคืออีกเรื่องหนึ่งไปเลย เพราะช่องว่างระหว่างระดับหยกและมรกตนั้นห่างกันเกินไป ลำพังการฝึกฝนทักษะร่างกายนั้นไม่เพียงพอ เพราะการจะขึ้นไปยืนอยู่เหนือขีดจำกัดความเป็นคนต้องใช้อะไรมากกว่านั้น นอกเหนือจากความพยายามแสนสาหัส ยังต้องมีพรสวรรค์ บ้างก็อาจพึ่งโชคชะตานำพา แต่สำหรับเอเดลมันคือการใช้ทางลัดที่เรียกว่าไอเทมเวทมนตร์
ตามอย่างนิยามเวทมนตร์โดยทั่วไปที่ทุกคนรู้อยู่แล้ว มันคือศาสตร์แห่งการบิดพลิ้วเปลี่ยนแปลงความจริง ผู้ใช้เวทมนตร์คือผู้ที่อยู่เหนือธรรมชาติความเป็นไป ลำพังแค่ใช้เวทมนตร์ได้ ไม่ต้องเลอเลิศก็แทบจะถือว่าเป็นการการันตีอัตตะศิลาชั้นอาเกตหรือหยกอยู่แล้ว จึงเป็นที่น่าสังเกตว่าระดับอัญมณีเกือบทุกคนหากไม่ใช้เวทมนตร์ได้อย่างชำนาญก็มักจะต้องมีสิ่งใดที่เกี่ยวข้อง ไอเทมเวทมนตร์เองก็ถือเป็นหนึ่งในนั้น
“ไม่ต้องน้อยใจหรอกค่ะ เราสั่งวางแปลนอักขระเวทสำหรับสร้างไอเทมเวทมนตร์เอาไว้สามชิ้นสำหรับระดับหยกทุกคนอยู่แล้วค่ะ แต่จากการประเมินคุณเอเดลมีโอกาสมากที่สุดที่จะสามารถพัฒนาระดับอัตตะศิลาได้เราก็เลยทำให้คุณเอเดลก่อน...” ไอน์ว่ายิ้มๆ เมื่อเห็นนักผจญภัยข้างๆ ทำหน้านิ่งใส่คล้ายมีอะไรในใจแต่ไม่กล้าพูดออกมาเป็นมารยาท จึงชิงพูดอธิบายขึ้นมา ก่อนอีกฝ่ายจะยักไหล่เสแสร้งเหมือนไม่ได้สนใจทั้งที่จริงๆ กำลังเนื้อเต้น
ฉับพลันราวกับตั้งใจ ในช่วงที่กรรมการผู้สังเกตทั้งสองลืมตัวไม่ได้สนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นเอง การลองเชิงระหว่างเอเดลและฮอรัสก็จบลง ครึ่งเอลฟ์สาวเหนื่อยที่จะรั้งรอให้อีกฝ่ายเริ่มเปิดฉากโจมก่อนแล้วจึงเปลี่ยนเป็นฝ่ายที่จู่โจมเข้าไปแทน
ในพริบตาเธอคว้าลูกธนูขึ้นพร้อมกันสามดอกแล้วเหนี่ยวสายรั้งยิงเข้าใส่ฮอรัสตรงๆ โต้งๆ ไม่ได้ใช้เทคนิคแพรวพราวใดๆ เพราะจุดประสงค์คือเธอตั้งใจทำให้อีกฝ่ายเคลื่อนจากจุดของตัวเอง แต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้ผล
ส่วนรับสัมผัสบนดวงตาของฮอรัสจัดการประมวลภาพออกมาอย่างรวดเร็ว เขาเพียงแค่ก้าวเท้าเบี่ยงลำตัวมองหาช่องว่าง ศรทั้งหมดก็พลาดเป้าไปโดยที่เขาไม่ได้เคลื่อนจากจุดเดิมเลยแม้แต่น้อย สร้างความขุ่นเคืองให้กับเอเดลมากขึ้นไปอีก
เธอแค่นเสียงคำรามในคอ แล้วเปลี่ยนรูปแบบการจู่โจมใหม่ คราวนี้เปลี่ยนเป็นการยิงแบบหวังผลทีละหนึ่งดอกแต่ต่อเนื่องติดกันอย่างทันท่วงทีและเน้นการใช้งานความสามารถของธนูมากขึ้น จนศรทุกดอกขาวโพลนตั้งแต่ยังไม่ได้ทันออกจากโกร่งธนู
เอเดล จัดการยิงศรขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างต่อเนื่อง สลับกับยิ่งเข้าใส่ฮอรัสโดยตรง บางส่วนก็ยิงแฉลบออกด้านข้างตามแนวลมหมายจะหน่วงเวลาปะทะของลูกดอก
ดูผิวเผินเหมือนเธอกำลังยิงธนูอย่างสะเปะสะปะ ทว่าลูกดอกที่พุ่งออกไปด้านข้างนั้นถูกจัดวางวิถีเอาไว้หมด ผ่านสายตาเฉียบคมแบบเอลฟ์และประสบการณ์ระดับที่สามารถอ่านการเคลื่อนไหวของลมและความชื้นขาดอย่างหมดจด
ฝ่ายฮอรัสเองพอรู้ว่าเอเดลเริ่มเอาจริงแล้ว ก็เอาจริงบ้าง เขาใช้ความเร็วสิบต่อสิบระดับเกือบจะทัดเทียมกับตอนที่ต่อสู้กับกลุ่มนักผจญจากสภาเพื่อทำการปัดป่ายและหลบหลีกลูกศรของเอเดลที่ประเดประดังเข้ามาทุกทิศทุกทาง
แต่ยิ่งใช้ฝ่ามือและท่อนแขนปัดป่ายลูกธนูมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งค้นพบว่ามันเริ่มยากขึ้นทุกที เพราะเพียงแค่สัมผัสโดนเล็กน้อยก็ทำให้ชิ้นส่วนบริเวณนั้นเริ่มมีน้ำแข็งจับ
ถึงแม้ว่าความเย็นที่จับไปทั่วจะไม่ได้สร้างความลำบากอะไรนัก เพราะน้ำแข็งที่เกาะตามชิ้นส่วนยังไงก็เป็นแค่ความชื้นในอากาศที่กลั่นตัวเป็นน้ำค้างแข็ง มันไม่ใหญ่พอจะทำให้ข้อต่อติดขัดได้ หรือต่อให้เป็นน้ำแข็งทั้งก้อนมันก็คงไม่มีปัญหาอะไรอยู่ดีเมื่อเทียบกับพละกำลังขนาดที่สามารถบดขยี้หินศิลาให้เป็นผุยผงได้สบายๆ
ปัญหาจริงๆ คือการที่ยิ่งปล่อยทิ้งเอาไว้นานเท่าไหร่อุณหภูมิบริเวณนั้นก็ยิ่งเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ จนแม้แต่หุ่นสงครามที่ร่างกายเป็นวัสดุเทียมอย่างไม้และโลหะก็ยังเริ่มสัมผัสได้ถึงความผิดปกติระดับอันตราย เมื่อชิ้นส่วนต่างๆ ของเขาเริ่มหดตัวฉับพลัน
เสียงปริแตกดัง ‘กร๊อบแกร๊บ’ เหมือนไม้หักดังขึ้นไม่หยุดทุกวินาทีเมื่อเปลือกนอกของเขาค่อยๆ หดตัวบดกันเองอยู่ภายใน แถมยิ่งเคลื่อนไหวเร็วเท่าไหร่มันก็ยิ่งทำลายกันเองมากเท่านั้น ถ้าหากเป็นสถานการณ์ปกติในการรบหรือต่อสู้ ทั่วไปการสูญเสียส่วนปกคลุมเปลือกนอกไปคงไม่ใช่ปัญหาเพราะยังไงเขาก็ไม่ได้ใช้มันอยู่แล้ว
ทว่าตอนนี้สถานการณ์มันต่างออกไป สมองของเขากำลังประเมินล่วงหน้าไปถึงความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายกับโครงร่างโลหะในสภาวะเย็นจัด
แน่นอน โลหะที่ประกอบเป็นร่างของเขาอาจนับว่าแกร่งและทนทานที่สุดก็จริง แต่อย่างไรมันก็เป็นโลหะและจุดอ่อนของโลหะ โดยเฉพาะโลหะที่แข็งแกร่งทั้งหลายนั้นคือความเย็นจัดจนเกินไป ทำให้โครงสร้างเกิดความตึงตัวจนเปลี่ยนสภาพ และเมื่อถึงจุดหนึ่งมันอาจเปราะบางจนรับน้ำหนักตัวเองไม่ไหวด้วยซ้ำ และนั่นทำให้ฮอรัสต้องหลีกเลี่ยงการสัมผัสปัดป่ายศรแล้วหันไปใช้การหลบหลีกตามมุมต่างๆ มากขึ้น
“ฮัดชิ้ว!! ชะ ฉันว่าเราควรจุดไฟผิงหรือไม่ก็ต้องหาเสื้อที่หนากว่านี้หน่อยแล้ว” ไอน์พูดเสียงสั่นออกมาด้วยความหนาว เพราะบัดนี้ทั่วทั้งสนามทรายมีลูกศรของเอเดลปักอยู่ทั่วไปหมด จนมันพานเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิโดยรอบไปด้วย
กระนั้นสายตาก็ยังจับจ้องที่การต่อสู้ของทั้งคู่อย่างสงบ ตั้งใจ เพื่อพิเคราะห์ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นให้ลึกซึ้ง
เพราะดูผิวเผินเหมือนเป็นการโจมตีอยู่ฝ่ายเดียวของเอเดล ซึ่งดูจะทำให้ผู้ชมส่งเสียงดังด้วยความชอบใจ เพราะใครๆ ก็ชอบมวยรองกันทั้งนั้น แต่หากมองให้ลึกจะเห็นว่าฮอรัสยังไงก็ยังเป็นต่อในสถานการณ์นี้เพราะเขาอึดกว่า เร็วกว่า เคลื่อนไหวได้ไม่รู้จักเหนื่อยอีกทั้งเอเดลก็ยังมีลูกธนูจำกัด แถมการยิงออกไปในแต่ละครั้งต้องใช้พลังงานไม่น้อย ยังไม่นับรวมเรื่องพลังเวทมนตร์ที่ถูกสูบเอาไปหล่อเลี้ยงคันศรโดยไม่รู้ว่ามันจะหมดลงเมื่อไหร่
ทว่านักวิเคราะห์สายตาคมอย่างเธอที่รู้จักเอเดลมาตั้งแต่เด็กแทบจะโตมาด้วยกัน ย่อมเห็นอะไรที่ซ่อนอยู่ลึกกว่านั้น เพราะลูกดอกทั้งหลายที่เธอยิงออกมาแล้วเหมือนจะพลาดเป้าไปปักตามพื้นตามกำแพงของสนามทราย หากดูให้ดีจะเห็นว่ามันมีแบบแผนเป็นการจงใจเผื่อสถานการณ์ไว้ตั้งแต่แรก
อีกทั้งไม่ใช่ว่าทิศทางการขยับเคลื่อนไหวหลบหลีกของฮอรัสเป็นสิ่งที่เอเดลจงใจแต่แรกหรอกหรือ เพราะระลอกของการโจมตีต่อเนื่องนั้นมีช่องทางให้หลบจำกัด หากว่าเอเดลควบคุมช่องหลบเหล่านั้นได้ก็หมายความว่าฮอรัสกำลังเคลื่อนไหวเดินตามทางที่เอเดลวางเอาไว้เหมือนถูกจูงจมูก
แต่ขณะเดียวกัน ฮอรัสเองก็ทรงพลังเพียงพอจะฉีกกระชากทำลายโซ่จูงของเอเดลออกได้ไม่ยาก ไม่ว่าแผนที่เอเดลวางเอาไว้คืออะไร แต่ถ้าหากฮอรัสรู้ตัวและเริ่มเปิดฉากจู่โจมขึ้นมากลางคันมันจะพังไปไม่เป็นท่า
เพราะเหตุนั้นทำให้นักไอน์ถึงกับขมวดปมคิ้วคิดไม่ตกว่าผลของการทดสอบนี้จะออกมาในรูปไหน
“ดอกสุดท้ายแล้วฮอรัส” เอเดลเอ่ยขึ้นมาเบาๆ พร้อมกับยิ้มออกมาด้วยใบหน้าอ่อนล้า ขณะที่ง้างศรดอกสุดท้ายที่เหลืออยู่อย่างสุดกำลังจนปีกธนูส่งเสียงน่ากลัวออกมา
เป็นสัญญาณถึงขีดจำกัดที่โลหะเสริมแกร่งจะรับแรงงอตัวไหว บ่งบอกว่าดอกสุดท้ายนี้เอเดลใส่สุดกำลังทั้งหมดที่มีลงไปในนั้น แล้วเล็งไปทางฮอรัสซึ่งตอนนี้มายืนประจำที่ที่เธอวางแผนเอาไว้ คือตรงใจกลางระหว่างลูกดอกที่ยิงพลาดไป กว่ายี่สิบดอกเรียงเป็นดาวเจ็ดแฉกซึ่งถูกปักอยู่ใต้ผืนทรายมาตั้งแต่เริ่ม กลายเป็นจุดเดียวที่อุณหภูมิความร้อนถูกสูบเอาไปจนลดต่ำลงอย่างมหาศาล แม้แต่อากาศก็ยังกลั่นตัวเป็นน้ำจับขาของฮอรัสจนแข็งขึ้นไปถึงครึ่งตัว และมันก็อยู่ห่างออกไปเพียงห้าเมตรเท่านั้น
และนั่นเองคือแผนที่เธอเตรียมตัวคิดล่วงหน้าคิดเอาไว้ตั้งแต่ตอนที่นั่งจิบชากับอีกฝ่ายแล้ว เพียงแต่ในตอนนั้นเธอไม่ได้ตั้งใจจะทุ่มหมดหน้าตักถึงขนาดนี้
ในเสี้ยวนาทีก่อนที่เอเดลจะปล่อยสายรั้งที่บาดทะลุถุงมือกินเข้าไปถึงเนื้อจนเลือดอาบท่วมนั้นเอง ฮอรัสมองเห็นความผิดปกติรุนแรงที่เกินขึ้นกับร่างกายของเอเดล เช่นกันกับเหล่ากรรมการที่ก็เพิ่งจะสังเกตเห็นว่านอกเหนือจากแผลบนนิ้วมือจากการถูกสายธนูบาด และท่อนแขนด้านในข้างที่จับคันธนูซึ่งถูกสายธนูตีกลับจนทะลุปลอกแขนเข้าไปจนเนื้อแตกแล้ว บัดนี้ใบหน้าของสาวเจ้ายังเริ่มมีเลือดที่ไหลออกทางจมูกและหางตาดูน่าจะเข้าขั้นอันตราย
ฮอรัสเห็นเช่นนั้นก็ล้มเลิกเรื่องที่จะหลบการโจมตีสุดท้ายของเอเดล แล้วพุ่งเข้าหาอีกฝ่ายทันที เป็นเวลาเดียวกับที่ศรดอกนั้นถูกปล่อยออกมาอย่างแรง
ความเร็วของลูกดอกคราวนี้มากมายกว่าเดิมอย่างมหาศาลจนทำให้เกิดเกิดเสียงดังกัมปนาท สร้างคลื่นกระแทกในอากาศ แม้แต่ตัวธนูเองยังกระเด็นกระดอนหลุดจากมือของเอเดล
ไม่ต่างอะไรกับลูกดอกที่เหลือแต่หัวศรตรงดิ่งเข้าใส่ฮอรัส เพราะด้านท้ายของมันแตกละเอียดจากแรงกระชากของสายรั้ง และถึงแม้จะเหลือเพียงหัวศรแต่มันก็รุนแรงเพียงพอจะฉีกส่วนนอกบนแขนซ้ายของหุ่นสงครามจนแตกละเอียด ทะลุทะลวงลากโครงโลหะส่วนที่เป็นข้อต่อหัวไหล่กลายเป็นรูโหว่เสียหายจนแขนแทบจะหลุดออกไปทั้งยวง ถ้าไม่มีเส้นอาเคนเชื่อมเอาไว้
แต่ดูเหมือนฮอรัสจะไม่สนใจ เพราะเขาก็ยังใช้แขนอีกข้างพยุงร่างของเอเดลเอาไว้พลางสัมผัสตรวจร่างกายอย่างละเอียด
“ในแผนนายไม่ควรจะพุ่งเข้ามาสิ...” เอเดลกล่าวอย่างอิดโรยบนแขนของฮอรัส เป็นเวลาพอดีกันกับที่ศรตกลงมาจากฟ้าลงรอบจุดเดิม บ่งบอกว่าศรสุดท้ายที่เธอจะใช้ปิดฉากการต่อสู้นี้ไม่ใช่ศรที่เธอยิงไปเมื่อครู่ หากแต่เป็นศรดักทางที่ยิงขึ้นฟ้าเอาไว้นานแล้วต่างหาก
แต่บัดนี้ยังไงมันไร้ความหมายอยู่ดีเมื่อกรรมการสั่งยุติการประลองกลางคัน พร้อมกับหมอที่รีบวิ่งเข้ามาดูอาการของเอเดล เช่นกันกับเอลีอาผู้เป็นแม่รีบฝ่าฝูงชนพยายามตะเกียกตะกายปีนอัฒจันทร์ลงมาหาลูกสาวของตัวเองเพราะเทศกาลที่น่าจะเป็นเฉลิมฉลองในคืนนี้เกือบจะกลับกลายเป็นคืนแห่งความโสกา