ตอนที่แล้วบทที่ 27 : แวนดิริตี
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 29 : บันทึกของเอียน

บทที่ 28 : จุดอ่อน


บทที่ 28 : จุดอ่อน

 

“ชิบห...ยแล้วไง!” กิลเลนสบถออกมาดังลั่น จนอคาลาต้องเหลียวหลังมอง ร่างของบลูเบนตัวที่สองซึ่งวิ่งตามมาติด ๆ ทำให้กิลเลนต้องเร่งเครื่องสุดชีวิต นี่มันผิดแผนกับที่กิลเลนเคยคาดเอาไว้ โดรนของอินุจิโยะลอยผ่านออกไปเพื่อล่อบลูเบนตัวแรก

 

“มันแยกได้กี่ร่างกันเนี่ย” กิลเลนบ่นพึมพำกับตนเอง แต่คนที่ซ้อนอยู่ด้านหลังได้ยินชัดเจน เธอชะโงกหน้ามาหาเขา คางเกยเข้าที่ไหล่ของกิลเลน

 

“มันช้าลงนะ” อคาลากระซิบ ตอนนั้นเองที่กิลเลนเพิ่งสังเกต เขาก้มลองมองที่จอพบว่าระยะห่างระหว่างเขาและบูลเบนกำลังมากขึ้นเรื่อย ๆ

“หรือว่ามันจะบาดเจ็บเลยช้าลง” กิลเลนมองใบหน้าที่ยังมีเลือดที่เริ่มแห้งของมันแล้วก็เปลี่ยนความคิด “ไม่ใช่หรอก แผลนั่นไม่น่าจะทำให้ความเร็วมันตกลงไปขนาดนั้น”

 

“บางทีอาจจะเป็นเพราะมันแบ่งร่างก็ได้นะ” อคาลาออกความเห็นบ้าง กิลเลนไม่ได้ตอบอะไรและไม่ได้ลดความเร็วของโฮเวอร์ไบค์ลง เขายังคงเป็นห่วงโดรนที่แยกไปอีกทาง แต่ตอนนี้ที่ต้องทำคือหนีให้พ้นจากบลูเบนตัวนี้เสียก่อน อคาลาเองก็เหมือนจะรู้ดีเธอสั่งให้เขาหักเปลี่ยนเส้นทางหลังจากพ้นเนินดินขนาดใหญ่

 

กิลเลนใช้เวลาอยู่พักใหญ่จนทิ้งห่างและมั่นใจว่ามันจะไม่ไล่ตามมาอีกง่าย ๆ เขาส่งสัญญาณหาโดรนของอินุจิโยะในขณะที่สายตาก็สอดส่ายหาสถานที่ที่ใช้ในการหยุดพักได้ จนได้พบกับที่พักแรมเก่าที่เขาเคยใช้เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน

 

“มันคงไม่ตามมาถึงนี่นะ” กิลเลนเหลียวมองโดยรอบด้วยความระแวงในขณะที่จอดโฮเวอร์ไบค์ที่ขับมานาน ส่วนหนึ่งคือกลัวว่าบูลเบนจะโผล่มาเล่นงานแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย อีกส่วนหนึ่งก็มองหาโดรนของอินุจิโยะที่น่าจะใกล้มาถึงแล้ว

 

เพื่อไม่ให้เสียเวลา เขา อคาลาและบากะอินุจึงช่วยกันสร้างที่พักแรมขึ้น มันมีเพิงไม้เก่าที่เขาเคยทำทิ้งเอาไว้กิลเลนจึงใช้เวลาไม่มากในการทำความสะอาดให้พอเป็นที่หลับนอนได้ในคืนนี้ ไม่นานนักหลังจากทำเสร็จโดรนของอินุจิโยะก็ปรากฏขึ้นในสภาพที่ใช้พลังงานจนเกือบหมดเกลี้ยง

 

“เกือบไปแล้วเจ้าค่ะ มันไล่ตามไม่เลิกเลย กว่าจะสลัดหลุดแล้วตามมาถึงนี่ได้เล่นเขาพลังเกือบหมด” ภาพโฮโลแกรมอินุจิโยะกระพริบเป็นช่วง ๆ แม้ว่าอคาลาจะรีบนำเธอไปชาร์ตกับชุดของบากะอินุแล้วก็ตาม

 

“ถ้าพลังหมดระหว่างทางนี่แย่เลย ต่อไปนี้ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ก็ควรหลีกเลี่ยงวิธีนี้แหละ” อคาลาชี้ประเด็นซึ่งก็เป็นเรื่องเดียวกับที่กิลเลนกำลังคิดอยู่เช่นกัน เขาเกือบจะต้องเสียโดรนและเอไอของอินุจิโยะไปกับการล่อบูลเบนไปอีกทางซะแล้ว

 

เมื่อมั่นใจแน่แล้วว่าบูลเบนไม่ได้อยู่แถวนั้น เขาเฝ้าคอยดูสถานการณ์อยู่หลายชั่วโมงและจากข้อมูลที่ได้รับจากโดรน กิลเลนก็ตกลงใจพักค้างแรมในจุดเดิม ประจวบเหมาะกับที่ดวงอาทิตย์ก็เริ่มคล้อยลงต่ำพอดี ความเหน็ดเหนื่อยตลอดทั้งวันทำให้กิลเลนตัดสินใจจะฝากท้องในมือเย็นไว้กับอาหารแห้งที่มีเหลืออยู่ไม่มาก และแล้วเขาเผลองีบหลับไปหลังจากที่ตั้งใจจะพักสักตาสักครู่

 

สวบ สวบ

 

เสียงฝีเท้าของบากะอินุเข้ามาใกล้พร้อมกับเสียงของอคาลาที่พูดอะไรบางอย่างแต่เขาจับใจความไม่ได้ กิลเลนลุกขึ้นนั่งหลังจากเผลอหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า เจ้าหมาเดินมาหาเขา มันคาบบางอย่างมาด้วย พอลองขยี้ตาดูให้ชัดก็พบว่ามันคือนกหรือไก่สักชนิด

 

...ไม่สิ ต้องบอกว่าตัวอะไรสักอย่างที่คล้ายนกไม่ก็ไก่ต่างหาก…

 

สัตว์ประหลาดขนสีดำเป็นเงาถูกคายลงเบื้องหน้ากิลเลน ปีกสองข้างเหมือนกับนกแต่มีข้อต่อมากกว่าหนึ่งหรือสองช่วง หน้าตามีจงอยปากเหมือนนกแต่ดันมีสามตา มันคือนกกลายพันธุ์หรือสัตว์ประหลาดกิลเลนก็ไม่สามารถฟันธงลงไปได้

 

“เธอปล่อยให้บากะอินุออกไปล่าสัตว์กันเองเหรอ” กิลเลนเอ่ยถามอคาลาที่นั่งอยู่ไม่ไกล เขาชะเง้อมองหญิงสาวที่ใจจดใจจ่ออยู่กับคอมพิวเตอร์ของตนเอง เมื่อเขาลองไล่โค้ดหลายร้อยบรรทัดนั่นก็รู้ได้ทันทีว่าเธอง่วนอยู่กับมันได้สักพักแล้ว

 

“ไม่ใช่นะเจ้าคะ อินุจิโยะขอไปเองต่างหาก” อินุจิโยะรีบแก้ตัวแทน ภาพโฮโลแกรมเหนือบากะอินุร้อง เธอกลัวว่ากิลเลนจะโทษอคาลาว่าปล่อยให้เธอและบากะอินุไปเสี่ยงกันตามลำพังโดยไม่ได้ช่วยเหลือ

 

“แถวนี้ไม่มีแวนเดียร์ที่อันตรายหรอก” อคาลาไม่ได้สนใจคำตำหนิ เธอกลับไปก้มหน้าก้มตาทำสิ่งที่ทำค้างเอาไว้คือการพิมพ์รัวใส่แป้นพิมพ์โฮโลแกรม กิลเลนไม่ได้ถามอะไรต่อ เขารับไก่พิลึกจากบากะอินุมาพิจารณาอย่างละเอียดอีกครั้ง

 

“เอาเถอะ อาจจะอร่อยก็ได้ มาทำอาหารกันเถอะ” กิลเลนชวนอคาลาแต่ครั้งนี้เธอไม่ยอมละสายตาจากงานด้วยซ้ำ เธอยังคงจ้องไปที่จอและพิมพ์อยู่แบบนั้น

 

“ฝากด้วยนะ วันนี้เรามีเรื่องสำคัญที่ต้องรีบทำ” อคาลาพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้น น้ำเสียงจริงจังของเธอทำให้เขารู้ได้ทันทีว่าอคาลากำลังตั้งใจจะทำอะไรบางอย่างจริง ๆ

 

กิลเลนไม่ได้ตอแยอะไรต่อ เวลาที่อคาลาทำอะไรแบบนี้เธอจะมีเหตุผลรองรับตลอด บางทีเธออาจจะมีเรื่องเร่งด่วนที่ต้องสะสางให้เสร็จก็ได้ เขาหันไปมองวัตถุดิบอีกรอบจากนั้นก็ลงมือโดยไร้ความช่วยเหลือจากแม่ครัวฝีมือดี

 

ราวกับทำมาแล้วจนชำนาญ กิลเลนจัดการถอนขนอย่างรวดเร็ว ทำความสะอาดเครื่องในจากนั้นก็นำไปต้มในน้ำร้อนที่เตรียมไว้เพื่อฆ่าเชื้อ แล้วการปรุงที่แท้จริงก็เริ่มขึ้นหลังจากนั้น กิลเลนเทน้ำก่อนหน้านี้ทิ้งไป เขาใช้หม้อสะอาดใบเดิมใส่น้ำลงไปแค่พอท่วมและตั้งไฟกับกองฟืนที่จุดไว้ก่อนหน้านี้ กิลเลนเทผงแกงกะหรี่ที่มีไม่มากลงไป

 

บากะอินุและอินุจิโยะนั่งอยู่ข้าง ๆ เขาตลอดการปรุงอาหาร มันจ้องกิลเลนที่หั่นพืชมากมายเป็นขนาดพอดีคำและใส่ลงไปในหม้อที่มีเนื้อไก่สีขาวนวล ชายหนุ่มคุ้ยกระเป๋าที่เต็มไปด้วยเครื่องปรุงที่เขานำลงมาจากดิกนิตีก่อนจะใส่เครื่องเทศบางอย่างลงไป เขาเคี่ยวแกงกะหรี่ไก่อย่างช้า ๆ และปล่อยให้มันสุกและข้นจนได้ที่

 

กิลเลนแบ่งอกไก่ต้มสุกให้กับบากะอินุที่เฝ้ารอมานาน ส่วนตัวเองก็กินแกงกะหรี่ฝีมือตนอย่างเอร็ดอร่อยหลังจากอคาลาปฏิเสธจะร่วมมื้อเย็นกับเขา กิลเลนจัดการแกงในจานภายในเวลาไม่นานด้วยความหิวโหยโดยที่อคาลาไม่แม้แต่จะละสายตามาจากจอนั้นแม้เสี้ยววินาทีเดียว

 

อคาลายังคงง่วนอยู่กับงานของเธอจนดึกดื่น รอบเพิงที่สร้างขึ้นอย่างง่ายแต่เพียงพอสำหรับการพักพิงมืดสนิทไปหมดแล้ว มีเพียงแสงไฟจากกองเพลิงที่ใช้ประกอบอาหารและแสงจากหน้าจอที่สว่างจ้า กิลเลนออกมาจากที่พักซึ่งตั้งอยู่ห่างจากที่ที่อคาลานั่งทำงานอยู่ไม่ไกลนัก

 

หญิงสาวพิมพ์โค้ดอยู่ใกล้กับโฮเวอร์ไบค์ สายไฟเชื่อมไปที่แบตซึ่งกิลเลนโยนมันไว้ในรถระโยงระยางเต็มพื้นไปหมด หน้าจอสีดำอันหนึ่งถูกติดตั้งอยู่ข้างเธอ ตรงหน้าอคาลาก็เป็นจอโฮโลแกรมพร้อมกับคีย์บอร์ด กิลเลนเห็นว่าสายบางอย่างเชื่อมไปที่โฮเวอร์ไบค์ ทำให้หน้าจอมอนิเตอร์สว่างขึ้น มีตัวอักษรวิ่งขึ้นลงไปมาตามการพิมพ์ที่รวดเร็วของเธอ

 

กิลเลนเดินข้ามสายไฟเหล่านั้น สายตาของเขาหยุดลงที่จานซึ่งเขานำมาให้เธอก่อนหน้านี้ เธอไม่ได้แตะต้องมื้อเย็นที่กิลเลนแบ่งไว้ให้เลยแม้แต่น้อย เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ จนใกล้เที่ยงคืนกิลเลนจึงต้องเป็นฝ่ายเข้ามาบังคับให้เธอหยุดมือ ชายหนุ่มย่อตัวลงข้างเธอ เขาคว้าข้อมือที่เล็กกว่านั้นเอาไว้

 

“พักเถอะ ไม่รู้หรอกว่ากำลังทำอะไรแต่อย่าฝืนนักเลย” กิลเลนกล่าวและรั้งมือที่ดื้อดึงจะพิมพ์โค้ดต่อ

 

“อย่าฝืนเนี่ย... น่าจะใช้กับคนที่สู้กับเทียแมทในฝันจนเกือบตายมากกว่า” อคาลาตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม เธอยอมละสายตาจากจอโฮโลแกรมมามองเขา

 

“อย่ามาแซวน่า!” กิลเลนดุ เขายังคงรั้งมือของเธอเอาไว้แบบนั้น “เธอเองก็ไม่อยากให้ฉันทำอะไรเกินตัวไม่ใช่เหรอ ฉันเองก็เหมือนกัน”

 

“เป็นห่วงเราเหรอ” เธอถามออกไปตรง ๆ อคาลายิ้มให้เมื่อเห็นกิลเลนนิ่งไปเพียงครู่ เธอหันกลับไปที่จออีกครั้ง แต่ยังไม่ทันจะพิมพ์อะไรต่อคำตอบของเขาก็ทำให้มือของเธอชะงักไป

 

“ห่วงสิ” กิลเลนตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจังทำให้อคาลาตกใจเล็กน้อย “เธอเป็นเพื่อนคนสำคัญนี่นา”

 

เพราะไม่ได้คาดหวังจะให้กิลเลนจะตอบอย่างตรงไปตรงมา อคาลาจึงเป็นฝ่ายเขินแทน หญิงสาวไม่ได้สลัดมือออกแต่เป็นกิลเลนที่ปล่อยมือเธอไปเสียเองเมื่อเห็นอคาลาหน้าแดง เธอปิดโฮโลแกรมที่ทำค้างไว้จากนั้นก็ลุกขึ้นและเดินไปที่เพิงที่กิลเลนสร้างไว้

 

“เราง่วงแล้ว คืนนี้เราจะพักในเพิงนี่นะ” อคาลาบิดร่างกายที่เมื่อยล้าหลังจากนั่งมานาน หญิงสาวยืนขึ้นเต็มสองเท้าก่อนจะมุ่งหน้าไปยังเพิกพักพิง

 

“อ้าว แล้วฉันล่ะ ปกติเธอนอนข้างนอกตลอดนี่” กิลเลนที่เดินตามหลังมาโวยวาย

 

“วันนี้เราอยากนอนในนั้น นายก็นอนข้างนอกแทนก็แล้วกัน” อคาลาชี้ไปยังที่พัก มันถูกปูด้วยเบาะที่พับเก็บได้ทำให้ผู้นอนไม่ต้องทนนอนเจ็บหลังเพราะพื้นแข็ง ๆ

 

“ไม่เอาด้วยหรอก” พูดจบกิลเลนก็มุดเข้าในเพิง จากนั้นก็ซุกตัวลงนอนข้างโดยไม่สนว่าอคาลาจะร้องโวยวายที่ถูกเบียดจนแทบไม่เหลือที่

 

“ออกไปเลยนะ” อคาลาพยายามดันกิลเลนออกไปแต่เขาแกล้งฝืนทำตัวหนักเพื่อไม่ให้โดนผลักออกไปได้โดยง่าย

 

“อะไรของเธอเนี่ย” กิลเลนแกล้งโมโหและลุกขึ้นมาคุยด้วย หลังจากเถียงกันไปมาอีกหลายคำเขาก็กุมมือเธอไว้แล้วกลับไปนอนอีกครั้งทั้งแบบนั้น อคาลาดึงมือไม่ออกสุดท้ายก็จำใจต้องนอนลงข้าง ๆ เขา

 

“ตอนอยู่ที่ดิกนิตีเธอก็ชอบมานอนข้าง ๆ แบบนี้ไม่ใช่เหรอ” กิลเลนพูดทั้งรอยยิ้ม

 

“ถ้ายังไม่หยุดพูดจะโกรธจริงแล้วนะ” ปากพูดแบบนั้นแต่สีหน้าของอคาลาไม่มีเศษเสี้ยวของความโกรธเลย

 

ตอนเช้าตรู่วันถัดมา กิลเลนพบว่าเขานอนอยู่คนเดียวในเพิง ส่วนบากะอินุก็นอนอยู่เพิงเล็ก ๆ อีกแห่งที่เขาเตรียมไว้ให้ เขาพยายามหาอคาลาที่ควรจะอยู่ข้าง ๆ และพบว่าตอนนี้เธอกลับไปนั่งทำงานต่อแล้ว

 

“สรุปว่าทำอะไรน่ะ” กิลเลนที่ออกมาจากที่พักเอ่ยถาม

 

“เราคิดว่าบูลเบนอ่อนแอลงทุกครั้งที่มันแบ่งร่าง”

 

กิลเลนพยักหน้าอย่างเข้าใจ เขาเห็นกับตามาแล้วว่าความเร็วมันลดลง แต่ก็ไม่เข้าใจว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับงานที่อคาลากำลังทำอยู่ยังไง ชายหนุ่มตัดสินใจนั่งลงข้างเธอ เขาจ้องอคาลาจนในที่สุดเธอก็ยอมอธิบาย

 

“เรากำลังเขียนโปรแกรมเพื่อเก็บข้อมูลของแวนเดียร์ให้ละเอียดขึ้น มันยังไม่เรียบร้อยดีหรอกแต่อย่างน้อยก็เสร็จแล้วในส่วนของบูลเบน”

 

กิลเลนรินกาแฟที่อคาลาเตรียมไว้ใส่ถ้วย จากนั้นก็จิบทีละนิดอย่างใจเย็นรอให้อคาลาอธิบายต่อจนจบ

 

“โปรแกรมนี้จะช่วยทำให้ทุกครั้งที่นายต่อสู้กับศัตรู เราจะได้ข้อมูลของมันเพิ่มมากขึ้น ด้วยสิ่งนี้นายจะประเมินได้ว่าบูลเบนแยกร่างออกมาแล้วกี่ครั้ง และมันอ่อนแอลงพอที่นายจะกำจัดมันได้รึเปล่า”

 

“เดี๋ยวสิเฮ้ย ฉันไปพูดตอนไหนว่าอยากจะสู้กับเจ้านั่น” กิลเลนเงยหน้าจากถ้วยกาแฟ

 

“นายจะอยากรึไม่ ไม่สำคัญหรอก ตอนนี้มันกำลังล่านาย”

 

“เออนั่นแหละ! ที่กำลังสงสัยเลย แพทริคฆ่าร่างแยกมันแท้ ๆ ทำไมมันถึงมาอาฆาตฉันได้ล่ะเนี่ย” กิลเลนยังคงโวยวาย อคาลาได้ยินแบบนั้นก็ถอนหายใจ

 

“เพราะมันอาจจะไม่ได้โง่เหมือนที่นายคิดยังไงล่ะ” อคาลาลุกขึ้นยืนกอดอก กิลเลนมองตามเธอก่อนจะดื่มกาแฟเข้าไปอีกอึก “มันดูออกว่านายจะเป็นตัวอันตราย”

 

กิลเลนเกือบจะเผลอพ่นสิ่งที่อมอยู่ในปากออกมา อคาลาเอาอะไรมาพูดกัน เทียบกับแพทริคที่ขยี้สมองมันได้ในพริบตา แถมยังเคลื่อนย้ายเทเลพอร์ตได้อย่างอิสระ ตัวเขามีอะไรน่ากลัวว่าตรงไหนกัน

 

“นายลืมเรื่องแวนดิริตีไปแล้วเหรอ” อคาลากล่าวเมื่อเห็นเขาทำท่าทางไม่เชื่อ

 

“ไม่มั้ง เธอจะบอกว่ามันคิดว่าฉันจะไปล่าพลังของมันรึยังไง” ชายหนุ่มมองอคาลา เขาไม่คิดว่ามันจะรู้ขนาดนั้น เจ้าแวนเดียร์ที่แยกไม่ออกว่าอันไหนเป็นคนจริงเป็นภาพโฮโลแกรมเนี่ยนะ...คิดจะล่าเขาเพราะเรื่องแวนดิริตี

 

“มันคงสัมผัสเซลล์แวนเดียร์ในตัวนายได้ แถมนายกับมันก็มีจิตเชื่อมถึงกันได้อีก ถ้ามันจะคิดว่านายเป็นตัวอันตรายก็ไม่แปลกไม่ใช่เหรอ”

 

กิลเลนได้ฟังแล้วก็ขนลุกเกรียว เขาไม่เคยมีความคิดอยากจะล่าแวนดิริตีเลยเพราะอยู่แก่ใจว่ามันอันตรายถึงตาย เจ้าบูลเบนคิดได้ยังไงว่าเขาอยากจะล่าหัวมัน ชายหนุ่มดื่มกาแฟจนหมดและส่ายหัวปฏิเสธ

 

“ต้องสู้กับสัตว์ประหลาดพรรค์นี้จนกว่าจะเลียนแบบพลังของมันได้ ขืนทำจริงมีหวังตายก่อนสำเร็จแน่”

 

“ถ้าโดยปกติก็ใช่…” อคาลาทำท่าครุ่นคิด “แต่กรณีนี้นายอาจจะควรสู้นะ ไม่สิ… ต้องสู้ต่างหากและต้องชนะด้วย”

 

“เธอมีแผนอะไรแล้วรึไง” กิลเลนถามอย่างมีความหวัง อคาลายิ้มให้และพยักหน้า เธอเริ่มอธิบายต่อ

 

“ก็เกี่ยวกับโปรแกรมที่เราเขียนนี่แหละ ถ้าเรารู้แน่ว่ามันแยกร่างจนอ่อนแอลงแค่ไหน เราจะหาจังหวะที่เหมาะสมในการตอบโต้ได้”

 

“อืมมม…” กิลเลนลากเสียงยาวพร้อมทำท่าทางครุ่นคิด “ก็ฟังดูเข้าท่าอยู่หรอก แต่กำจัดร่างแยกก็ไม่ได้หมายความร่างจริงจะตายไปด้วยนี่ แถมไม่มีอะไรยืนยันได้ด้วยว่า ร่างที่อ่อนแอลงเพราะการแยกร่างมันจะไม่กลับมาแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้งหลังเวลาผ่านไป”

 

อคาลาชะงัก เธอทำตาโตและปรบมืออย่างดีใจ “ว้าววว นี่นายคิดได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย น่าประทับใจจัง”

 

“ขอบคุณที่ชม เฮ้ย นี่เธอกำลังหาว่าฉันโง่ใช่ไหมเนี่ย” กิลเลนทำทีเคลิ้มในตอนแรก แต่ก็ฉุกคิดได้ว่าอคาลากำลังเหน็บเขา เจ้าตัวโวยวายเหมือนทุกครั้งและการกระทำนั่นก็ทำให้หญิงสาวอดขำไม่ได้

 

“เราเองก็คิดว่าการกำจัดร่างแยกอาจจะเป็นการบั่นทอนกำลังของมันแค่ระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น ไม่มีอะไรยืนยันเลยว่ามันจะไม่กลับมาสมบูรณ์ในอนาคต แต่ถึงจะเป็นแบบที่ว่า นายก็ยังควรจะกำจัดร่างแยกของมันให้หมดอยู่ดี” อคาลาร่ายยาวจนแทบไม่มีช่องไฟให้กิลเลนแทรก

 

“เธอจะให้ลดกำลังของมันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วก็ไปเก็บตัวจริงเลยสินะ” กิลเลนเงยหน้าขึ้นมองเธอที่ยืนอยู่ เขาถามให้แน่ใจว่าสิ่งที่เขากำลังเข้าใจเป็นสิ่งเดียวกันกับที่เธอหมายถึง

 

“นั่นเป็นเป็นเหตุผลนึง” อคาลาเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ไม่คิดเหรอว่านี่คือโอกาสดีที่นายจะได้สู้กับมันในสภาพที่อ่อนแอกว่าปกติ บ่อยครั้งเท่าที่ต้องการ”

 

คำพูดของอคาลาช่วยจุดประกายความหวังให้กับกิลเลน ที่เธอพูดมาฟังดูเป็นไปได้ บางทีสิ่งที่เรียกว่าแวนดิริตีอาจจะไม่ไกลเกินเอื้อมอย่างที่เขาเชื่อตั้งแต่แรกก็ได้ ชายหนุ่มดีดตัวลุกขึ้นยืน อคาลาพยักหน้าให้เมื่อเห็นรอยยิ้มของกิลเลน แววตาของเขาเปลี่ยนไปแล้ว ท่าทีกังวลและลังเลหายไปจนหมดสิ้น ชายหนุ่มพูดเสียงหนักแน่น

 

“ไปคว้ามากันเถอะ แวนดิริตีแยกร่าง

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด