บทที่ 12 มีดเสียง (4)
บทที่ 12 มีดเสียง (4)
อินจู๋ละเลยทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง ‘ด่านสุริยันสามท่อน’ หนึ่งเพลงดีดสามรอบ ท่อนหนึ่งซ้ำอีกท่อนหนึ่ง เมื่อซ้ำกันสามท่อนแล้วจึงจะเป็นส่วนสำคัญของเพลงพิณเพลงนี้ ขณะนี้ท่อนแรกจบลงแล้ว เห็นแต่เพียงมือสองข้างของอินจู๋ปัดป่ายไปบนสายพิณราวกับภาพลวงตา ทันใดนั้นจังหวะเสียงพิณพลันเร่งเร็วขึ้น ความหนืดหน่วงที่หยุดนิ่งอยู่ในอากาศก็ยิ่งเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ นอกจากลูเฟเต้นักเวทระดับน้ำเงินที่ยังครองสติเอาไว้ได้ นักเวทระดับเขียวขั้นพื้นฐานสองคนกับนักเวทระดับเหลืองสามคนนั้นต่างก็สูญเสียการรับรู้โลกภายนอกไปโดยสิ้นเชิง เคลิบเคลิ้มไปกับเสียงพิณ แม้แต่ดิยาร์ราและนักเวทสามคนที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ได้รับผลกระทบในระดับที่แตกต่างกัน ผู้ไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใดกลับมีแค่ม่วงที่ยืนอยู่ข้างหลังอินจู๋
อันที่จริง อินจู๋ที่สำเร็จขั้นเก้าของหัวใจพิณพิสุทธิ์มีความสามารถเทียบเท่ากับระดับเหลืองขั้นสูงแล้ว เพียงแต่ก่อนผ่านระดับหัวใจพิณพิสุทธิ์จะเป็นสีแดงโดยตลอด ฉะนั้นถึงได้ถูกคู่ต่อสู้เข้าใจผิด ประสบการณ์เล่นพิณสิบหกปี ความสามารถของเขาจะธรรมดาได้อย่างไร? อย่าว่าแต่นักเวทระดับเดียวกัน หากเสียงพิณของเขาแผลงฤทธิ์ออกมาเมื่อไหร่ ภายในสามขั้นถัดไปล้วนได้รับผลกระทบหมด นับประสาอะไรกับคู่ต่อสู้ที่ไม่มีการป้องกันใดๆ ดังนั้น ต่อให้เป็นนักเวทระดับเขียวที่ระดับสูงกว่าเขาก็ย่อมโดนลูกหลงไปด้วย
รัศมีสีแดงเข้มยิ่งเจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ ธาตุเวทมนตร์ในอากาศคล้ายกำลังเต้นเป็นจังหวะตามเสียงพิณ เสียงพิณอันทุ้มลึกและเศร้าสลดนั้นขณะนี้ได้ซ่อนเร้นจิตสังหาร ในฐานะนักเวทพิณ มนต์พิณที่เขาใช้เป็นการโจมตีหมู่โดยตรง ใช้กำลังของตัวเองคนเดียวท้าทายคู่ต่อสู้หกคนที่ระดับไม่ต่ำกว่าตัวเอง เกรงว่าจะมีแค่อินจู๋คนเดียวที่ทำได้
ลูเฟเต้รู้สึกแค่ว่าเสียงพิณส่งอิทธิพลต่อตนเองมากขึ้นเรื่อยๆ จึงพูดกับตัวเองในใจว่าท่าไม่ดีแล้ว แต่อย่างไรเสียเขาก็เป็นนักเวทระดับน้ำเงิน ความสามารถสูงกว่าอินจู๋ถึงสามระดับ ประมาณเจ็ดถึงแปดขั้น ดังนั้นจึงยังสามารถควบคุมพลังจิตของตนเองเอาไว้ได้ พอกัดปลายลิ้นก็ใช้ประโยชน์จากความเจ็บปวดฝืนดึงสติตัวเองกลับมาได้บ้าง จากนั้นเขาก็โบกมือขวาทันที ไม้เท้าวิเศษอันหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศในมือเขา เมื่อข้อมือพลิกกลับลูกไฟขนาดใหญ่เท่าปากชามก็พุ่งไปทางอินจู๋
ไม่ว่านักเวทคนใดก็สามารถปล่อยพลังเวทมนตร์ที่ต่ำกว่าระดับตัวเองสามระดับได้ในฉับพลัน อย่างเช่นนักเวทระดับเขียวก็สามารถปล่อยพลังเวทมนตร์ระดับแดงได้ในฉับพลัน ร่ายมนต์ไม่ได้ก็ใช้พลังเวทมนตร์ฉับพลันกำจัดเจ้าแล้วกัน ตอนนี้แววตาของลูเฟเต้เต็มไปด้วยจิตสังหาร จนกระทั่งตอนนี้เขาก็ยังไม่เห็นความสำคัญของนักเทวคีต ‘ระดับแดง’ ตรงหน้าคนนี้อย่างเพียงพอ
ลูกไฟขนาดใหญ่เท่าปากชามนั้นปรากฏเป็นสีส้ม ระหว่างที่ตื่นตระหนกยังสามารถปล่อยพลังเวทมนตร์ระดับแสดได้ ลูเฟเต้ก็นับว่าเป็นอันธพาลที่แข็งแกร่ง ในไม่ช้าลูกไฟสีส้มก็ไปถึงตรงหน้าอินจู๋แล้ว
ดิยาร์ราอยากจะขัดขวาง ขณะนี้เขาที่อยู่ระดับเขียวก็มีสติดีอยู่เช่นกัน แต่ด้วยความสามารถของเขา คิดจะปล่อยพลังเวทมนตร์ฉับพลันในตอนนี้ก็ไม่ทันเสียแล้ว จึงอดร้องตะโกนด้วยความตกใจไม่ได้
ม่วงกำหมัดแน่นอยู่เงียบๆ และในขณะนั้นเอง จู่ๆ อินจู๋ก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาใสประกายทั้งคู่ฉายแววประหลาด สองมือแปดนิ้วไม่ได้หยุดบรรเลง เพียงแต่รัศมีสีเหลืองอ่อนได้ครอบคลุมมือทั้งสองข้างของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เสียงพิณแทบจะดังก้องขึ้นในพริบตา เกิดเสียงดังหึ่ง คลื่นแสงสีแดงเหลืองอ่อนจางลอยลิ่วออกไปพร้อมกับเสียงหึ่งที่ดังยาวนาน ปะทะเข้ากับลูกไฟสีส้มลูกนั้นพอดิบพอดี
เกิดเสียง ‘ตูม’ ดังแผ่วเบา ลูกไฟสีส้มกลายเป็นประกายจุดเล็กๆ ก่อนแตกสลายไปอย่างไร้ร่องรอย
มือซ้ายของอินจู๋พลันเปลี่ยนแปลงไป พริบตาเดียวก็รวบสายพิณทั้งเจ็ดสายแล้วดึงไปด้านหลัง มือขวายังคงดีดบรรเลง ก่อเกิดเป็นเสียงกดอันน่าอัศจรรย์ในเพลง ‘ด่านสุริยันสามท่อน’ จากนั้นจึงคลายมือซ้ายทันที ทันใดนั้นลำแสงที่ผสมกันระหว่างสีแดงและสีเหลืองเจ็ดสายก็ลอยลิ่วออกไป ไม่มีเสียงแหวกผ่านอากาศ มีเพียงเสียงพิณอันลุ่มลึกและราบเรียบมีพลัง เสียงสายฟ้าฟาดแผ่วเบาอันเสนาะหูที่พิณวสันตอัสนีทั้งตัวเปล่งออกมา
ความเร็วเสียงยิ่งเร็วเท่าไหร่ ความเร็วของลำแสงสีแดงเหลืองก็ยิ่งเร็วเท่านั้น ลำแสงแล่นผ่านไป ส่วน ‘ด่านสุริยันสามท่อน’ ในตอนนี้ก็หยุดชะงักลงกะทันหัน
นักเวทหกคนที่มาจากอาณาจักรเบอร์บอนล้วนยืนเหม่อลอยอยู่ตรงนั้น รวมทั้งลูเฟเต้ด้วย ทุกคนต่างก็ไม่ขยับเขยื้อน
ดิยาร์ราและนักเวทสองคนข้างหลังเขาต่างฟื้นคืนสติกลับมาทันทีที่เสียงพิณหายไป ส่วนม่วงที่อยู่ข้างหลังเขากลับยังเหม่อลอยเหมือนนักเวทจากอาณาจักรเบอร์บอนพวกนั้น เพียงแต่สายตาเหม่อลอยของเขาจ้องค้างอยู่ที่อินจู๋ เพราะมีเพียงเขาเท่านั้นที่มองเห็นทิศทางการพุ่งของคลื่นแสงสีแดงเหลืองเจ็ดสายนั้น
แสงสีเงินสว่างวาบ พิณวสันตอัสนีถูกเก็บกลับเข้าไปในแหวนมิติ อินจู๋ปัดดินบนตัวพลางลุกขึ้นยืน พูดพึมพำกับตัวเองอย่างหงุดหงิดว่า “ข้ายังปล่อยมีดเสียงเจ็ดเล่มพร้อมกับเล่นเพลงพิณต่อไปด้วยไม่ได้ มิน่าล่ะปู่ฉินถึงบอกว่าความเชี่ยวชาญของข้ายังห่างชั้นอีกไกล”
“พวกเขา...พวกเขาเป็นอะไรไป?” ดิยาร์ราเอ่ยถามอย่างอึดอัดเล็กน้อย
“ตายแล้วล่ะมั้ง” อินจู๋กล่าวคำพูดอันน่าตระหนกใจออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ปู่ฉินบอกว่าศัตรูที่เห็นมีดเสียงของข้าทุกคนจะต้องตาย คนที่ใส่เสื้อสีน้ำเงินนั่นเก่งมาก ข้าสู้เขาไม่ได้ ก็เลยทำได้แค่ปล่อยมีดเสียง”
ดิยาร์รามองไปทางพวกลูเฟเต้ทั้งหกคนอย่างตกตะลึงพรึงเพริด เห็นแค่ว่าบริเวณลำคอของหกคนนั้นมีเลือดออกเป็นเส้นยาวเพิ่มขึ้นมา เส้นเลือดที่พาดผ่านทั้งลำคอ ส่วนไม้เท้าวิเศษในมือของลูเฟเต้ในตอนนี้ก็หักออกเป็นสองท่อนร่วงหล่นอยู่บนพื้น ดวงตาของเขาเบิกโพลง ขณะที่ตายก็ยังไม่อาจเชื่อเรื่องทุกอย่างนี้ได้
“อย่างนี้ไม่ถูกต้อง เจ้าจะต้องหลอมรวมพลังยุทธ์ของตัวเองเข้าสู่คลื่นเสียงทันทีที่ดีดเพลงพิณ ถึงจะสามารถสร้างมีดเสียงได้ เมื่อกี้เจ้าเร็วเกินไป เจ้าดูสิ นี่เจ้าดีดสายพิณขาดเป็นเส้นที่ร้อยหกสิบแล้ว”
“ครั้งนี้ก็ช้าเกินไปอีก พลังยุทธ์ไม่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับคลื่นเสียง ไม่มีพลังสักนิดเดียว”
“ปู่ฉิน ข้าต้องเล่นไปถึงเมื่อไหร่ถึงจะนับว่าสำเร็จล่ะ?”
“ถึงเมื่อไหร่? ก็มีแต่ตอนที่เจ้าบรรเลงเพลงพิณพร้อมกับปล่อยและควบคุมมีดเสียงได้ตามใจอยากโดยไม่ขาดช่วงได้เท่านั้นแหละถึงนับว่าสำเร็จ เจ้ายังห่างชั้นอีกไกล ฝึกต่อไป จำไว้ ต้องลงนิ้วกลางอากาศ...”
“คนไหนคือปู่ดิยาร์ราล่ะเนี่ย?” ฆ่าไปหกคน จิตใจของอินจู๋ราวกับไม่ได้รับผลกระทบอะไรแม้แต่น้อย แม้แต่มองพวกนักเวทกลุ่มลูเฟเต้ที่ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นอีกสักครั้งก็ยังไม่มอง
อันที่จริงความสามารถของลูเฟเต้นั้นแกร่งกล้าอย่างยิ่ง เพียงแต่ตอนที่เขาเห็นว่าอินจู๋เป็นแค่ระดับแดงก็ประมาทเกินไปจริงๆ ถึงกับแม้กระทั่งสัตว์เวทหรือม้วนตำราเวทมนตร์ก็ยังไม่ทันได้เอาออกมา จึงถูกอินจู๋ฆ่าตายในพริบตาด้วยอิทธิพลจากเสียงพิณ
เสียงของดิยาร์ราสั่นเครือเล็กน้อย ตอนนี้ ขณะที่เขามองนัยน์ตาสีดำใสกระจ่างนั้นอีกครั้งก็อดหวาดกลัวเล็กน้อยไม่ได้ “ข้า...ข้าเอง นี่คือของที่ปู่ฉินของเจ้าให้ข้าเอามาให้เจ้า” ระหว่างที่พูดเขาก็ล้วงเอาตราสัญลักษณ์ที่แทนนักเวทระดับแดงออกมาจากอกแล้วยื่นให้อินจู๋
อินจู๋รับตรามาด้วยความตื่นเต้น เห็นแค่ว่านั่นคือตรารูปดาวหกแฉกสีแดง ด้านบนสลักรูปพิณตัวหนึ่งไว้ คลื่นพลังเวทมนตร์บางๆ ไหลเวียนอยู่บนตรา
“นี่คือของที่ปู่ฉินให้ท่านมอบให้ข้า! งั้นข้าไปล่ะ ขอบคุณครับปู่ดิยาร์รา” อินจู๋พูดพลางดึงม่วงเดินตามออกไปข้างนอก
“อ้อ! ฟาร์เลนจงเจริญ เจ้ารอเดี๋ยวก่อน” ดิยาร์รารีบเรียกอินจู๋เอาไว้
อินจู๋หันกลับมาก่อนเอ่ยถามอย่างใคร่รู้ “มีอะไรอีกเหรอครับ?”
ดิยาร์ราพึมพำกล่าวว่า “เมื่อวานปู่ฉินของเจ้าบอกให้ข้ามอบตรานักเวทกับเจ้า แล้วหาใครสักคนพาเจ้าไปส่งที่มิลาน สอนความรู้ทั่วไปในทวีปลองกินุสให้เจ้าสักหน่อย”
……………………………………….