ตอนที่แล้วบทที่ 9 ร้านทังปิ่งพี่ชี
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 11 วิธีระลึกถึงความรัก

บทที่ 10 เด็กชายหอยโข่ง


บทที่ 10 เด็กชายหอยโข่ง

 

ฤดูใบไม้ผลิรัชศกจิ่งโย่วปีที่หนึ่ง หวังโหรวฮวาเริ่มต้นขายทังปิ่งในเมืองเปี้ยนจิง[1] ทังปิ่งเติมน้ำแกงชามหนึ่งคิดสิบอีแปะ ทังปิ่งแห้งชามหนึ่งคิดสามสิบอีแปะ

 

แม้จะขายราคาแพงอยู่สักหน่อย แต่เนื่องจากปริมาณอาหารในชามมีมาก น้ำมันงาก็เติมลงไปพอเหมาะ แต่สิ่งที่หาได้ยากจากที่อื่นก็คือในทังปิ่งยังมีเนื้อหมูติดมันชิ้นหนึ่ง ซึ่งเมื่อกัดเข้าไปแล้วจะสัมผัสได้ถึงความหอมและชุ่มฉ่ำ ด้วยเหตุนี้เองหลังจากที่ผู้คนได้ลิ้มลองแล้วจึงยากจะลืมเลือน

 

ไม่มีใครทราบว่าเนื้อหมูหอมอร่อยเช่นนี้มีวิธีต้มอย่างไร ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเมื่อเข้าปากก็นุ่มละลาย กระทั่งกลิ่นเหม็นสาบเฉพาะตัวของเนื้อหมูก็ไม่มีเหลือ ของที่ดูไม่มีค่ากลับเปลี่ยนให้มีรสชาติอร่อยล้ำเลิศขึ้นมาได้ ต่อให้ในช่วงเวลาอันสั้นนี้ยังไม่เป็นที่นิยมไปทั่วเมืองหลวง แต่เหล่าชายฉกรรจ์ที่ทำงานอยู่ตรงประตูซีสุ่ย หลังจากเลิกงานพวกเขาจะต้องมาสั่งทังปิ่งแห้งเพิ่มพิเศษชามหนึ่งเป็นประจำ กินอย่างอิ่มหนำสำราญแล้วถึงได้แยกย้ายกลับบ้าน

 

หยางไฮว๋อวี้ก็ยังไม่มากินอาหารร้านทังปิ่งพี่ชีอยู่เช่นเดิม เพิงที่สร้างขึ้นจากไม้ไผ่ยังมีหน้ามาเรียกว่าร้านอาหารได้ด้วยหรือ? อาหารที่ตระกูลหยางให้สุนัขกินยังอร่อยกว่าทังปิ่งชามนั้นมากนัก

 

“เครื่องเคียงบนทังปิ่งเป็นสูตรจากบรรพบุรุษของข้าเชียวนะ!” หวังโหรวฮวากล่าวเช่นนั้น

 

ไม่ว่าใครจะมาสอบถามวิธีการต้มเนื้อหมู นางก็จะตอบเหมือนกันทุกครั้ง

 

หยางไฮว๋อวี้ถูกพี่น้องที่ทำงานร่วมกันลากเข้าร้านทังปิ่งพี่ชีจนได้

 

นับตั้งแต่เขาพลั้งมือยิงผีขี้เมาอย่างหลิวอาชีตายโดยไม่ทันระวังในค่ำคืนที่หิมะตกหนัก เขาก็โดนศาลไคเฟิงพิพากษาว่ามีความผิดฐานฆ่าคนตาย แต่เนื่องจากเขาทำตามความรับผิดชอบต่อหน้าที่ จึงได้รอดพ้นจากโทษประหารในฤดูใบไม้ร่วง[2]แต่ว่าตำแหน่งผู้บัญชาการทหารรักษาวังหลวงลอยหายวับไปกับตา

 

เขาทั้งไม่อยากโดนเนรเทศไปแดนจองจำที่ชางโจว[3]และไม่อยากโดนสักใบหน้าด้วยหมึกทอง จึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่าจะเลือกเป็นทหารอยู่แถบประตูซีสุ่ย

 

หยางไฮว๋อวี้สาปแช่งเจ้าหลิวอาชีที่สมควรตายในความฝันนับครั้งไม่ถ้วน เหตุใดเจ้าบ้านั่นถึงเดินล้ำเข้าไปในอาณาเขตกำแพงอีกก้าวหนึ่งไม่ได้เล่า?

 

ในระยะสิบก้าวจากกำแพงเมืองเขตพระราชฐาน เมื่อเขาสังหารคนก็จะมีเพียงความดีความชอบ ถ้าหากสังหารคนนอกระยะสิบก้าวนั้นเท่ากับว่า เขาจะกลายเป็นผู้ร้ายที่เห็นชีวิตคนเป็นผักปลาไปแล้ว แต่ตำแหน่งที่เจ้าหลิวอาชีโดนหน้าไม้ยิงจนปักตรึงกับพื้นดิน กลับเป็นระยะห่างจากกำแพงสิบเอ็ดก้าวพอดิบพอดี!

 

“เถี่ยหวังซื่อ พี่อวี้ของพวกเรามาเยือนแล้ว เร่งมือเข้าสิ ยกทังปิ่งมาให้พวกเราหกชาม เอาแบบแห้งนะ ใส่เครื่องเคียงเต็มที่!”

 

เฉินสือพ่อครัวทหารประตูซีสุ่ยหันไปตะโกนบอกหวังโหรวฮวาที่กำลังยุ่งอยู่ จากนั้นก็มองหาโต๊ะว่างพาหยางไฮว๋อวี้มานั่งเรียบร้อย

 

“พี่อวี้อย่าได้ดูแคลนว่าร้านซอมซ่อ ทังปิ่งที่หญิงเจ้าของร้านนี้ทำไม่ใช่ธรรมดาเลย ข้าคนแซ่เฉินกินทังปิ่งมาก็หลายปีนัก มีของที่นี่แลที่นับว่าเป็นอันดับหนึ่ง”

 

หยางไฮว๋อวี้เหลือบมองนางเถี่ยหวังซื่อที่มองตัวเองอยู่อย่างเย็นชาแล้วเอ่ยว่า “ชิมดูก่อนถึงจะรู้ ทังปิ่งของข้าเติมหอมกระเทียมมากหน่อย ไม่เอาผักสีเขียว”

 

หวังโหรวฮวารู้สึกสับสนอยู่บ้าง นางรู้สึกว่าเหมือนเคยเห็นหน้าทหารต้องโทษ[4]ที่นั่งอยู่ตรงกลางผู้นั้นมาก่อน แต่กลับนึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน

 

ทว่านางก็ปัดเรื่องนี้ออกไปจากความคิดในทันที หลายวันมานี้ผู้คนมากินทังปิ่งที่ร้านของนางมีมากมายไม่ขาดสาย ใครจะจดจำใบหน้าคนพวกนั้นได้เล่า ว่าแล้วนางก็หันกลับไปลวกทังปิ่งให้พวกเขา

 

เถี่ยซินหยวนที่มีเชือกรัดข้อเท้าไว้เห็นว่าพวกหยางไฮว๋อวี้เดินเข้ามาแล้ว เขารู้สึกดีใจเหลือจะกล่าว ‘โอ้ สวรรค์ ในที่สุดก็มีโอกาสเอาเห็ดพิษใส่ลงในอาหารของคนพวกนี้แล้ว...’

 

เขาไม่เป็นกังวลเลยสักนิดว่าผู้อื่นจะสงสัยร้านเล็กๆ ของตัวเอง เขาเคยทดลองกับไก่ตัวหนึ่งมาแล้ว พิษในตัวไก่กว่าจะออกฤทธิ์ก็ประมาณหนึ่งก้านธูป ถ้าหากวัดจากปริมาณและลักษณะร่างกายคน เอาผงเห็ดพิษหนึ่งกำมือใส่ในชามอาหารของหยางไฮว๋อวี้ กว่าจะถึงเวลาออกฤทธิ์อย่างน้อยคงหลังจากนี้ประมาณสองชั่วยาม

 

หลังจากนี้สองชั่วยามใครจะสงสัยได้ว่า เป็นเพราะมากินอาหารที่ร้านเล็กๆ ของเขาจนเกิดอาการคลุ้มคลั่งขึ้นมา?

 

เห็ดชนิดนี้จะช่วยดึงรสชาติอาหารออกมาได้มากขึ้น เถี่ยซินหยวนแสยะยิ้มแล้วเดินไปที่เตาไฟ เขารับรองได้เลย ทังปิ่งที่หยางไฮว๋อวี้กินเข้าไปจะต้องมีรสชาติอร่อยกว่าชามอื่นแน่...

 

มารดากำลังเติมเครื่องเคียงลงชามใบอื่นอยู่ ส่วนที่เหลืออีกห้าชามวางอยู่ตรงหน้าเขานี่เอง อีกทั้งมีเตาไฟบดบังสายตาไม่ให้พวกหยางไฮว๋อวี้เห็นอยู่แล้ว นับว่าเป็นช่วงเวลาอันดีเยี่ยมในการวางยาพิษ

 

มีเสียง ‘พลั่ก’ ดังขึ้น เถี่ยซินหยวนล้มลงไปกองกับพื้น ผงเห็ดพิษในมือสาดกระจายเต็มไปหมด...เชือกรัดข้อเท้าเขาเอาไว้แน่นจริงๆ

 

ก้าวเดียว...อีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น เขาก็จะใส่ผงเห็ดในมือลงชามของหยางไฮว๋อวี้ได้แล้ว

 

หวังโหรวฮวาเห็นบุตรชายล้มลงก็รีบร้อนเข้ามาอุ้มเขา เห็นสองมือของเด็กน้อยเลอะผงอะไรบางอย่างหน้าตาดูแปลกๆ ก็นึกไปว่าคงเปื้อนดินบนพื้น จึงล้างสองมือน้อยๆ ในอ่างน้ำจนสะอาด จากนั้นนำบุตรชายที่ไม่พูดจาเลยสักแอะวางลงในถังไม้ใบเล็กที่ปูเบาะเอาไว้อีกครั้ง และผูกเชือกที่รัดข้อเท้าให้รั้งระยะสั้นกว่าเดิม เขาจะได้ไม่เดินไปที่เตาไฟอีก

 

เถี่ยซินหยวนเอาสองมือเท้าคางอย่างหดหู่ เขาจับตามองหยางไฮว๋อวี้ที่กินทังปิ่งอย่างตะกรุมตะกรามจนหมด แล้ววางชามกระเบื้องเนื้อหยาบใบใหญ่กระแทกลงบนโต๊ะ ก่อนจะกล่าววาจาไร้มารยาทออกมาประโยคหนึ่งว่า “รสชาติก็พื้นๆ”

 

จากนั้นก็วางเหรียญอีแปะเอาไว้กองหนึ่ง เดินอาดๆ จากไปท่ามกลางพวกเฉินสือที่คอยตามประกบ

 

ดวงอาทิตย์ยังไม่ทันจะตกดิน อาหารในร้านหวังโหรวฮวาก็ขายหมดแล้ว นางหันไปบอกกับลูกค้าด้วยความลำบากใจว่า “พรุ่งนี้ร้านข้าจะเตรียมทังปิ่งเพิ่มแน่ วันนี้ต้องขอโทษด้วยจริงๆ”

 

ลูกค้าทั้งหลายส่งเสียงบ่นพึมพำแล้วเดินจากไป หวังโหรวฮวาจึงขนกล่องใส่ข้าวของรวมทั้งเตาไฟทำอาหารวางบนรถเข็น ถึงค่อยอุ้มเถี่ยซินหยวนแบกไว้บนหลัง จากนั้นสองแม่ลูกเดินตามฝูงชนที่คึกคักจอแจ กลับบ้านใต้กำแพงเมืองเขตพระราชฐาน

 

เจ้าจิ้งจอกนั่งรออยู่หน้าประตูนานแล้ว เมื่อเห็นหวังโหรวฮวาและเถี่ยซินหยวนกลับมา ก็ดีใจจนยกหางฟูฟ่องส่ายไปมาอย่างรวดเร็ว แต่ว่าต่อให้มันดีใจจนกระโดดโลดเต้น ก็ยังไม่ออกมานอกระยะสิบก้าวจากกำแพง

 

รถขนของถูกเข็นมาถึงหน้าประตู หวังโหรวฮวาไม่มีกะจิตกะใจจะไปยกของลงมา นางรีบกอดถุงเงินเดินเข้าบ้านไป การนับเงินที่ได้รับมาในแต่ละวันเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สุดของหญิงผู้นี้

 

มารดาเขากำลังง่วนอยู่กับการนับเงิน เจ้าจิ้งจอกน้อยกระโดดขึ้นมาเกาะบ่าของเถี่ยซินหยวน แล้วใช้ลิ้นเลียใบหน้าของเขาไม่หยุด จนเถี่ยซินหยวนผลักมันออกไปอีกทางหนึ่งด้วยความรำคาญ วันนี้ในปากของเจ้าตัวยุ่งคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นเนื้อแพะย่าง เมื่อดมกลิ่นให้ดีก็พบว่ายังมีเครื่องเทศหอมๆ ปะปนอยู่ไม่น้อย

 

ในดินแดนต้าซ่งเครื่องเทศพวกนี้มีราคาสูงนัก ราคาสูงมากเสียจนชาวบ้านธรรมดาทั่วไปไม่มีปัญญาหามากินได้ ไม่ว่าจะเป็นพริกไทยหรือว่าโป๊ยกั๊ก[5]ต่างมีแหล่งเพาะปลูกอยู่ในดินแดนห่างไกลโพ้นทะเลเท่านั้น ไม่มีทางหาพบได้ในแผ่นดินต้าซ่ง

 

ไม่ว่าจะเป็นขบวนเรือทะเลหรือว่าคณะเดินทางด้วยอูฐ หลังจากนำเครื่องเทศมาส่งถึงต้าซ่งแล้ว มันก็เป็นของมีค่าเหมือนกับเหรียญทองแดง

 

หวังโหรวฮวาไม่อาจหาซื้อเครื่องเทศได้มากมายขนาดนั้น นางซื้อมาเพียงอย่างละนิดละหน่อยเพื่อลองทำอาหาร ดังนั้นเจ้าจิ้งจอกน้อยจึงอาสาเข้าไปฉกจากในวังอย่างกล้าหาญ...

 

มารดาของเถี่ยซินหยวนไม่เข้าใจว่า เหตุใดเนื้อหมูที่นางต้มด้วยน้ำพะโล้ธรรมดาถึงได้อร่อยขนาดนั้น นางยกเรื่องให้เป็นผลจากการคุ้มครองของพี่ชีอย่างเคย

 

หลังจากนับเงินเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางถึงเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้าขึ้นมา แต่ก็ยังกัดฟันทนนำข้าวของที่ใช้ทำมาหากินกลับเข้าบ้าน หลังจากล้างทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว นางจึงไปที่เตาแล้วยกโจ๊กข้าวฟ่างเหนียวข้นมาชามหนึ่ง ฉีกชุยปิ่งเป็นชิ้นๆ ใส่ลงในชามโจ๊กแล้วยกมาให้บุตรชาย จากนั้นก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงเพื่อพักผ่อน

 

เถี่ยซินหยวนตักโจ๊กข้าวฟ่างใส่ชุยปิ่งกินทีละคำ ในขณะที่มารดาของเขานอนกรนครอกๆ อย่างเป็นสุขไปแล้ว ส่วนเจ้าจิ้งจอกหลังดมกลิ่นอาหารในชามของเถี่ยซินหยวนก็หมดความอยากอาหาร จึงไปหมอบอยู่ตรงเท้าของเขา เอาหน้าซุกหางของตัวเองหลับไป

 

หลังจากเถี่ยซินหยวนกินอาหารเสร็จ ก็ยกชามไม้ไปล้างจนสะอาดแล้วนำกลับมาวางบนโต๊ะ จากนั้นจึงล้วงเอาห่อเครื่องเทศใบใหญ่ที่เจ้าจิ้งจอกนำมาออกจากใต้เตียง ก่อนจะเริ่มคัดแยกอย่างละเอียด

 

ปกติมารดาจะงีบหลับครั้งละประมาณหนึ่งชั่วยาม เวลานี้ฟืนที่เตาไฟไหม้หมดแล้ว เถี่ยซินหยวนเติมฟืนใส่ใต้เตาไฟเล็กน้อย น้ำพะโล้ในหม้อจึงเริ่มส่งเสียงเดือดปุดๆ ขึ้นมา เขาหันไปเตะเจ้าจิ้งจอกครั้งหนึ่ง มันถึงคาบห่อเครื่องปรุงรสกระโดดขึ้นไปบนแท่นวางหม้อ แล้วเททุกอย่างลงไปในนั้น มันได้รับมอบหมายให้ทำงานนี้มาหลายต่อหลายครั้งแล้ว

 

แสงไฟวูบวาบประเดี๋ยวมืดประเดี๋ยวสว่างสะท้อนกับใบหน้าของเถี่ยซินหยวน บนใบหน้าอ่อนเยาว์ของเด็กน้อยแสดงอารมณ์หลากหลายดังที่ผู้ใหญ่พึงมีอย่างต่อเนื่อง

 

วันนี้เขาแก้แค้นหยางไฮว๋อวี้ไม่สำเร็จ จนทำให้เขาต้องประเมินความสามารถที่ตัวเองมีอยู่เสียใหม่ เขาลงมือวู่วามเกินไปแล้ว แทบจะเรียกได้ว่าพออารมณ์พลุ่งพล่านก็ลงมือทำทันที

 

เขาสามารถจินตนาการได้เลยว่า ถ้าหากวันใดเกิดเรื่องกับหยางไฮว๋อวี้ จวนตระกูลหยางไม่มีทางจบเรื่องโดยง่ายแน่ ต่อให้ร้านทังปิ่งพี่ชีไม่น่าสงสัย ก็อาจโดนลูกหลงจากพวกเขาทำร้ายบาดเจ็บได้

 

มารดาของเขามีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าว่าจะใช้กิจการร้านอาหารเล็กๆ แห่งนี้หาเลี้ยงชีพ ถ้าหากวันใดร้านนี้ถูกทำลาย เถี่ยซินหยวนไม่กล้าคิดเลยว่านางจะเศร้าโศกเสียใจสักแค่ไหน

 

อินทรีโผบินสู่ฟ้ากว้าง[6]เป็นเรื่องของอินทรีตัวผู้ที่โตเต็มวัยแล้วถึงจะทำได้ กว่าลูกอินทรีจะมีขนงอกปกคลุมทั่วร่าง ควรเก็บกรงเล็บของตัวเองเอาไว้ แล้วอยู่อย่างสงบเสงี่ยมจะดีที่สุด

 

เถี่ยซินหยวนถอนหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง ก่อนจะนำถุงใบเล็กที่ใส่ผงเห็ดพิษในช่องว่างตรงหน้าท้องส่งให้เจ้าจิ้งจอก ปล่อยให้มันคาบถุงใบนั้นจากไปอย่างรวดเร็ว มันจะต้องนำของไปซ่อนไว้อย่างดีแน่ เพราะว่าความสามารถนี้เป็นพรสวรรค์ที่ติดตัวมา

 

“แม่สาวน้อยเอย

ยามเช้าตรู่ลุกจากเตียงนอน

ถกขาเกงกางไปเข้าส้วม

ในส้วมมีคนอยู่จะทำฉันใดเล่า

คงได้แต่ปล่อยใส่กางเกงเอย...”

 

เถี่ยซินหยวนฮัมเพลงที่ไม่มีชื่อเพลงหนึ่งแผ่วเบา พยายามปลุกปลอบใจไม่ให้รู้สึกซึมเศร้า อีกทั้งยังเติมฟืนเข้าไปในเตาอย่างต่อเนื่อง น้ำพะโล้นี้จะต้องต้มจนเดือดด้วยไฟแรงเพื่อฆ่าเชื้อโรคออกให้หมด จากนั้นค่อยเคี่ยวต่อด้วยไฟอ่อนๆ

 

มารดาไม่เคยเข้าใจว่าเหตุใดเครื่องเทศถุงเดียวที่มีถึงใช้ได้นานปานนี้ นางยิ่งไม่เคยรู้ว่าน้ำพะโล้จะต้องเติมเครื่องเทศเพิ่มอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าเมื่อก่อนนางจะเป็นหญิงสาวจากครอบครัวฐานะมั่งคั่ง หรือภายหลังที่เป็นหญิงชาวนาก็ตาม นางก็ไม่เคยรู้จักวิธีการใช้เครื่องเทศดีนัก

 

ฟืนในเตาไฟค่อยๆ มอดดับลง ในบ้านอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมกรุ่นจากน้ำพะโล้ เถี่ยซินหยวนจึงเปิดประตูบ้าน เพื่อให้กลิ่นหอมนี้กระจายออกไปโดยเร็ว มารดาผู้เหนื่อยล้าอาจจะตื่นขึ้นมาในอีกไม่นานนี้ ถ้าหากนางเห็นว่าบุตรชายลงมือทำอะไรไปบ้างคงตกใจน่าดู

 

เถี่ยซินหยวนนั่งอยู่ตรงธรณีประตู เขาเฝ้ามองเจ้าจิ้งจอกยื่นจมูกดมทางนั้นทีทางนี้ที เพื่อตามหาสมบัติที่มันต้องการ ส่วนเด็กชายหอยโข่ง[7]อย่างเขาอารมณ์ดีขึ้นมากทีเดียว

 

หน้าที่ของเขาในตอนนี้ก็คือ แค่ทำให้มารดาผู้เหนื่อยยากเบิกบานใจขึ้นบ้างล้วนดีกว่าอะไรทั้งนั้น...

 

หวังโหรวฮวายกมือนวดคลึงดวงตาแล้วลุกขึ้นจากเตียง นางสูดจมูกฟุดฟิดด้วยความสงสัยเล็กน้อย กลิ่นหอมที่ลอยอบอวลอยู่ในบ้านยังไม่ทันจางหายไปจนหมด นางเดินมาสัมผัสหม้อต้มที่ยังร้อนฉ่า แล้วเปิดฝาเพื่อดมกลิ่นน้ำแกงที่ต้มไว้ สีหน้าเต็มไปด้วยความเคลิบเคลิ้ม

 

นางหันไปเห็นบุตรชายนั่งอยู่ตรงธรณีประตูตามลำพังมองเจ้าจิ้งจอกวิ่งเล่น ก็อุ้มเขาเข้ามาในบ้านวางลงบนเตียงที่ตัวเองเพิ่งลุกขึ้นมาและยังเหลือไออุ่นจางๆ

 

เถี่ยซินหยวนชี้ไปทางชามและช้อนกินข้าวที่ถูกล้างจนสะอาดเอี่ยมบนโต๊ะ แล้วขอคำชมจากมารดาด้วยความภาคภูมิใจ หลังจากหวังโหรวฮวาเห็นช้อนและชามพวกนั้นแล้ว ก็หอมแก้มบุตรชายแรงๆ ครั้งหนึ่งก่อนเอ่ยปากว่า “เด็กดีของแม่ เด็กอายุขวบกว่าบ้านไหนจะเฉลียวฉลาดเท่าลูกของแม่บ้าง”

 

หลังจากแยกมาอยู่ตามลำพังเป็นเวลานาน ทำให้หวังโหรวฮวาลืมไปว่าพัฒนาการเติบโตอย่างปกติของเด็กคนหนึ่งเป็นอย่างไรไปสนิท นอกจากไปที่ย่านการค้าเพื่อขายอาหารแล้ว นางแทบไม่เคยคบหาสมาคมกับคนนอก แถวประตูซีสุ่ยส่วนมากก็มีแต่พวกใช้แรงงานและนายทหาร ไม่มีใครเข้ามาคุยเรื่องลูกกับนางแน่ ฉะนั้นพฤติกรรมแปลกประหลาดที่เถี่ยซินหยวนแสดงออกมาแต่ละอย่าง นางกลับเห็นว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา หัวใจของมารดาคนหนึ่งเชื่อมั่นว่าบุตรชายของนางสมควรเฉลียวฉลาดเช่นนี้ถึงจะถูก!

 

----------------------------

 

[1] เมืองเปี้ยนจิง(汴京城)เมืองหลวงสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ ซึ่งในปัจจุบันคือเมืองไคเฟิง (开封市) ในมณฑลเหอหนาน

[2] โทษประหารฤดูใบไม้ร่วง(秋决)ในสมัยโบราณประเทศจีนจะประหารนักโทษทุกฤดูใบไม้ร่วง

[3] แดนจองจำที่ชางโจว(沧州牢城)ภูมิประเทศทุรกันดารเหมาะแก่การควบคุมนักโทษโดยโทษเนรเทศไปชางโจวจะมาคู่กับการสักใบหน้า

[4] ทหารต้องโทษ(贼配军)คำเรียกเชิงลบต่อคนที่ทำผิดกฎหมายแล้วถูกส่งไปทำงานหนักที่ค่ายทหารในสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ

[5] โป๊ยกั๊ก(八角)เครื่องเทศที่มีผลเป็นรูปดาว เป็นต้นไม้ขนาดเล็กไม่ผลัดใบ มีถิ่นกำเนิดทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน มีการใช้กันอย่างแพร่หลายในอาหารจีนกับอาหารอินเดีย

[6] อินทรีโผบินสู่ฟ้ากว้าง(鹰击长空)เปรียบเปรยถึงผู้มีปณิธานมุ่งมั่นแรงกล้าได้แสดงความสามารถของตัวเอง

[7] เด็กชายหอยโข่ง(田螺孩子)มาจากตำนานพื้นบ้านของจีนเรื่องแม่นางหอยโข่ง(田螺姑娘)เนื้อเรื่องเกี่ยวกับหญิงสาวที่คอยช่วยเหลือชาวนาคนหนึ่ง โดยนางจะออกมาจากหอยโข่งคอยช่วยทำความสะอาดบ้านและทำกับข้าวให้

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด