ตอนที่ 28 ประจันหน้ากับความกังวล
ตอนที่ 28 ประจันหน้ากับความกังวล
ข่าวของการจัดแข่งประลองยุทธรอบคัดเลือกที่จะจัดยังเขาเสวี่ยแพร่กระจายไปทั่วทุกพื้นที่ สร้างความตื่นตาและแปลกประหลาดให้กับทุกสำนักเป็นอย่างมากเนื่องจากปรกติแล้วจะต้องจัดที่เขตปกครองของสกุลเหอเป็นหลัก นี่เป็นครั้งแรกที่จัดที่เขตอื่น ซ้ำยังเป็นเขาเสวี่ย ที่ได้ชื่อว่าเป็นแดนเร้นลับมากชุมด้วยปิศาจแผงกาย
'สมแล้วที่เปลี่ยนกติการอบคัดเลือกเป็นการไล่ล่าปิศาจ การใช้เขาเสวี่ยนี้สกุลเหอถือว่าฉลาดไม่เบา'
นี่คือเสียงลือเสียงเล่าจากวงสนทนาตามโต๊ะก๊งเหล้าตามร้านอาหาร
และนั่นทำให้ทั้งสำนักใหญ่บ้างก็ดี เล็กบ้างก็ดี ต่างกระตือรือร้นกันเสียยกใหญ่ เนื่องจากกติกาอันแปลกใหม่และสถานที่จัดที่แปลกใหม่ จึงทำให้ระยะเวลาช่วงนี้ ต่างก็จะได้เห็นเหล่าศิษย์รุ่นใหม่ไฟแรงทั้งหลายต่าตั้งใจฝึกฝนกันเสียยกใหญ่
คนเข้าร่วมตื่นเต้นก็ดีใจ…แต่คนจัดงานสิเหนื่อยใจ…
เสวี่ยหงเยว่ได้แต่คิดเช่นนั้น ระหว่างทอดสายตามองเหล่าศิษย์น้อยอนาคตไกลทั้งหลายออกมาฝึกฝนซ้อมกันเสียเต็มลานนิลปัทม์ จะว่าชื่นใจมันก็ใช่ แต่สภาพเหนือยงานจนหลังเดาะเช่นนี้ คนแก่ (ในแง่อายุวิญญาณ) อย่างเขาก็ไม่มีอารมณ์จะมาซาบซึ้งกับกิจกรรมลูกผู้ชายของเด็กวัยรุ่นสักเท่าไร
นับตั้งแต่เขาประชุมจัดงานกับสกุลเหอ นี่ก็ผ่านมาได้เฉียด ๆ สองเดือนกว่าจะสามเดือนแล้ว การจัดเตรียมสร้างงานใหญ่ยักษ์ระดับโอลิมปิกแต่เจือกมีเดดไลน์จ่อคอสั้นยิ่งกว่าทำธีสิส มันช่างกินแรงของเขาอย่างเหลือล้น กว่าจะเนรมิตสถานที่จัดงาน สถานที่เข้าชม สถานที่ที่ใช้แข่งขัน ไล่เลยไปจนถึงการโปรโมตการประลอง นอกจากจะหมดงบไปโขแล้ว ยังสิ้นเปลืองพลังงานและสุขภาพของประมุขเช่นเขาเหลือเกิน
ชายหนุ่นถอนหายใจออกมายาว ๆ ช่วงนี้เขายุ่ง และการยุ่งกับงานมากเช่นนี้ย่อมมีเวลาลงไปหาเหอไป๋เทียนได้น้อยนัก ตลอดสองเดือนกว่าเกือบสามเดือนนี้ เขาได้เจอเหอไป๋เทียนน้อยมาแทบจะนับครั้งได้ แถมเจอกันก็แค่ไม่นาน เช้าไปหา เย็นก็กลับมาทำงานต่อ
“ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเหงา น้อยใจเราแล้วหรือยังนะ” พึมพำออกมาเบาๆ พลางทอดสายตามองไกล แทนที่กลัวจะเด็กคนนั้นจะเหงาน แต่ดูเหมือนตอนนี้คนที่กำลังเหงา น่าจะเป็นเสวี่ยหงเยว่มากกว่า
ทว่า…เจ้าตัวก็ไม่ได้รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย
แล้วลมหายใจเบาๆ ก็พ่นออกมาจากริมฝีปาก แม้ใจอยากจะเจอแค่ไหน แต่อีกใจก็รู้สึกทำใจยากที่จะเข้าหน้า
นับตั้งแต่ได้ต่างหูพันธนาการมา เขามักมีนิมิตของเสวี่ยหงเยว่ตัวต้นฉบับปรากฏเข้ามาในความฝันอยู่เรื่อย ๆ มันเป็นเส้นเรื่องที่เขาไม่เคยอ่าน ทั้งเบื้องลึก ทั้งเบื้องหลัง จะฆ่าใครบ้าง จะทำลายอะไรบ้าง เขาเห็นมันจนเกือบหมด ถ้าพูดให้ถูกมันคือเนื้อหาที่เข้ามาเติมเต็มรายละเอียดของสตอรี่ตัวร้ายที่ไม่มีระบุในเรื่องย่อเสียมากกว่า
และ...เส้นเรื่องบางส่วน มันก็ทำให้เขารู้สึกกระอักกระอวนใจไม่น้อย เวลาเจอหน้าเหอไป๋เทียน
ทว่าในระหว่างที่เสวี่ยหงเยว่กำลังคิดอะไรในหัวอยู่นั้นเอง กระดาษแผ่นน้อยที่พับเป็นรูปทรงผีเสื้อก็บินเข้ามาหา ซึ่งกระดาษแผ่นนั้น เป็นสิ่งที่รู้กันดีระหว่างเขาและเหอไป๋เทียนเพราะพวกเขาทั้งสองใช้การพับเป็นรูปผีเสื้อเพื่อแทนสัญลักษณ์การส่งจดหมายหากันและกัน
เสวี่ยหงเยว่เอื้อมมือไปรับจดหมายเวทนั้นอย่างรวดเร็ว สิ่งที่เขียนมาในนั้นเป็นเรื่องราวทั่วไปอย่างวันนี้เรียนอะไรบ้าง อาหารเช้าอาหารเย็นคืออะไร ทว่ารอยยิ้มน้อย ๆ ก็พลันปรากฏบนใบหน้า ความสุขลอยวาบเข้ามาในอกอย่างห้ามไม่อยู่
และในวินาทีนั้น...
เสวี่ยหงเยว่ก็ปฏิเสธตัวเองไม่ได้เลยว่าตนอยากเจอเหอไป๋เทียนมากแค่ไหน...
เสียงกระทบกันของโลหะหนักดังขึ้นในบริเวณป่าด้านหลังหมู่บ้าน ซึ่งเป็นจุดที่ไม่มีใครสัญจรผ่านสักเท่าใดนัก ทว่าตอนนี้กลับมีชายสองคนและกระบี่ใน แม้มองแต่ไกลก็ดูรู้แล้วว่าเป็นการฝึกซ้อม แลกเปลี่ยนทักษะซึ่งกันและกันทว่าความจริงจัง และท่วงท่าที่ใช้ในการประมือนั้น จัดได้ว่าน่าชมนัก
เพราะคนที่กำลังซ้อมกระบี่อยู่นั้นก็คือเหมินจิ้นเค่อและเหอไป๋เทียนนั้นเอง
เหมินจิ้นเค่อมองวิชาที่เหอไป๋เทียนที่ใช้ต่อสู้ไปพลาง ตั้งรับกับการวาดกระบี่ของเด็กชายไปพลาง ในใจนึกชื่นชมไม่หาย ในระยะเวลาที่ฝึกฝนด้วยกันมาหลายเดือน เขาเห็นพัฒนาการของ ‘ศิษย์’ คนนี้มาโดยตลอด
และยิ่งหลังจากเหอไป๋เทียนกลับมาจากเมืองโหย่วเผิง เขาก็ยิ่งพบว่าระดับการพัฒนาก้าวไปไกลยิ่งกว่าก้าวกระโดดเสียอีก…เก่งชึ้นมากชนิดที่หากดึงตัวมาเป็นศิษย์ของเสวี่ยได้ เหอไป๋เทียนคงเป็นศิษย์ที่มีอนาคตไกลมาก ๆ คนหนึ่งเป็นแน่
และเมื่อจบการฝึกซ้อม โดยมีเหมินจิ้นเค่อเป็นผู้ชนะดังเช่นทุกที พวกเขาทั้งสองก็เดินไปยังริมธาร ล้างเนื้อล้างตัวและดื่มน้ำสะอาด พักให้หายเหนื่อย
เหมินจิ้นเค่อนั่งลงบนโขดหินใหญ่ สายตาทองมองเหอไป๋เทียนไปด้วย ก่อนจะเริ่มพูดอะไรบางอย่าง
“เรื่องนั้น ท่านจะไม่บอกประมุ— ไม่บอกหงเสียหน่อยหรือขอรับ ท่านไป๋เทียน?” เหมินจิ้นเค่อเอ่ยถาม ทว่าเหอไป๋เทียนกลับส่ายหน้า
“หากบอกหงเกอไป ข้ากลัวเขาจะไม่อนุญาตขอรับ” เด็กชายเอ่ย เสียงนิ่งไปเล็กน้อย ระหว่างที่ใช้มือลูบไปตามแนวความยาวของปลอกกระบี่หานหลิ่ง
“ข้า…ทำไมงั้นหรือ?” แต่แล้วเสียงหนึ่งซึ่งดังจากด้านหลังก็ทำให้บทสนทนาของทั้งสองยุติลง เสวี่ยหงเยว่เดินลอดม่านไม้เข้ามาหา พลางขมวดคิ้วเล็ก ๆ เมื่ออยู่ ๆ ก็ได้ยินชื่อตนคล้ายโดนนินทา
“หงเกอ!!” เหอไป๋เทียนที่เห็นเสวี่ยหงเยว่นั้นก็รีบเดินมาหากทันที รอยยิ้มด้วยความดีใจประดับบนหน้า แล้วกอดคนที่ไม่ได้เจอกันหลายสัปดาห์ทันทีจนคนโดนกอดสะดุ้งเฮือก เสวี่ยหงเยว่ได้แต่วางฝ่ามือลูบผมเด็กชายสองสามทีก่อนจะดันออก
เพราะหากถูกกอดนานกว่านี้คงได้กรีดร้องด้วยคลั่งเด็กจนเก็กหลุดแน่ ๆ !
เขามองพิจารณาเด็กชายคนตรงหน้าเล็กน้อย คล้ายความรู้สึกบางอย่างตอนกอดนั้นดูเปลี่ยนไป เสวี่ยหงเยว่คิดว่าไม่ได้เจอกันแค่เพียงสองสามเดือนแท้ๆ แต่การเจริญเติบของเหอไป๋เทียนนั้นช่างพัฒนาไปไวนัก จากเด็กตัวน้อยหัวพ้นบ่าเขามานิดเดียว ตอนนี้สูงพรวดพราดกว่าเดิมจนห่างกันแค่ครึ่งช่วงหัว
สมแล้วที่เป็นเด็กวัยโต สมแล้วที่ออกกำลังกายทุกวัน...ฮือ...จะสูงทันตูแล้วววว
“แล้วตกลงว่า เมื่อครู่มีอะไรหรือไม่?” เสวี่ยหงเยว่กระแอมเล็กน้อยแล้วค่อยเอ่ยถาม ซึ่งทำให้เหอไป๋เทียนเลิกลั่ก พอเด็กชายจะหันไปขอความช่วยเหลือจากเหมินจิ้นเค่อพ่อคนซื่อก็ไม่ได้มีอาการที่ดีไปกว่าเขาสักเท่าไรนัก
แย่แล้ว – นั่นคือสิ่งที่เหอไป๋เทียนคิด
แต่ทว่าก็มีเสียงหนึ่งซึ่งเป็นดังเสียงนางฟ้ามาช่วยไว้ได้ทันท่วงที ก่อนคนซื่อทั้งสองจะกลายเป็นปลาบู่ตายเพราะโกหกไม่เก่ง
“ข้าเตรียมขนมหวานไว้แล้ว พวกท่านมาทานด้วยกันก่อนไหมเจ้าคะ?”
จงฉิงเจียที่เดินมาตามนั่นเอง
ในตอนนี้พวกเขาทั้งสี่นั่งอยู่ที่ชานไม้หลังร้านรับลมเย็นๆ ไปพลางกินขนมไปพลาง ของหวานที่จงฉิงเจียเตรียมไว้นั้นคือกั่วจื่อกาน ซึ่งเป็นลูกพลับแห้งแช่น้ำอุ่นจนน้ำนั้นมีรสหวานของพลับ โปะด้วยน้ำแข็งและรากบัว นับเป็นของหวานอร่อยๆ เหมาะกับยามฤดูร้อนเช่นนี้
เสวี่ยหงเยว่กินไปพลาง แอบฟินในใจไปพลาง อาหารที่จงฉิงเจียทำอร่อยเสมอ พักเหนื่อยด้วยการกินนี่มันช่างสุขใจยิ่งนัก
“ว่าแต่คราวนี้ หงเกอจะมาพักที่นี่กี่วันหรือขอรับ?” เหอไป๋เทียนถาม ระหว่างตักรากบัวเข้าปาก
“อีกประเดี๋ยวก็ออกไปแล้วล่ะ ข้า...อืม...ต้องเดินทางไปเมืองท่าเพื่อประชุมกับสกุลเหอ” เขาเว้นช่วงตอบเล็กน้อยเพราะกำลังนึกว่าจะแถยังไงให้ดูโกหกน้อยที่สุดอยู่ และเมื่อได้ยินคำตอบนั้น นั่นก็ทำให้เหอไป๋เทียนถึงกับขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ท่านพี่หรือขอรับ?” เหอไป๋เทียนถาม คำพูดนั้นก็ทำให้เสวี่ยหงเยว่ชะงักไป เขารีบสั่นหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ
“แค่เพียงประชุมพิธีเปิดงานสัปดาห์หน้า คุณชายเหอคงไม่ได้มาหรอก”
แล้วเหอไป๋เทียนก็ทำหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย เด็กชายกัดช้อนแล้วขมวดคิ้ว พอเห็นอาการเป็นเช่นนั้น เสวี่ยหงเยว่ก็มีปฏิกริยาอะไรบางอย่าง ความคิดหนึ่งไหลผ่านเข้าหัว ทว่าเขาก็ต้องรีบปัดความคิดนั้นให้ตกไปให้เร็วเท่าที่จะเร็วได้
“คิดถึงพี่หรือ” เสวี่ยหงเยว่เอ่ยถามที่ทำให้เด็กชายชะงักไป เหอไป๋เทียนทำปากพะงาบ ๆ คล้ายว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นช่างแทงใจดำจนออกปากพูดแก้ตัวไม่ได้เลย
นั่นทำให้อีกสองคนที่เหลือถึงกับหัวเราะด้วยความเอ็นดู เสวี่ยหงเยว่ค่อย ๆ ลูบเส้นผมสีดำขลับนั้นอย่างเบามือ
“เอาไว้ถึงวันงานแล้ว ข้าจะพาเจ้าไปพบพี่ชายละกันนะ” เขาตอบแม้จะไม่เต็มเสียงนักก็ตาม
ทว่าพอรับปากเสร็จแล้วก็เหงื่อแตกพราก...ลืมนึกไปเลยว่าสภาพตัวเองตอนนี้คือหงเกอไม่ใช่ประมุขเสวี่ย
เหอไป๋เทียนรู้จักเขาในสถานะหงเกอทว่าเหอไป๋หลานนั้นรู้จักเขาในสถานะเสวี่ยหงเยว่...
พอคิดได้แบบนั้นก็รู้สึกปวดมวลท้องขึ้นมาทันที
แต่กระนั้นเหอไป๋เทียนกลับทำหน้าแปลก ๆ เด็กชายมองไปทางเหมินจิ้นเค่อที จงฉิงเจียที คล้ายกับจะนึกอะไรบางอย่าง ก่อนจะพูดอะไรที่...
ที่...ทำให้เสวี่ยหงเยว่รู้สึกแปลกประหลาดใจนัก
เมื่อถึงช่วงสายเขาได้เดินทางลงไปยังเมืองท่าซึ่งบรรยากาศในเมืองตอนนี้นั้น แม้จะไม่คึกคักเท่าเมื่อก่อน แต่ก็ไม่ได้เบาบางเป็นเมืองร้างเหมือนหลังจากจบคดีสาหร่ายหัวผี
ลมเย็นเบาบางพัดผ่านท่ามกลางอากาศร้อน เสวี่ยหงเยว่ยกฝ่ามือขึ้นทัดผมตัวเองกับใบหู เฝ้ามองวิถีชีวิตของชาวบ้านอยู่เช่นนั้น เงียบๆ ในใจก็นึกถึงคำที่เหอไป๋เทียนพูดก่อนที่เขาจะลงมาที่เมืองโหย่วเผิงไปพลาง
“น้อง...จะไปกับเหมินเกอขอรับ วันนั้นหงเกอจะได้ไม่ต้องลำบากมารับน้อง”
นั่นคือสิ่งที่เหอไป๋เทียนบอกกับเขา และทำให้เสวี่ยหงเยว่ถึงกับรู้สึกแปลกประหลาดอยู่ในอก นี่เขาเอาแต่ทำงานจนไม่ได้ลงไปเยี่ยมนานมากหรือไร เด็กคนนั้นจึงติดเหมินจิ้นเค่อมากกว่าไปแล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดใจ ไม่กี่เดือนก่อนยังเอาแต่หงเกออย่างนั้น หงเกออย่างนี้ อยู่เลยแท้ ๆ หรือว่านี่เด็กคนนั้นถึงวัยโผบินออกจากรังโตเป็นหนุ่มเลิกติดพี่ไปแล้วกันนะ...เขาล่ะเศร้าใจเหลือเกิน
แต่แล้วในระหว่างที่เสวี่ยหงเยว่กำลังเหม่อลอยคิดถึงเหอไป๋เทียนอยู่นั้นเอง ด้านหลังของเขาก็ถูกสะกิดเรียก ซึ่งนั่นก็ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกแปลกประหลาดใจอยู่ไม่ใช่น้อย เพราะหากไม่ใช่คนรู้จักกันก็หาคนใจกล้ามาทักทายเขาอย่างใกล้ชิดเช่นนี้ยากนัก
และเมื่อหันไปหาต้นสาย คิ้วของเขาก็ขมวดมุ่นทันที
ชายคนนั้นมีร่างที่สูงแสนสง่าในอาภรณ์เครื่องทรงแสนหรูหราสมสถานะ เส้นผมสีดำขลับยาวเรียงตัวสวยมัดเป็นหางม้า ใบหน้าคมคายรับกับเครื่องหน้า ขับให้ไม่ว่าจะมุมใด ด้านใดล้วนชวนมองไปเสียหมด เรียกได้ว่าเป็นชายหนุ่มที่เพียบพร้อม มีรูปกายเป็นทรัพย์จนน่าอิจฉา
ดวงตาสีทองมองมาทางเสวี่ยหงเยว่อย่างอ่อนโยน
“ไม่ได้พบกันเสียนานนะ”
“...ไป๋หลาน...?”
นั่นคือสิ่งที่เสวี่ยหงเยว่พึมพำออกมา
ทางเดินทอดตัวยาว ไร้ซึ่งบทสนทนาจากชายทั้งสอง เสวี่ยหงเยว่นั้นไม่รู้ว่าตนควรจะเริ่มพูดอะไรดีจึงทำให้เขาทำได้แค่เดินตามแผ่นหลังของเหอไป๋หลานไปเรื่อยๆ นึกรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่ชายคนนั้นอยู่ในเมืองนี้ ในเมื่อการประชุมครั้งนี้ไม่ใช่การประชุมสำคัญ ส่งตัวแทนมาก็ยังได้แท้ๆ
“ว่าไปแล้วระยะหลายเดือนมานี้ เจ้ากับข้าแทบไม่ได้ติดต่อกันเลยไม่ใช่หรือ?” เหอไป๋หลานหันมา เขาค่อยๆ เดินตรงมาหาเสวี่ยหงเยว่ที่เดินตามหลัง เพื่อที่จะได้เดินไปพร้อมกัน ซึ่งการกระทำเช่นนั้นได้แต่ทำให้เสวี่ยหงเยว่เผลอทำหน้าอิหยังวะใส่อีกฝ่าย
เหอไป๋หลานนั้นคลุกคลีเรียนการปกครองกับเสวี่ยหงเยว่ด้วยกันมาตอนอายุสิบหก ซ้ำในเรื่องย่อก็ระบุชัดเจนว่าบทของอีกคนนั้นคือเพื่อนสนิทของเขา แต่ทว่าในตอนนี้เขากลับรู้สึกลำบากที่จะทำตัวสนิทสนมกันดังเช่นกาลก่อน
นั่นน่ะก็เพราะ...
แต่พอนึกแล้วเสวี่ยหงเยว่ก็เม้มปากสนิท เขาส่ายหน้า สั่นศรีษะเล็กน้อย ตีเนียนตอบคำถามของเหอไป๋หลานไป
“งานข้ายุ่งนัก...คงไม่อาจพบปะท่านได้บ่อยนัก ต้องขออภัยจริงๆ คุณชายไป๋หลาน” เขากล่าวอย่างสุภาพ รักษาระยะห่างเล็กน้อย แต่กระนั้น ก็ทำให้เหอไป๋หลานขมวดคิ้วมุ่ย
“หากไม่ใช่เรื่องงานแล้วเจ้าจะไม่คุยกับข้าดี ๆ เลยอย่างงั้นหรือ?” น้ำเสียงนั้นแสดงความน้อยใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด แค่ได้ฟังเสวี่ยหงเยว่ถึงกับใจบางไปด้วยความรู้สึกผิด สมกับที่เป็นพี่น้องสกุลเหอ ถอดนิสัยหมาน้อยขี้อ้อน ขี้น้อยใจมาเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน
ทว่าไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องทำใจแข็ง...กับเหอไป๋หลาน
“ข้าก็กำลังคุยกับท่านอย่างสุภาพขอรับ คุณชายเหอไป๋หลาน” เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นขึ้นมาเล็กน้อย เสวี่ยหงเยว่หยุดก้าวเดิน ก่อนจะผงกหัวให้คนตรงหน้า “ข้าเดินทางมาไกล เหนื่อยนัก คงต้องขอตัวตรงนี้ เพื่อที่จะได้ไปพักผ่อนก่อน ไว้พบกันที่งานประชุมขอรับ”
พูดจบก็ผินกาย หันหลังเดินไปยังอีกทิศ ไม่ทนฟังแม้กระทั้งเสียงเรียกจากเหอไป๋หลาน หากทำได้ เขาก็อยากเดินหนีออกไปให้ห่างจากชายคนนี้…เขาไม่อยากอยู่ใกล้เกินความจำเป็น
ไม่ใช่ว่าเขารังเกียจเหอไป๋หลาน ไม่ใช่ว่าเขาตั้งตนเป็นศัตรูกับอีกฝ่าย เหอไป๋หลานเป็นที่ดีเสมอต้นเสมอปลาย นับตั้งแต่สมัยเรียนจวบจนกระทั่งตอนนี้ ก็ยังคงคอยช่วยเหลือเขามานับครั้งไม่ถ้วน
ทว่า...
ชีวิตของเหอไป๋หลานถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ถูกกำหนดเอาไว้ตั้งแต่หน้าแรกของเรื่องย่อ นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ใช้เหอไป๋เทียนดำเนินเรื่อง การที่มีตัวละครเพอร์เฟ็คเกินหน้าเกินตาพระเอกอย่างเหอไป๋หลานนั้นจึงไม่ใช่มาเพื่อแค่สร้างปมอิจฉาในใจเพียงอย่างเดียว
ตัวละครตัวนี้เป็นทั้งพี่ชายของพระเอกและสหายรักของตัวร้าย บทบาทของเขามีผลสำคัญต่อเนื้อเรื่องเป็นอย่างมาก เพราะเมื่อถึงจุดๆ หนึ่งเขาจะกลายเป็นแรงผลักดันให้กับเหอไป๋เทียน เป็นจุดเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่ เพื่อให้คาร์แร็คเตอร์เด็กน้อยใสซื่อนั้นก้าวเข้าสู่โลกของผู้ใหญ่...ก้าวไปสู่การเป็นประมุขสกุลเหอแทนพี่ชาย
การสืบทอดหน้าที่ประมุขสกุลนั้นเป็นของบุตรชายคนโต แต่ถ้ามีเหตุที่ทำให้ประมุขผู้นั้นไม่อยู่ในสถานะที่ขึ้นปกครองได้ บัลลังก์จะตกไปสู่บุตรชายคนถัดมาทันที
และนั่นก็หมายความว่า ในอนาคตอันใกล้ที่จะถึงนี้...
เหอไป๋หลานจะต้องตาย...
เมื่อคิดถึงดังนั้น เสวี่ยหงเยว่ก็ทำหน้าเจ็บปวดขึ้นมา ชั่ววินาทีที่เหลียวหันกลับ เขามองแผ่นหลังเหอไป๋หลานที่เดินจากไปแล้ว ความรู้สึกโหวงในใจก็ค่อย ๆ ก่อเกิด ภาพของเสวี่ยจินหรงและเสวี่ยหนิงลี่นั้นปรากฏขึ้นมาในความทรงจำ เด่นชัดเสียจนเขาเผลอกำมือแน่นเข้า ความตายของตัวละครเหอไป๋หลานจะต้องเกิด เป็นเส้นเรื่องบังคับที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เช่นเดียวกับศึกสกุลจง
มันเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ ใช่ไหม?