ตอนที่ 28 ชาเกลผู้ถูกขายตัว
ตอนที่ 28 ชาเกลผู้ถูกขายตัว
“เปล่า...พอเจคตาย วันต่อมา...อีกวันเดียวก่อนที่จะกลับคาเรม สองคนนั้นก็ถูกฆ่าตายเหมือนกัน”
ดูเหมือนเรื่องน่าตกใจจะยังไม่หมดเสียที ได้ยินดังนั้นแล้วเอ็ดเวิร์ดก็จ้องมองไปยังบอดีการ์ดที่ด้านหลังเจ้าหญิงเฌอรีน เขาสัมผัสได้ว่านั่นคือผู้มีพลังวิญญาณอย่างแน่นอน จริงสินะ ผู้บัญชาการสูงสุดก็เคยบอกไว้ว่า บอดีการ์ดของเจ้าหญิงในตอนนี้คือคนที่ผ่านการทดสอบการปะทุพลังมา
“ตอนนี้บอดีการ์ดที่มีพลังวิญญาณสายพิเศษของเจ้าหญิงมีอยู่ทั้งหมดกี่คนเหรอครับ ยังไงคนของหน่วยเราก็เป็นคนที่มีพลังประเภทนี้เหมือนกัน รู้ข้อมูลเอาไว้สักหน่อยเผื่อว่าจะติดต่อประสานงานอะไรกันได้ในอนาคตนะครับ”
เอ็ดเวิร์ดถามคั่นเรื่องราวที่อังกฤษขึ้นมา
“ก็…” หญิงสาวทำท่านึกราวกับนับจำนวนในใจ “ทั้งหมด 7 คนน่ะ แต่น่าจะมีแค่ 4 คนที่มีพลังพอจะเอามาใช้ต่อสู้หรือป้องกันในฐานะงานบอดีการ์ดได้จริงๆ ส่วนอีก 3 คนดูเหมือนจะเป็นรูปแบบพลังที่ไม่เหมาะกับการต่อสู้เท่าไหร่”
นั่นมากกว่าหน่วยเคซีโร่ซะอีก! ท่านรองของหน่วยได้แต่อุทานในใจ ว่าแต่ 3 คนที่ใช้ไม่ได้นี่เป็นพลังรูปแบบไหนกันนะ ใช้ไมไ่ด้จริงๆ หรือแค่พลิกแพลงไปใช้ไม่เป็นมากกว่า หากพาไปฝึกอย่างจริงจังกับพวกเขาสักหน่อยก็ไม่แน่ว่าอาจจะมีคนทำงานเพิ่มได้
แต่ว่า...ต้องใช้คนไปจำนวนเท่าไรกัน ถึงจะเหลือรอดออกมาเป็น 7 คนสุดท้ายนี้
“พวกเขาตายได้ยังไงครับ สองคนที่อยู่กับเจ้าหญิงในตอนก่อนกลับมาที่คาเรม”
ฟอแกนด์พาทุกคนกลับมาเข้าเรื่องต่อ เหตุการณ์ที่อังกฤษยังไม่จบแค่นี้แน่ๆ
“หลังจากเจคตายเราก็ไม่สนใจอะไรอีกแล้ว เก็บตัวอยู่ในบ้านแค่รอเวลาเดินทาง เราติดนิสัยเป็นคนชอบเปิดเพลงเสียงดังในห้องจนไม่ได้ยินเสียงอื่นๆ ก็ไม่แน่ใจนักหรอกว่าเกิดอะไรขึ้น รู้ตัวอีกทีตำรวจก็เปิดประตูเข้ามาแล้วบอกว่ามีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น สองคนนั้นตายอยู่ที่หน้าบ้านของเราเอง เหมือนเพื่อนบ้านจะได้ยินเสียงการต่อสู้อะไรสักอย่าง ดูท่าไม่ดีก็เลยโทรแจ้งความ เราออกไปดูเหตุการณ์ก็เห็นว่าพวกเขาตายแล้วจริงๆ เราอยู่บ้านหลังนั้นมานาน เพื่อนบ้านหลังนั้นก็สนิทคุ้นเคยกันดี เราอยู่กับพวกเขาก่อนที่กองปราบวิญญาณของอังกฤษจะมารับตัวไปดูแล แล้วพาเราไปส่งจนถึงคาเรมด้วยวิธีการแปลกๆ ถ้าจำไม่ผิดเห็นว่าเป็นคนของหน่วย GER-0 ที่เข้ามาช่วยพาเรากลับมา”
ห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้งเมื่อเจ้าหญิงพูดจบ มีหลายข้อมูลที่ดูมีจุดอ่อนในนั้นเหลือเกิน แต่ที่ทางอังกฤษติดต่อหน่วย GER-0 ไปแทนที่จะเป็น K-0 อาจเพราะความสัมพันที่ใกล้ชิดกว่าทำให้คุยกันง่ายกว่าด้วยนั่นเอง
“พวกเขาตายจากสาเหตุอะไรครับ เกิดการต่อสู้มีบาดแผลหนักหรือว่าเหมือนคนช๊อกหมดสติเฉยๆ ต้องขออภัยที่ต้องให้นึกถึงอดีตที่ไม่ค่อยน่าจดจำ แต่มันสำคัญเพราะสาเหตุการเสียชีวิตอาจจะพอระบุได้ว่าคนร้ายเป็นคนด้วยกัน หรือเป็นพวกดิคเคนส์”
“พวกเขาตายด้วยบาดแผล เหมือนเกิดการต่อสู้กันแล้วถูกทำร้ายจนตายนั่นแหละ เรื่องคราวนั้นถูกสันนิษฐานว่าคนร้ายอาจจะต้องการตัวเรา แต่พอดีมีคนมาเห็นเข้าแล้วโทรแจ้งความ คนร้ายเลยหนีไปก่อน ยังมีคำถามอีกเยอะมั้ย”
ตอบคำถามแล้วเจ้าหญิงเฌอรีนก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ออกอาการชัดเจนว่าเริ่มเบื่อหน่ายที่จะต้องตอบคำถามแล้ว
“ขอรบกวนอีกสักหน่อยนะครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญจริงๆ ในสามสัปดาห์นั้น นอกจากที่เล่ามาแล้วเจ้าหญิงไม่ได้ไปไหนพบกับใครอื่นเลยใช่มั้ยครับ นอกจากอยู่ที่บ้านพัก ไปโรงพยาบาล ไปที่ชายหาดนั่น แล้วถูกพากลับมา”
“ใช่ มีอยู่แค่นั้นแหละ พอกลับมาที่นี่แล้วได้ผลทดสอบพลังออกมาแบบนี้ เราก็แทบไม่ได้ออกไปไหนอีกเลย”
ฟอแกนด์ลอบถอนใจที่เส้นทางข้อมูลที่ปิดแคบลง ก่อนจะหยิบแท็บเล็ตขึ้นมาเปิดภาพๆ หนึ่งขึ้นแล้วส่งให้ทางเจ้าหญิงดู ในตอนนั้นเองที่บอดีการ์ดชายวิ่งเข้ามารับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไว้ ก่อนจะตรวจสอบความปลอดภัยต่างๆ แล้วส่งมอบให้เจ้าหญิงเฌอรีนอีกครั้ง
“ไม่ทราบว่าเจ้าหญิงพอจะจำหน้าหรือรู้จักคนที่อยู่ในภาพนี้บ้างมั้ยครับ”
เจ้าหญิงแห่งคาเรมปัดผ่านดูภาพหญิงสาวผมสีทองรูปร่างดีคนหนึ่งอยู่หลายภาพ รวมถึงชายอีกคนที่เหมือนเป็นศพนอนอยู่ใต้ผ้าสีขาวโผล่มาแต่ใบหน้า ทำท่านึกอยู่ชั่วขณะก่อนจะส่ายหน้าตอบกลับ
“ไม่รู้จักเลย พวกเขาเป็นใคร”
“พวกลูกสมุนของคนร้ายที่เรากำลังตามจับน่ะครับ ลองเปิดไปต่ออีกสักนิดจะมีภาพสเก็ตช์คนร้ายที่เป็นตัวการ จุดเด่นหลักๆ เลยคือชายหนุ่มอายุยี่สิบกลางๆ ถึงปลายๆ ผมสีทอง ผิวขาว ดูเป็นเชื้อชาติแถบยุโรป ไม่ทราบว่าพอจะนึกอะไรออกบ้างมั้ยครับ”
“เราอยู่ที่อังกฤษตังแต่ห้าขวบ ผู้ชายผมสีทองก็เจอมากพอกับจำนวนอาหารทุกมื้อที่ทานเข้าไปนั่นแหละ”
เจ้าหญิงเฌอรีนเลื่อนเปิดดูไปถึงภาพสเก็ตช์ของคนร้ายผมทองดังกล่าว หญิงสาวขมวดคิ้วราวกับพยายามนึกแต่สุดท้ายก็ยอมแพ้ไป
“นึกไม่ออกเลย ดูลักษณะก็เหมือนผู้ชายยุโรปผมทองหน้าตาดีทั่วไปนั่นแหละ”
“ถ้าอย่างนั้น รบกวนเจ้าหญิงช่วยบอกชื่อเต็มของคุณเจค เมดรับใช้สองคนกับบอดีการ์ดสองคนที่ตายไป กับข้อมูลเพื่อนข้างบ้านที่เคยอยู่ที่อังกฤษได้มั้ยครับ เผื่อทางเราจะได้ไปสืบหาข้อมูลอะไรต่อได้”
“ทำไมเพื่อนบ้านต้องถูกตรวจสอบด้วยล่ะ”
“ก็ไม่เชิงตรวจสอบในแง่ร้ายแบบนั้นครับ อาจจะแค่ขอไปสอบปากคำอีกครั้งเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนเขาโทรแจ้งความ”
“งั้นก็ได้ เดี๋ยวเราจะเขียนให้”
เจ้าหญิงเฌอรีนกดปิดภาพถ่ายกลับมาหน้าจอหลัก แล้วเปิดแอพลิเคชันจดบันทึกขึ้นมาก่อนจะใช้นิ้วจิ้มอย่างคล่องแคล่ว ไม่นานนักทุกอย่างก็เสร็จสรรพแล้วอุปกรณ์ก็ถูกส่งกลับคืนมา เอ็ดเวิร์ดเป็นคนตรวจสอบข้อมูลนั้นคร่าวๆ และคาดว่าเท่านี้ก็น่าจะเพียงพอต่อการสืบค้นหาตัวตนในเบื้องต้นแล้ว
“พอจะมีภาพถ่ายของทุกคนในตอนนั้นอยู่บ้างมั้ยครับ”
หญิงสาวถอนใจอีกรอบแล้วมองมาที่ฟอแกนด์ หัวหน้าหน่วยวัยย่างสี่สิบยังคงตีหน้านิ่งเอาจริงเอาจังเข้าต่อสู้
“ก็พอจะมี...แต่เรามีแค่ภาพของเจคนะ ผู้ติดตามอีกสี่คนไม่เคยถ่ายรูปไว้ด้วย จะให้ส่งให้ยังไง”
“เดี๋ยวผมจะให้อีเมลของหน่วย…”
“เอาไลน์ของชาเกลมา แล้วเราจะส่งให้”
เป็นข้อต่อรองที่ทำเอาเฮคเตอร์สำลักอากาศ นึกสงสารเพื่อนขึ้นมาอย่างประหลาดในทันที
“นาย…” เจ้าหญิงเฌอรีนหันไปทางเฮคเตอร์ “ออกไปตามชาเกลกลับมาได้แล้ว”
ชายหนุ่มที่ถูกสั่งได้แต่หันไปมองหัวหน้าหน่วย เมื่อได้รับสัญญาณพยักหน้าให้เออออรับ บวกกับเสียงของท่านรองที่ดังขึ้นในหัวว่า
‘หายตัวไปเลย อวดของดีสักหน่อย’
ร่างของเฮคเตอร์จึงหายวับไปจากตรงนั้นทันที เจ้าหญิงกับบอดีการ์ดทั้งสองมีท่าทีแตกตื่นกันเลยทีเดียว
“เคยได้ยินว่าพวกคุณมีมนุษย์หายตัวอยู่ด้วย เป็นนายคนเมื่อกี้น่ะเหรอ”
“ใช่ครับ เป็นพลังวิญญาณแบบพิเศษของพิเศษสุดที่ไม่เกิดขึ้นมานานหลายร้อยปีเลยทีเดียว”
“ดีจัง...ถ้ามีพลังแบบนั้นคงไปไหนมาไหนได้สะดวกเลยสินะ”
น้ำเสียงของหญิงสาวดูเศร้าไปเลยทีเดียว จากสภาพที่ถูกกักบริเวณอยู่แบบนี้ฟอแกนด์ก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของเธอคนนี้ได้เลยทีเดียว”
“เจ้าหญิงจะไปอังกฤษได้ในเวลาไม่เกินสามวินาทีเลยล่ะ ไม่เกินเจ็ดวินาทีสำหรับอเมริกา ถ้าแอบอยากหนีเที่ยวเมื่อไหร่ก็ลองติดต่อพวกเรามาได้นะครับ ถ้าไม่เหนือบ่ากว่าแรง เรายินดีพาหนีเที่ยวชั่วคราวโดยไม่มีใครจับได้”
ดวงตาของเฌอรีนลุกเป็นประกายแวววาวเมื่อได้ยินคำล่อหลอกนั้น ในขณะเดียวกันเสียงกระแอมด้านหลังจากบอดีการ์ดฝ่ายหญิงก็ดังขึ้น
“ในฐานะที่พวกเราเองก็เป็นนักปราบวิญญาณสายพิเศษที่มีน้อยนิดเหมือนกัน ทางเราก็อยากจะทำความรู้จักกับบอกดีการ์ดของเจ้าหญิงทุกคนไว้นะครับ เผื่อใครออกเวรจากที่นี่แล้วว่างๆ เบื่อๆ อยากจะลองไปดูงานที่หน่วยเคซีโร่ของเราก็บอกได้เลย”
“พวกเขาต้องขออนุญาตจากเราก่อนนะถ้าจะไปทำแบบนั้น คุณหัวหน้าหน่วยคิดจะแย่งตัวคนของเราไปเหรอ”
“งั้นถ้าช่วงไหนชาเกลงานไม่ยุ่ง อาจจะให้เขามาดูงานที่นี่เป็นการแลกเปลี่ยนก็ได้นะครับ”
“งั้นก็ตกลง”
ท่านรองของหน่วยที่นั่งฟังเงียบๆ ปวดหัวตึบแทนลูกน้องผู้น่าสงสาร ที่ถูกหัวหน้างานขายตัวแลกคอนเนคชันไปเสียแล้ว…
ห้องๆ หนึ่งภายในศูนย์วิจัยพลังวิญญาณแห่งกองปราบวิญญาณ
วันนี้เคนเซย์ได้รับมอบหมายให้พาธาวินมาที่ศูนย์วิจัยเพื่อพบกับคุณโซเฟีย หญิงสาวลูกครึ่งชาวฝรั่งเศสกับคาเรมในวัยสามสิบห้า เจ้าหน้าที่ซึ่งทำงานอยู่ในแผนกคุมขังนักโทษ หนึ่งในสองของนักสะกดวิญญาณที่ทำงานอยู่ในกองปราบวิญญาณแห่งคาเรม
แม้เมื่อคืนเด็กหนุ่มจากไทยจะดูมีไข้ตัวร้อนขึ้นมาอย่างกะทันหัน แต่เมื่อได้นอนพักหลับเต็มตื่นอาการก็ดูจะหายไปเป็นปลิดทิ้ง วันนี้จึงเริ่มเข้าเรียนวันแรกด้วยอารมณ์แจ่มใสเหมือนที่เคยเป็นเสมอมา
“ฝากด้วยนะครับ”
เคนเซย์หันไปโค้งลากับว่าที่อาจารย์ของธาวิน แล้วหันไปขยี้หัวเด็กหนุ่มพร้อมกับกำชับสิ่งที่เอ็ดเวิร์ดเน้นย้ำมาอีกที
“ตั้งใจเรียนนะนาย อย่าดื้อ อย่าขี้เกียจ ไม่รู้ว่าวันนี้พวกหัวหน้าจะเสร็จงานกี่โมง ถ้าพวกเขาต้องไปทำภารกิจต่อเดี๋ยวพี่จะมารับกลับด้วยตอนเย็น หรือถ้าเรียนเสร็จก่อนก็กลับไปรอที่ออฟฟิศก็แล้วกัน”
ในขณะที่กำลังจะหันหลังกลับแล้วเดินออกไป เคนเซย์ก็นึกได้ว่าเกือบลืมสิ่งสำคัญอีกอย่าง
“อ้อ...ไม่รู้ตอนเที่ยงจะมีใครอยู่รึเปล่า คุณโซอีก็อยู่บ้านพี่ไม่ยอมมาด้วย นายไปที่โรงอาหารก็แล้วกันนะ”
เคนเซย์ควักกระเป๋าเงินออกมาแล้วยื่นธนบัตรใบใหญ่ที่สุดของคาเรมให้ธาวินไว้หนึ่งใบ เด็กหนุ่มจากไทยยืนอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะยกมือไหว้รับด้วยความเคยชิน
“เอ่อ...มันเป็นการทำความเคารพหรือขอบคุณอะไรประมาณนั้นแบบไทยๆ น่ะครับ ขอบคุณฮะพี่เคน”
ธาวินรีบอธิบายเมื่อคนที่เป็นผู้ใหญ่กว่าทั้งสองทำท่างุนงง
เคนเซย์อมยิ้มรับ หัวหน้าเองก็คงจะให้เงินธาวินไว้บ้าง แต่ไม่รู้ว่าเยอะแค่ไหนเหลือเท่าไหร่ และแค่นี้ก็ถือว่าเล็กน้อยมากที่เขาจะทำให้เด็กหนุ่มผู้สงสารคนนี้ได้
“ไม่ต้องห่วงนะคะ เดี๋ยวทางนี้จะดูแลให้อย่างดีค่ะ เรามีเหลือกันอยู่แค่นี้แล้ว คงต้องส่งเสริมเด็กๆ อย่างเต็มที่แล้วล่ะ”
“ขอบคุณครับคุณโซเฟีย เขาอาจจะพูดมากไปหน่อยแต่หัวไวใช้ได้เลยครับ อาจจะปวดหูสักหน่อยแต่สอนไม่ยากแน่นอน”
“ฮะฮะฮะ คุณชายเคนเซย์เหมือนคุณพ่อเลยค่ะ จริงสินะ...จะว่าไปก็ใกล้ถึงงานแต่งงานแล้วนี่นา วางแผนจะเป็นคุณพ่อตั้งแต่วัยรุ่นเลยรึเปล่าคะ”
“โอ้ย ไม่เลยครับ ผมจะมีวันได้เป็นพ่อคนรึเปล่ายังไม่รู้เลย เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็เลี้ยงเจ้าเด็กดื้อนี่ไปก่อนก็แล้วกัน”
เคนเซย์กับโซเฟียมัวแต่พูดคุยกันจนไม่ทันได้สังเกตสีหน้าของธาวิน เด็กหนุ่มดูอึ้งๆ ปลาบปลื้มขัดเขินขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เมื่อถูกขยี้หัวจากพี่ชายขี้เล่นคนนี้ ความใจดีที่เขาแทบไม่ได้สัมผัสจากใครมาก่อน
“เอาล่ะ ผมไม่รบกวนเวลาเรียนแล้วขอตัวกลับไปทำงานก่อนนะครับ ไปละนะธาวิน เจอกันตอนเย็น”
เคนเซย์เปิดประตูแล้วเดินออกจากห้องมา แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองธาวินซึ่งเห็นอยู่เสี้ยวแวบหนึ่งก่อนประตูจะปิดลง
นึกภาพสีหน้าของธาวินตอนยื่นเงินให้แล้ว เขาก็อดห่วงเจ้าเด็กจากไทยคนนี้ไม่ได้จริงๆ ถึงจะไม่รู้ละเอียดนักว่าก่อนมาที่นี่อยู่ในสภาพไหนมาก่อน แต่ก็พอเดาออกได้ไม่ยากเท่าไร
ตอนที่ไปรับตัวมาอยู่ที่คาเรมใหม่ๆ เคยได้ยินมาว่าพี่เฮคเตอร์พาคุณโซอีกลับไปเก็บข้าวของอุปกรณ์ต่างๆ ในบ้านที่อังกฤษ คุณโซอีพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อจะได้กลับบ้านไวๆ แต่ธาวินยังไม่เคยแม้แต่จะเอ่ยปากถึงที่ที่จากมาสักคำ
เมื่อคืนหลังจากที่ได้เห็นสภาพคร่าวๆ แล้ว เด็กหนุ่มมีเพียงเสื้อผ้าไม่กี่ชุดที่ใส่หมุนเวียนกันอยู่ โทรศัพท์มือถือที่เอาไว้ติดต่อกับคนในหน่วย กับข้าวของจำเป็นติดตัวที่ย้ายไปไหนมาไหนได้ด้วยกระเป๋าเป้เพียงหนึ่งใบ หัวหน้าก็คงจะงานยุ่งจนไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้มากนัก เขาจึงอยากจะช่วยเหลือธาวินขึ้นมาบ้าง
ทุกคนอาจจะเอาใจใส่กับคุณโซอีจนอาจจะหลงลืมเด็กคนนี้ไป แต่จากคำเตือนของท่านฮารุฮานะเมื่อคืนนี้แล้ว เคนเซย์เองก็บอกไม่ถูกว่าทำไม…เขาถึงได้รู้สึกขึ้นมาว่านั่นหมายถึงธาวิน
เด็กหนุ่มผู้ดูจะมีพลังวิญญาณน้อยนิดเหลือเกิน โดนดิคเคนส์ดูดพลังชีวิตยังสลบไปถึงสามวัน เมื่อคืนนี้ก็เช่นเดียวกัน แค่เขาพาท่านฮารุฮานะออกมา ธาวินที่อาจจะถูกไอพลังวิญญาณอันแข็งแกร่งเข้ากระทบก็ถึงกับตัวร้อนไข้ขึ้นในทันที
ความเปราะบางทางพลังวิญญาณที่มีเกราะป้องกันแทบเป็นศูนย์ แต่ในทางกลับกัน นั่นก็มองได้อีกแง่ว่าเจ้าเด็กคนนี้มี ‘ประสาทสัมผัสทางวิญญาณ’ ที่ลึกล้ำไม่ธรรมดาเช่นกัน
ก็ไม่แน่ว่า… คนที่ดูธรรมดาที่สุด ไม่น่ากลัวที่สุดอย่างธาวินคนนี้ อาจจะกลายเป็นผู้ที่อยู่ในคำเตือนนั้นในสักวัน หากได้เรียนรู้อย่างถูกที่ถูกทาง...