ตอนที่ 27 วันว่าง ณ ตำหนักโมโมะ
ตอนที่ 27 วันว่าง ณ ตำหนักโมโมะ
…สิบปีที่แล้ว
“ชุน นายไม่มีพ่อแม่เหรอ”
เด็กชายคนหนึ่งถามขึ้นขณะที่ชุนออกไปเก็บผลไม้ตามคำสั่งของโมโมะบริเวณนอกเขตอาคมกักกัน
“มีคนบอกว่านายเป็นเด็กที่ท่านโมโมะเก็บมาเลี้ยง ข้าว่าอีกหน่อยเจ้าต้องได้กลายเป็นคนใช้บ้านนั้นแน่ ๆ เลย”
ดวงตะวันกลมโตบนท้องฟ้าสีแสดหลังภูเขาคล้อยต่ำลง ดูเศร้าสร้อยคล้ายกับจะร่วงลงมาเหมือนไฟเย็น
คืนนั้นหลังจากที่ได้ยินเรื่องราวที่เพื่อนคนหนึ่งพูดให้ฟัง ชุนก็ไม่ยอมกินข้าวเย็น แอบไปร้องไห้อยู่ในสวนดอกไม้หลังตำหนักโมโมะ เขาผิดตรงไหน ไม่ได้ต้องการที่จะเป็นแบบนี้สักหน่อย ไม่อยากออกไปข้างนอกเลย อยากจะขังตัวเองไว้ที่นี่ตลอดไป จะไม่มีวันออกไปจากเขตแดนกักกันอีกแล้ว
…เกลียดการดูถูกเหยียดหยามเป็นที่สุด
ตั้งแต่วันที่ชีวิตวัยเด็กที่สดใสถูกทำลาย ชุนก็พยายามฝึกฝนตนให้แข็งแกร่ง ทั้งพลังกาย พลังเวท เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมีใครมาดูถูกเขาอีก และด้วยเหตุนี้ เวลาทั้งหมดในวัยเด็กจึงหายไปกับการฝึกฝน แม้จะมี ‘เอวิน’ และ ‘อากิ’ บุตรของโมโมะ คอยเป็นเพื่อนเล่น แต่เขาก็เลือกที่จะปลีกวิเวกทุกครั้งที่มีโอกาส
…ไม่อยากฟังอีกแล้ว คำพูดที่เหมือนคมมีดเหล่านั้น
แม้รู้ว่าอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่ตนคิด แต่ก็ระแวงไปเองเสียแล้ว และเมื่ออยู่คนเดียวความเหงาก็เข้ามาแทรกในจิตใจแต่ถึงอย่างนั้นชุนก็ยังใช้ชีวิตอยู่ต่อไปจนถึงวันนี้
…
ตำหนักโมโมะหรูหราแค่มองด้วยตาก็รู้ว่าเจ้าของมีอันจะกิน ห้องที่ลินจิพักอยู่แทบจะเรียกได้ว่าห้องวีไอพี พอเปิดหน้าต่างออกไปก็เห็นนกน้อยและดอกไม้ ภายในห้องกว้างขวาง มีทั้งโต๊ะน้ำชาหัวมังกร และเตียงไม้พญาหงส์ แบบนี้สิถึงจะเรียกว่าที่ประทับของเทพเจ้า
“อาหารเช้าเสร็จแล้วค่า”
เสียงหญิงสาวลอดเข้ามาจากด้านนอก
“คร๊าบ…”
ลินจิตะโกนตอบอย่างร่าเริง ก่อนจะกางแขนเงยหน้าสูดบรรยากาศยามเช้าเข้าเต็มปอด แล้วค่อย ๆ พ่นออกช้า ๆ จากนั้นหมุนตัวอย่างลั้ลลา ขณะกำลังจะก้าวออกจากห้องเขาก็ชะงักฝีเท้า
“อุ๊ย!”
ลืมไปว่าไม่ได้หวีผม ลินจิจึงวิ่งคว้ากระจกบนโต๊ะข้างเตียงขึ้นมา
หันซ้าย หันขวา คนอะไรน่ารักอะไรอย่างนี้ ฮิฮิ
ตอนที่วางกระจกลง ลินจิก็ต้องหันหลังกลับมาอีกครั้ง
“…”
คิ้วเรียวตรงขมวดเข้าหากัน ตรงขอบกระจกมีลักษณะเป็นเหลี่ยม ๆ เมื่อนับดูก็ได้ทั้งหมดแปดเหลี่ยม
สองมือสะดุ้งทาบอกทันที ตามหลักฮวงจุ้ย ‘กระจกแปดเหลี่ยม’ มีไว้สำหรับสะท้อนสิ่งชั่วร้าย โชคดีที่ไม่มีเสือคาบดาบอยู่ตรงกลาง ไม่อย่างนั้นดวงชะตาของตนอาจสั้นลง
“ไม่กินเดี๋ยวจะเททิ้งให้หมดเลยค่า…”
เสียงของโมโมะดังมาจากนอกห้องอีกครั้ง
“ไปเดี๋ยวนี้แหละคร๊าบ”
ตอนที่เขาเดินผ่านห้องยาก็พบว่าชุนยังไม่ตื่น ข้างเตียงมีถ้วยข้าวต้มที่กินเหลือตั้งอยู่
…แสดงว่าตื่นมาแล้วรอบนึงสินะ ถึงรู้เช่นนั้นลินจิก็ไม่อยากรบกวน เข้าใจว่าชุนคงเหนื่อยกับการต่อสู้ที่ผ่านมา จึงรีบตรงไปยังด้านหน้าของตำหนักทันที
เช้านี้มีเพียงลินจิกับโมโมะนั่งอยู่ด้วยกันสองคนเท่านั้น บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารคาวหวาน ปลาย่างซิอิ๊ว ผัดดอกไม้สีม่วง ตีนสัตว์ประหลาดอบสมุนไพร และรังนกปีศาจ ลินจิซึ่งอยู่โลกนี้มาได้ระยะหนึ่ง ก็เริ่มคุ้นชินกับอาหารขึ้นมาบ้าง แม้บางอย่างจะดูเหมือนกินไม่ได้ แต่พอได้ลองเข้าแล้วก็ถึงกับติดใจ
“อันนี้ก็อร่อยดีนะครับคุณโมโมะ”
เขาเอ่ยชมฝีมือการทำอาหารของสาวสามร้อยปี ทว่าใบหน้าของเธอนั้น ขาวเนียนได้รูป ราวกับหญิงสาวอายุยี่สิบต้น ๆ เท่านั้น
“กินเยอะ ๆ เลยค่า”
อีกฝั่งก็ยิ้มตาปิดคงเพราะได้รับคำชม มือเรียวทาบแก้ม พยักหน้างก ๆ อย่างดีใจ
เมื่อกดช้อนไม้ลงไปในถ้วยกระเบื้อง รังนกสีทองที่ลอยตัวบนน้ำเชื่อมค่อย ๆ ไหลเข้ามาในช้อนไม้ พอลินจิเงยหน้าขึ้นมา จังหวะที่จะยื่นช้อนใส่ปาก สายตาก็เหลือบไปเห็นสีหน้าครุ่นคิดของโมโมะ เขาวางช้อนกลับลงในถ้วยช้า ๆ มองอีกฝ่ายตาปริบ ๆ
“เป็นอะไรเหรอครับ”
“แบบนี้ชุนคงจะหนักใจแย่เลยน่ะสิ”
โมโมะกล่าวเสียงเบา ก่อนระบายลมหายใจออกมาจนตัวแฟบลง
“เอ๊ะ!”
“ก็แหม คนรักเล่นกลายเป็นผู้ชายนี่คะ คงทำใจลำบากแน่ ๆ”
…เรื่องนี้นี่เอง
ลินจิก้มหน้าลง พอมองลงไปในถ้วยกระเบื้องสีดำ ก็เห็นใบหน้าของตนสะท้อนอยู่ในนั้น
เมื่อวานหลังจากช่วยกันพาชุนเข้าไปพักในห้องยา โมโมะก็นั่งถามไถ่เรื่องราวต่าง ๆ อย่างอยากรู้อยากเห็น ลินจิพอจะเข้าใจหัวอกของคนที่ไม่สามารถออกไปไหนมาไหนได้ จึงยอมเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง
“ยูเองก็เย็นชาจังเลยนะ”
แม้จะรู้สึกไม่ค่อยดีที่โมโมะพูดถึงเรื่องนี้ แต่ลินจิก็บอกกับตัวเองเสมอว่า ยิ่งคิดยิ่งรู้สึก ถ้าไม่คิดก็ไม่รู้สึก และถ้าหยุดคิดไม่ได้ ก็ต้องเปลี่ยนความคิด เช่นนั้นแล้วลินจิจึงเปลี่ยนเรื่อง
“นี่… คุณโมโมะเอาข้าวต้มไปให้คุณชุนเหรอครับ”
“ว๊าย! จริงสิ ลืมปลุกซะสนิทเลย”
ว่าแล้ว เธอก็สะดุ้งปิดปาก เรือนผมดำยาวเด้งขึ้นมาเล็กน้อย
“ไม่เป็นไรมั้งครับ ตอนออกจากห้องเมื่อกี้ ผมเห็นข้าวต้มเหลืออยู่หน่อยเดียวเอง”
“สงสัยตื่นขึ้นมากินเองแล้วสินะ”
“ครับ”
ลินจิกะพริบตาช้า ๆ จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตากินอาหารเช้าจนอิ่ม
…
หลังจากมื้อเช้า ลินจิก็ใช้เวลาแช่น้ำอย่างเต็มที่เพื่อผ่อนคลายความเหนื่อยล้าสะสม จากนั้นก็ห่อผ้าขาวผืนเดียวเข้ามาในห้องพัก
โต๊ะน้ำชาในห้องเต็มไปด้วยของเซ่นไหว้ที่โมโมะเตรียมไว้ให้ กระถางธูป กำยาน กล้วยหอม แครอท แตงกวา และมะเขือยาว อันที่จริงเขาไม่ได้ชอบของแบบนี้สักหน่อย
ลินจิระบายลมหายใจให้กับความเข้าใจผิดของผู้คนที่นี่ ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งข้างโต๊ะน้ำชาพลางเด็ดกล้วยหอมเซ่นไหว้ขึ้นมาหนึ่งผล
“…”
สองตามองกล้วยหอมในมือ กะพริบตาช้า ๆ ก่อนที่จะปอกเปลือก
จู่ ๆ ภายในห้องก็เกิดลมพัดแรง ทั้ง ๆ ที่ประตูและหน้าต่างปิดสนิท
“อ๊ะ!”
เสียงร้องดังขึ้น สองเท้าลุกยืนด้วยความตกใจ กล้วยหอมที่ปอกไว้ในมือสั่นระริก
ปรากฏวงเวทขนาดใหญ่ส่องสว่างทั่วพื้นห้องอย่างไร้ซึ่งที่มา
“…”
เหงื่อผุดไหลบนหน้าผากทั้งที่อากาศในห้องไม่ได้ร้อน
“…!”
เรือนผมสีดำค่อยโผล่ขึ้นมาจากพื้น แสงของวงเวทก็ส่องสว่างขึ้นมากระทบใบหน้าบุคคลปริศนาทำให้ใบหน้าเห็นไม่ชัด
ร่างนั้นผุดขึ้นมาเรื่อย ๆ ราวกับถั่วงอกเรืองแสงที่ใส่ปุ๋ยเร่งโต
เมื่อปรากฏขึ้นมาทั้งตัว เธอก็ก้าวมาหาลินจิอย่างเชื่องช้า
แสงจากวงเวทยังสว่างจ้าไม่หายไป
ลินจิหลับตาปี๋เพราะตกใจ รีบใช้กล้วยหอมในมือทิ่มไปด้านหน้าทันที
“อ๊าย…”
เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นราวกับปีศาจสลายร่าง
เมื่อลืมตาก็พบยูมินั่งคุกเข่าเอามือปิดหน้าอยู่บนพื้น ข้าง ๆ เธอ มีถุงพลาสติกคุ้นตาซึ่งเต็มไปด้วยสิ่งของมากมายอยู่ในนั้น
“เอ๊ะ!”
สองตามองหญิงสาวตรงหน้าอย่างงุนงง กล้วยหอมที่ปอกไว้ในมือหดสั้นลงเท่ากำปั้น
ยูมิเงยหน้าขึ้นมาพร้อมตาขวาเลอะไปด้วยกล้วย ตอนนี้เธอสวมชุดเดรสสีฟ้าร่วมสมัย ไม่ได้สวมกิโมโนเหมือนครั้งก่อนที่ลินจิเคยเจอ
“อ้า…ยูมิ”
พอรู้ว่าเมื่อครู่เผลอใช้กล้วยหอมทิ่มตาเธอไป ลินจิก็รีบวางกล้วยบนโต๊ะ ยื่นมือเก้ ๆ กัง ๆ โดยไม่รู้จะช่วยอย่างไรดี
“ค่ะ…”
เสียงหญิงสาววัยสิบหกขานรับเบา ๆ พลางใช้มือปาดกล้วยเละออกจากเปลือกตา พอเงยหน้าขึ้นมายูมิก็เบนสายตาไปทางอื่น สีหน้าแดงระเรื่อ
“ทะ…ท่านเทพ”
“เหวอ…”
ลินจิก้มมองเบื้องล่าง ก็เพิ่งรู้ว่าตนห่มเพียงผ้าขาวไว้รอบเอวเท่านั้น จึงหน้าแดงขึ้นมาอีกคน
“เดี๋ยว ขอเวลาแป๊บนะ”
ว่าแล้วก็รีบหันหลังคว้าชุดสีขาวบนเตียงมาคลุมทันที จังหวะนั้นยูมิก็พยักหน้าอย่างเขินอาย ก่อนจะค่อย ๆ หย่อนตัวนั่งลงบนพื้น
ลินจิใช้เชือกมัดเอวอย่างรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ถึงเขาจะชอบผู้ชาย แต่เวลามีผู้หญิงมาเห็นแบบนี้ มันก็ต้องรู้สึกเขินกันบ้างเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ว่าจะเพศไหนก็เขินทั้งนั้น เขาไม่ใช่พวกโรคจิตชอบโชว์สักหน่อย
ตอนที่ที่กำลังหันหลังแต่งตัว ลินจิก็ได้ยินเสียงถุงพลาสติกดังกรอบแกรบจากด้านหลังจึงอดไม่ได้ที่จะปรายตามอง
“…!”
สองตาเบิกกว้าง
ลิปสติกแบรนด์เนม ตลับแป้งรองพื้น ขนมหวานสีชมพู อาหารกระป๋องรูปการ์ตูน จิปาถะของเด็กผู้หญิงทั้งนั้น เขาถึงกับต้องถลึงตาใส่ เดินปึงปังเข้าไปแล้วกระแทกก้นลงพื้น จากนั้นก็รื้อของในถุงอย่างไร้มารยาททันที ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาพ่นลมหายใจจนปอยผมของยูมิปลิวไปด้านหลัง
“นี่เธอน่ะ… เอาเงินที่ไหนไปซื้อของมาเยอะแยะ”
“เอ๊ะ”
ยูมิเงยหน้าขึ้นมาอย่างไม่เข้าใจ ในมือกำลังถือกล่องขนตาปลอม
“ก็บอกแล้วไงคะ ว่ายูมิมีเวทแทรกความทรงจำ สามารถทำให้ผู้อื่นคุ้นเคยเหมือนรู้จักมานาน อีกฝ่ายไม่มีทางสงสัยแน่นอนค่ะ”
เธอยกนิ้วชี้ข้างหนึ่ง ยิ้มตอบอย่างภาคภูมิใจ
“ไม่ใช่!”
น้ำเสียงฟังดูหงุดหงิดเพราะอีกฝ่ายไม่เข้าใจ ลินจิส่ายหน้าเร็ว ๆ อย่างงอแง
“หมายถึงเงิน เงินน่ะ! เงินที่ใช้ซื้อของพวกนี้มาน่ะ”
“อ๋อ สิ่งนั้นเหรอคะ”
ยูมิพยักหน้าช้า ๆ ก่อนอธิบาย
“ตอนนั้นยูมิไม่เจอใครในบ้านของท่านเทพเลย จึงจำเป็นต้องถือวิสาสะเข้าไปรื้อหาของน่ะค่ะ จู่ ๆ ก็เจอแผ่นสี่เหลี่ยมแข็ง ๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะ จากนั้นจึงลองใช้เวทแทรกความทรงจำกับสิ่งนั้นดู ไอที่มันเรียกว่าบัตรเอทีเอ็มน่ะค่ะ”
“…!”
หน้าของลินจิเริ่มเปลี่ยนสี จากขาวเป็นเขียว เขารู้สึกเหมือนมีขนมปังก้อนใหญ่จุกอยู่ในคอ ขณะนั้นยูมิก็ยังเล่าต่อ
“เวทแทรกความทรงจำ ใช้ได้กับทั้งคนและสิ่งของค่ะ ยูมิพอจะเข้าใจวิธีการดำรงชีพของโลกทางโน้นอยู่บ้าง พอนำไปใส่ในตู้แล้วกดตัวเลขที่ถูกต้อง ก็จะมีกระดาษที่เรียกว่าธนบัตรออกมาสินะคะ”
ขณะที่ยูมิพูดอย่างสบายใจ ลินจิก็ก้มหน้าลงเกร็งพลางกัดฟัน ถามอย่างเยือกเย็น ว่า…
“…เท่าไหร่…”
“ทั้งหมดเลยค่ะ”
“ยัย…ยูมิ!”
ใบหน้าปีศาจเงยขึ้นช้า ๆ ดวงตาแดงกล่ำ
“อ๊าย…”
สองมือพุ่งตรงบีบคอยูมิทันที จากนั้นก็เขย่าอย่างรุนแรงราวกับจะให้เธอตายไปเดี๋ยวนั้น
“หน็อย… หายไปตั้งนาน แถมยังเอาเงินของคนอื่นไปใช้เป็นหมื่น ๆ”
“ดะ…เดี๋ยว กะ…ก่อน”
ยูมิยื่นมือเสยคางต้านแรงมารเอาไว้
พอลินจิปล่อยมือ เธอก็เงยหน้าขึ้นมาพลางลูบคอ พูดอย่างน้อยอกน้อยใจว่า…
“ขอโทษด้วยค่ะ ยูมิไม่คิดว่า ธนบัตรมันจะสำคัญถึงขั้นที่จะฆ่าแกงกันได้”
ความรู้สึกผิดก็ผุดขึ้นมาทันที เมื่อกี้ตนคงจะทำรุนแรงเกินไป เมื่อรู้เช่นนั้น ลินจิจึงพ่นลมหายใจอย่างยอมแพ้ แล้วเหลือบมองถุงพลาสติกเหล่านั้น
พรืด… เสียงลมหายใจดังขึ้นอีกรอบ
“ขอโทษนะคะ”
ได้ยินเช่นนั้นลินจิก็ใจอ่อน ตอบว่า “ไม่เป็นไร” ก่อนจะรื้อถุง
“…”
มารดามันเถอะ แทบจะไม่มีของที่เขาสั่งซื้อเลย แต่โกรธไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ บางครั้งการที่พูดกับตัวเองในใจว่า ‘มันช่วยไม่ได้นี่เนอะ’ ก็ทำให้ผ่อนคลายลงได้เล็กน้อย
“นี่มัน…”
เขาหยิบกล่องสีน้ำตาลขนาดพอดีมือมาเขย่าข้างหูดังแคร็ก ๆ อย่างสงสัย ตอนนั้นยูมิก็หันมามอง
“อ๋อ…อันนั้น เห็นคนบนโลกที่ท่านเทพอยู่บอกว่าเป็นของจำเป็นมาก ยูมิเลยซื้อมาค่ะ”
ระหว่างฟังยูมิพูด ลินจิก็ใช้ปลายเล็บขูดบริเวณเทปกาวที่ปิดฝากล่อง ดูเผิน ๆ เหมือนเด็กน้อยกำลังแกะกล่องของเล่น
“ว่าแต่ ยูมิไปนานขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
“ก็นานน่ะสิ”
เขาตอบผ่าน ๆ พยายามแกะกล่องกระดาษอย่างตั้งใจ
“แปลว่า ที่โน่นเวลาเดินช้ากว่าที่นี่สินะคะ ยูมิไปประมาณสองชั่วโมงเองนะ”
“อือ…อย่างนั้นเหรอ”
พอมีของที่ดึงความสนใจ ลินจิก็ตอบอย่างไม่ค่อยใส่ใจยูมินัก เมื่อเทปกาวหลุด เขาก็รีบเปิดฝากล่องทันที
หยิบออกมาจึงรู้ว่าเป็นพาวเวอร์แบงค์ทรงสี่เหลี่ยม ตรงขอบหุ้มด้วยพลาสติกสีเขียว ผิวด้านบนเป็นแผงดูคล้ายระบบวงจร ตอนนั้นยูมิก็ค่อย ๆ ลากอีกถุงซึ่งยังไม่ได้รื้อมาตั้งไว้ด้านหน้า
“พาวเวอร์แบงค์นี่”
สองมือหมุนพลางสำรวจ
“ค่ะ เป็นแบบใช้พลังงานแสงอาทิตย์”
“เธอนี่ก็ฉลาดเหมือนกันนะ…”
“เอ๊ะ…”
เครื่องหมายคำถามปลิวว่อนในหัวของยูมิ
ลินจิชูพาวเวอร์แบงค์ด้วยสองมือ เงยมองด้วยแววตาทอประกาย ตอนนี้เขากำลังดีใจที่จะได้ใช้โทรศัพท์สักที ตั้งแต่หลุดมาอยู่ที่โลกแห่งนี้ก็แทบไม่ได้ข้องแวะกับเทคโนโลยีเลย แม้รู้ว่าไม่มีสัญญาณ แต่คนที่เกิดในยุคไฮเทคอย่างเขาก็ขาดสิ่งอำนวยความสะดวกไม่ได้หรอก
“ท่านเทพคะ!”
ยูมิยื่นมือเรียก เธอมีเรื่องสำคัญจะบอก ทว่าลินจิก็ไม่สนใจเสียงนกเสียงกา เขารีบลุกขึ้นออกจากห้องเพื่อที่จะนำพาวเวอร์แบงค์ไปอาบแดดยามสายทันที…