ตอนที่แล้วบทที่ 8 จิ้งจอกน้อยบ้านตระกูลเถี่ย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 10 เด็กชายหอยโข่ง

บทที่ 9 ร้านทังปิ่งพี่ชี


บทที่ 9 ร้านทังปิ่งพี่ชี

 

เจ้าจิ้งจอกแสดงความสามารถได้งดงามน่าประทับใจ แต่สำหรับเถี่ยซินหยวนแล้วเป็นเพียงแค่ผลลัพธ์ที่ไม่จำเป็นต้องคาดเดา

 

หลังจากเข้ามาอยู่ในเมืองหลวง เถี่ยซินหยวนก็เริ่มต้นฝึกฝนมันอย่างมีเป้าหมาย เมื่อเทียบกับสัตว์ชนิดอื่นแล้ว ระดับสติปัญญาของสุนัขจิ้งจอกจัดว่าค่อนข้างสูงทีเดียว

 

โดยเฉพาะเมื่อสัตว์ที่เราต้องการฝึกเป็นลูกจิ้งจอกตัวหนึ่งที่มีเป้าหมายเพื่อหาอาหารกินให้อิ่มท้อง การฝึกฝนก็ง่ายดายกว่าเดิมมาก

 

เมื่อเอาอาหารให้กินแล้ว เจ้าจิ้งจอกจะต้องนำของบางอย่างกลับมาให้เถี่ยซินหยวน แม้ว่าจะเป็นเพียงกิ่งไม้หักๆ ก็ช่าง มิฉะนั้นมื้อต่อไปก็จะไม่มีให้กินอีก อีกทั้งยังต้องเจอบทลงโทษจากเถี่ยซินหยวนด้วย

 

หลังจากฝึกมานานกว่าครึ่งปี เจ้าจิ้งจอกก็เข้าใจแล้วว่าเวลาที่ผู้ใดมอบอาหารให้ จะต้องมีของมามอบให้คนผู้นั้นอย่างหนึ่งเป็นการตอบแทน ทำให้มันเริ่มต้นสะสมของมีค่าของตัวเอง หินโซ่วซานก้อนนั้นก็เป็นหนึ่งในบรรดาของมีค่ามากมายของมันเอง

 

สุนัขจิ้งจอกของบ้านตระกูลเถี่ยกลายเป็นเรื่องราวน่าอัศจรรย์ที่ร่ำลือไปทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว มีผู้คนมากมายที่กินอิ่มแล้วไม่มีงานการอะไรทำชอบมาด้อมๆ มองๆ ใกล้บ้านตระกูลเถี่ย ตั้งใจจะมาชมดูสักหน่อยว่าจิ้งจอกที่บ้านนี้เลี้ยงไว้หน้าตาเป็นอย่างไร

 

เมื่อพวกเขามองเห็นเจ้าจิ้งจอกน้อยคาบตะกร้าไม้ไผ่ใบเล็กวิ่งกลับบ้านมาจากที่ไกลๆ ดวงตาก็มองค้างจนแทบจะถลนออกมา จิ้งจอกที่สามารถช่วยเหลือนายหญิงนำเสื้อผ้าที่ซักจนสะอาดสะอ้านกลับมาบ้านได้ พวกเขาไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อนเลยจริงๆ

 

ด้วยเหตุนี้จึงมีพวกที่ซุกซ่อนแผนการชั่วร้ายอยู่ในใจมาสังเกตการณ์มากมาย พวกเขาคาดหมายไว้ว่าหลังจับจิ้งจอกตัวนี้ได้แล้วจะนำไปมอบให้บ้านผู้มีฐานะมั่งคั่งสักหลังหนึ่ง บางทีอาจขายได้ราคาอย่างงาม เพียงแต่เจ้าของแผนการเหล่านี้ไม่เคยมีโอกาสงัดออกมาใช้ เพราะว่าเจ้าจิ้งจอกน้อยไม่เคยออกห่างกำแพงเมืองเขตพระราชฐานเกินสิบก้าวเลยสักครั้งเดียว

 

ส่วนบรรดาองครักษ์แห่งวังหลวงที่ประจำการบนกำแพงต่างทราบเป็นอย่างดีว่า ฝ่าบาททรงโปรดปรานจิ้งจอกตัวนี้มากเพียงใด ไม่ว่าใครหน้าไหนที่มีความคิดต่ำช้าพยายามจะจับมัน พวกเขาไม่มีทางปล่อยไว้แน่

 

ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องที่ว่า เวลาพวกเขายืนกินลมท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บจับใจ เจ้าจิ้งจอกตัวนี้มักจะคาบกาสุราเหลือง[1]อุ่นๆ ใบหนึ่งมาให้ทุกคนดื่มคลายความหนาว

 

แม้สุราจะมีไม่มาก ทุกคนได้ดื่มเพียงแค่คนละอึกเล็กๆ เท่านั้น แต่ว่าบ้านตระกูลเถี่ยสองแม่ลูกก็ไม่ได้มีฐานะร่ำรวยอะไร พวกเขายังมีใจคิดถึงผู้อื่นในวันที่อากาศหนาวเช่นนี้ นับว่าหาได้ยากยิ่งแล้ว

 

ชาวเมืองหลวงจึงเห็นจิ้งจอกแหงนหน้าส่งเสียงร้องเรียกอยู่ใต้กำแพงสูงตระหง่านอยู่เป็นประจำ เห็นได้ชัดว่าทางวังหลวงยอมรับการมีตัวตนของจิ้งจอกตัวนี้แล้ว

 

ในขณะเดียวกันข่าวลือเรื่องปีศาจจิ้งจอกก็แพร่สะพัดไปทั่วอีกครั้ง มีผู้ไม่หวังดีถึงกับนำเรื่องนี้ไปร้องเรียนที่ศาลไคเฟิง

 

หลังจากเปาเจิ่งเห็นคำฟ้องร้อง เขาเพียงยิ้มเล็กน้อยแล้วไม่กล่าวถึงเรื่องนี้อีก ปีศาจจิ้งจอกอะไรกัน ก็แค่เรื่องไร้สาระหาที่มาไม่ได้ ถ้าหากเขามองจิ้งจอกแสนรู้ตัวหนึ่งเป็นปีศาจจิ้งจอกเข้าจริงๆ เกรงว่าคงกลายเป็นเรื่องน่าขบขันของแวดวงบัณฑิตในต้าซ่งแน่นอน

 

ปราชญ์ที่แท้ไม่เอ่ยถึงเรื่องที่ขัดกับหลักการและเหตุผล!

 

สำหรับนางเถี่ยหวังซื่อสองแม่ลูกที่อาศัยอยู่ใต้กำแพงที่ห้อมล้อมวังหลวงไว้นั้น เขายังรู้สึกไม่พอใจการกระทำของนางอยู่บ้าง จริงอยู่ที่รับสั่งของฝ่าบาทต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเช่นเดียวกับกฎหมายบ้านเมือง อีกทั้งทรงตรัสออกมาต่อหน้าธารกำนัลย่อมไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้

 

เขาเองก็ไม่อยากขัดแย้งกับฮ่องเต้เพราะเรื่องเล็กๆ เช่นนี้หรอก

 

เพียงแค่เรื่องไทเฮาทั้งสองพระองค์ก็ยุ่งยากมากพอ จนเกือบทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างฝ่าบาทและเหล่าขุนนางแตกแยกออกเป็นเสี่ยงๆ แล้ว ความขัดแย้งระหว่างกษัตริย์และขุนนางยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกที

 

เปาเจิ่งคิดเช่นนี้เสมอว่า การนำความสามารถของฮ่องเต้และขุนนางทั้งหลายไปทุ่มเทให้กับเรื่องที่ไม่เกิดประโยชน์อันใดกับบ้านเมืองและราษฎร ช่างเป็นการกระทำที่ไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย

 

เขาเคยเห็นเจ้าจิ้งจอกของบ้านตระกูลเถี่ยในวังหลวงมาก่อน คราวใดที่ฮ่องเต้ทรงอ่านฎีกาจนล่วงเลยเวลาเสวยพระกระยาหาร จิ้งจอกตัวนั้นจะมาเฝ้าอยู่ที่นอกหน้าต่างคล้ายว่าจะทนรอไม่ไหวแล้ว หรือพยายามกระโดดมองฮ่องเต้ผ่านทางหน้าต่างว่าทรงเสวยพระกระยาหารอยู่หรือไม่

 

มันก็แค่จิ้งจอกจอมตะกละตัวหนึ่ง ถ้าหากเป็นดังเช่นที่ขันทีข้างพระวรกายเล่ามา ว่ามันสามารถทำให้ฮ่องเต้เสวยได้มากขึ้นอีกชามหนึ่งจริง ก็นับว่าเป็นความดีความชอบที่มันสมควรรับไว้

 

จะดีหรือร้ายประการใดก็เป็นเพียงสัตว์เลี้ยงที่ได้รับความโปรดปรานเท่านั้น ความผิดร้ายแรงที่สุดคงเป็นการกินอาหารมากเกินไปหน่อย เมื่อนำมาเทียบกับความเสียหายจากขุนนางเลอะเลือนในราชสำนักต้าซ่ง ซึ่งครองตำแหน่งเปล่าๆ โดยไม่ทำงานทำการอะไร เรื่องนี้กลายเป็นเล็กน้อยจนไม่มีค่าพอให้เอ่ยถึง

 

เพียงแต่เขามักคิดถึงแววตาของเด็กน้อยแซ่เถี่ยขึ้นมาโดยไร้เหตุผล อย่างไรนั่นก็ไม่ใช่แววตาที่เด็กคนหนึ่งควรจะมีเลยสักนิด

 

เถี่ยซินหยวนก็มองเห็นเปาเจิ่งเช่นกัน ขุนนางผู้นี้ทำตัวสมถะมาโดยตลอด ผู้อื่นเลิกประชุมยามเช้ากลับบ้านต่างนั่งรถม้ากันทั้งสิ้น มีเพียงขุนนางใหญ่อย่างเขาที่นั่งรถเทียมวัวกลับไป

 

ใต้ร่มบังแดดที่กางเหนือศีรษะ ขุนนางฝ่ายบุ๋นผู้หนึ่งถือแผ่นเฉาฮู่[2]เอาไว้เดินทางผ่านย่านตลาดอันคึกคักจอแจ รับการประจบสอพลอจากราษฎรที่ถาโถมเข้ามาโดยหน้าไม่เปลี่ยนสี กลายเป็นทิวทัศน์ที่เห็นกันจนชินตาอย่างหนึ่งในเมืองหลวง เถี่ยซินหยวนคิดอยู่เสมอว่า ต้องมีสักวันหนึ่งที่ใต้เท้าผู้นี้ไม่อาจวางมาดสงบนิ่งต่อไปได้อีก

 

หิมะโปรยปรายลงจากท้องฟ้าอย่างต่อเนื่อง...

 

หิมะสีขาวผ่องร่วงโรยลงมาปกคลุมแผ่นฟ้าและผืนดิน หลังจากสิ่งสกปรกทั้งหลายแหล่โดนหิมะทับถมเอาไว้ เมืองหลวงแห่งต้าซ่งก็กลายเป็นดินแดนที่งดงามดั่งโลกในนิทาน

 

เถี่ยซินหยวนนอนเกาะขอบช่องหน้าต่างเล็กๆ เพียงมุมเดียวในบ้าน เฝ้ามองโลกภายนอกด้วยความชื่นชม ภาพตรงหน้าช่างเป็นภาพที่ไม่อาจละสายตาได้เสียจริงๆ

 

เวลานี้เถี่ยซินหยวนเข้าใจแล้วว่า เมื่อครั้งที่เจ้าลิงแซ่ซุน[3]ถูกทับอยู่ใต้เขาห้านิ้วนานถึงห้าร้อยปีมีรสชาติเป็นเช่นไร ความสามารถล้นเหลือที่มีอยู่ล้วนว่างเปล่า เพราะไม่อาจงัดออกมาใช้งานได้เป็นความทุกข์ทรมานสักแค่ไหน

 

เขากับเจ้าลิงแซ่ซุนก็ไม่ต่างกันสักเท่าใดหรอก ก็แค่ฝ่ายหนึ่งโดนเขาห้านิ้วกักขังไว้ ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งต้องทนทรมานอยู่ในร่างเด็กน้อยเช่นนี้

 

ขณะที่เถี่ยซินหยวนมองหิมะขาวโพลนแล้วจินตนาการไปเรื่อยเปื่อย บะหมี่ชามเล็กๆ ก็ถูกยกมาวางอยู่ตรงหน้าตัวเอง

 

มารดาของเขากำลังวางแผนหาเลี้ยงชีพเพื่อครอบครัว นางเตรียมการจะเปิดร้านแล้ว โดยตั้งใจจะเปิดร้านขายทังปิ่ง ถ้าเกิดว่าพวกนางสองแม่ลูกนั่งกินนอนกินไปวันๆ เช่นนี้ ไม่ช้าก็เร็วคงพากันอดอยากไปเสียก่อน

 

เขาไม่ทราบว่านางคิดอะไรอยู่ ถึงได้ดึงดันเชื่อมั่นว่าทังปิ่งที่พี่ชีของนางบอกว่าอร่อย มันต้องเป็นทังปิ่งที่ดีอยู่แล้ว ชื่อร้านก็คิดไว้เสร็จสรรพ โดยนางจะใช้ชื่อว่า ‘ร้านทังปิ่งพี่ชี’

 

มารดาผู้ละเอียดรอบคอบพบแล้วว่า ที่แท้บุตรชายของนางเป็นเด็กเลือกกินน่าดู แต่ว่าอาหารชนิดใดที่เด็กคนนี้กินมากกว่าสองคำจะต้องเป็นของอร่อย หนึ่งเดือนมานี้นางลองทำแล้วทำอีกหลายครั้ง เวลานี้เจ้าบะหมี่ชามเล็กตรงหน้า นับเป็นความตั้งใจอีกครั้งของนาง

 

ไม่มีผักกวางตุ้ง ไม่ผ่าน!

 

ไม่มีเครื่องเคียงโปะหน้า ไม่ผ่าน!

 

ใส่น้ำมันงามากเกินไป ไม่ผ่าน!

 

เกลือเม็ดใหญ่ยังไม่ละลาย ไม่ผ่าน!

 

เถี่ยซินหยวนนึกตำหนิมารดาในใจ กินบะหมี่จนหมดชามแล้วยิ้มกว้าง จากนั้นหันกายจากไปเล่นสนุกกับเจ้าจิ้งจอกน้อย

 

“ไม่อร่อยจริงเหรอ...”

 

มารดาของเขาแสดงสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย นางกลับไปลองทำอาหารจานหลักประจำร้านทังปิ่งของตัวเองต่อด้วยท่าทางห่อเหี่ยวกลัดกลุ้ม

 

ที่จริงแล้วเถี่ยซินหยวนอยากบอกมารดาเหลือเกินว่า ในเมื่อคิดจะเปิดกิจการร้านอาหารขายชาวบ้านทั่วไป เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องพิถีพิถันอะไรมาก เมื่อได้บะหมี่มีร่องรอยน้ำมันงาลอยเด่นมาวางบนโต๊ะ ต่อให้เป็นทังปิ่งที่รสชาติไม่ได้เรื่องแค่ไหน ขอเพียงอาหารในชามเราให้มากกว่า รวมไปถึงใส่น้ำมันงาลงไปจนหอมกรุ่นกว่าเจ้าอื่น ส่วนพริกก็เติมจนมีรสชาติได้ที่ หลังจากได้บะหมี่ร้อนๆ รสชาติจัดจ้านตกถึงท้อง ใครจะจำบิดามารดาตัวเองได้อีกเล่า?

 

หนึ่งบอกสิบ สิบบอกร้อย ร่ำลือกันไปปากต่อปาก ลูกค้าที่เข้ามากินอาหารคงเพิ่มขึ้นมากมายไม่ขาดสาย

 

ถ้าหากเพิ่มเนื้อหมูติดมันบางๆ วางบนบะหมี่สักชิ้น สำหรับชาวบ้านที่ทำงานหนักหาเลี้ยงชีพในเมืองหลวงแล้ว เรียกได้ว่านี่เป็นอาหารอันโอชะมื้อหนึ่งเลยทีเดียว ชื่อเสียงของร้านบะหมี่ที่มีน้ำใจดีงามอาจโด่งดังไปทั่วเมือง จนต้องตั้งป้ายร้านให้ก็เป็นได้

 

ช่างทรมานกระเพาะยิ่งนัก อาหารมื้อเย็นของเถี่ยซินหยวนยังเป็น ‘ทังปิ่ง’ ผลงานจากการความล้มเหลวของมารดา หลังจากนางยกชามทังปิ่งมาวางบนโต๊ะไม้เก่าๆ จับบุตรชายมานั่งบนเก้าอี้แล้ว ก็ผละไปยุ่งกับงานของนางต่อ

 

บนโต๊ะมีผักกวางตุ้งลวกจานหนึ่ง ซึ่งอาหารตรงหน้าจัดว่าเป็นของฟุ่มเฟือยในฤดูหนาวอาณาจักรต้าซ่งตอนนี้โดยสิ้นเชิง

 

บ้านตระกูลเถี่ยมีจิ้งจอกแสนรู้ที่เจอของดีอะไรก็คาบกลับบ้าน ทำให้ผักกวางตุ้งที่ขึ้นโต๊ะเสวยในวังหลวง จึงมาวางอยู่บนโต๊ะอาหารในบ้านหลังนี้อย่างเปิดเผย

 

ในชามไม้ใบเล็กของเถี่ยซินหยวนมีเนื้อแดดเดียวชิ้นบางดุจกระดาษวางอยู่ ชามนี้มารดาตั้งใจเตรียมให้เขาโดยเฉพาะ นางอนุญาตให้เขาลองดูดกินชิ้นเนื้อและเลียชิมรสชาติได้เล็กน้อยเท่านั้น ตอนนี้เขามีฟันเพียงสี่ซี่ อย่างไรก็ยังรับมือกับเนื้อแบบนี้ไม่ไหวหรอก

 

เมื่อมารดาทำความสะอาดเตาไฟเสร็จและกลับมาที่โต๊ะอาหาร นางก็เห็นว่าตรงหน้ามีทังปิ่งหน้าตาน่ากินวางอยู่ชามหนึ่ง

 

ผักกวางตุ้งสีเขียวสดเคล้าน้ำมันวางเรียงอยู่บนทังปิ่งสีขาวซีด มีเนื้อแดดเดียวแลดูแวววาวชิ้นบางเฉียบวางผลุบๆ โผล่ๆ ซ่อนอยู่ใต้ผักสีเขียว และที่น่าแปลกใจก็คือในชามทังปิ่งยังเติมน้ำส้มสายชูลงไปด้วย จนนางได้กลิ่นหอมฉุนลอยปะทะโพรงจมูก

 

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า บุตรชายของนางเริ่มเห็นอาหารเป็นของเล่นอีกแล้ว...

 

ช่างหาเรื่องปวดหัวให้นางเสียจริง หวังโหรวฮวามองบุตรชายตาขวางแวบหนึ่ง จะตามใจบุตรชายให้มีนิสัยเสียๆ เห็นเสบียงอาหารเป็นของเล่นต่อไปไม่ได้ นางคิดว่าวันนี้ควรปล่อยให้เขาหิวโหยสักมื้อหนึ่งถึงจะดี

 

เถี่ยซินหยวนเห็นว่ามารดาไม่เติมอาหารให้ตัวเองอีกชาม ก็ปีนกลับเข้าไปในถังไม้ง้างปากเจ้าจิ้งจอกดูสักหน่อย เมื่อแน่ใจแล้วว่าปากของมันไม่มีกลิ่นเหม็น จึงชี้นิ้วมาที่ริมฝีปากตัวเอง

 

เจ้าจิ้งจอกปีนออกจากถังไม้อย่างรำคาญเหลือทน มันมุดออกไปทางช่องว่างใต้ประตูบ้าน ผ่านไปครู่หนึ่งก็กลับเข้ามา ในปากของมันคาบเนยแข็งก้อนใหญ่มาด้วย...

 

ด้านที่เจ้าจิ้งจอกกัดไปนั้นตีให้ตายเถี่ยซินหยวนก็ไม่ยอมกินอยู่แล้ว เขาถือเนยแข็งก้อนนี้เอาไว้ค่อยๆ เลียชิมรสชาติ ความเร็วในการกินอาหารย่อมไม่มีทางเร็วกว่านี้ไปได้ แต่ว่าเขามีความอดทนมากพอ ตอนนี้เขาอายุยังน้อย ต้องออกกำลังกายอีกมาก ถ้าหากไม่กินอาหารที่มีแคลอรี่สูงเข้าไว้ ภายหน้าถ้าหากกลายเป็นชายตัวเตี้ยไร้ค่าอย่างอู่ต้าหลาง[4]ต้องแย่แน่ๆ

 

หวังโหรวฮวาที่ได้แนวความคิดเพิ่มเติม กำลังจะลองทำอาหารจานใหม่อีกครั้ง ชามหนึ่งที่กินไปเมื่อครู่นี้ดูเหมือนว่านางจะยังไม่อิ่ม ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน นางจะต้องรู้สึกละอายใจกับอาหารที่กินมากปานนี้ แต่หลังจากแต่งงานกับพี่ชี ยิ่งนางกินอาหารได้เยอะ พี่ชีก็ยิ่งพออกพอใจ

 

ในมื้อหนึ่งพวกผู้ชายกินกันเยอะมาก แค่ชามเดียวเท่านี้ไม่มีทางกินอิ่มหรอก เสียดายที่ในฤดูหนาวไม่มีผักกวางตุ้งให้พวกเขากิน คงมีแต่ผักดองแล้ว ส่วนเนื้อสักชิ้นตกลงว่านางจะใส่หรือไม่ใส่ดีเล่า?

 

นอกบ้านมีหิมะตกลงมาอย่างหนัก แต่ในบ้านหลังน้อยกลับมีแสงตะเกียงสีส้มอมเหลืองลอดออกมา เมื่อมันสะท้อนกับพื้นดินที่ปกคลุมด้วยหิมะ ก็เกิดสีสันราวกับแป้งชาดที่แต่งแต้มลงบนหิมะขาว

 

องครักษ์ทั้งหลายที่ประจำตำแหน่งบนกำแพงแถบนี้ ยังคงยืนจับตาดูสถานการณ์โดยรอบอย่างระแวดระวัง ฮ่องเต้เสด็จกลับวังหลวงแล้ว พวกเขาไม่อาจย่อหย่อนต่อหน้าที่ได้เลยสักชั่วขณะเดียว

 

เสื้อคลุมของหยางไฮว๋อวี้มีหิมะเกาะอยู่เต็มไปหมด ในฐานะที่เขาเป็นผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ ยามค่ำคืนที่ท้องฟ้ามืดสนิทเช่นนี้ก็ไม่อาจละเลยต่อหน้าที่ได้เช่นกัน นี่เป็นการออกตรวจเวรยามรอบที่สามของเขาแล้ว

 

แม้หิมะสีขาวจะโปรยปรายปกคลุมทั่วเมืองหลวง แต่กลับไม่ร่วงลงบนกำแพงสูงตระหง่าน ดังนั้นโลกสีขาวโพลนจึงปรากฏเส้นโลหะยาวสีดำ โอบล้อมเขตพระราชฐานเอาไว้อย่างน่าเกรงขาม

 

แสงไฟจากบ้านตระกูลเถี่ยเป็นดั่งอัญมณีเม็ดหนึ่งบนเส้นโลหะ มันกำลังเปล่งประกายเรืองรองมีชีวิตชีวา ทุกครั้งที่เห็นบ้านของสองแม่ลูกคู่นี้ ในใจของหยางไฮว๋อวี้มักมีไฟโทสะพวยพุ่งขึ้นมาโดยไร้เหตุผล

 

เขาคำนึงถึงความปลอดภัยของเขตพระราชฐานมาโดยตลอด ทว่าในวันนี้กลับมีชื่อเสียงเลื่องลือในหมู่สหายร่วมงานว่าเป็นผู้มีใจคอโหดเหี้ยมนิยมการฆ่าฟัน ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดกับเรื่องนี้ยิ่งนัก

 

เฮ่อ...จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อวาจาเปล่งออกจากพระโอษฐ์ เรื่องนี้เป็นอำนาจพิเศษของฮ่องเต้ วาจาเพียงประโยคเดียวอาจทำให้คนผู้หนึ่งลอยขึ้นสวรรค์เก้าชั้นฟ้า และอาจทำให้คนผู้หนึ่งร่วงลงสู่นรกขุมที่ลึกที่สุด ชั่วชีวิตนี้ไม่อาจลืมตาอ้าปากได้อีก

 

เงาร่างคดโค้งสีดำสายหนึ่งเข้ามาใกล้กำแพงเมืองเขตพระราชฐาน พอหยางไฮว๋อวี้เห็นเข้าจึงคว้าหน้าไม้คันใหญ่ที่มีทหารองครักษ์ควบคุมอยู่ แล้วน้าวสายธนูโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

 

มีเสียง ‘ฟิ้ว!’ ดังขึ้น ลูกศรขนาดใหญ่ถูกยิงออกมาแล้ว เงาร่างสีดำท่ามกลางความมืดโดนปักตรึงกับพื้นดินในทันที โดยที่อีกฝ่ายยังไม่ทันส่งเสียงร้องเลยสักนิด

 

หิมะยังตกลงมาไม่หยุด แค่เพียงไม่นานเงาร่างสีดำนั้นก็กลายเป็นรูปสลักสีขาว...

 

----------------------------

 

[1] สุราเหลือง(黄酒)เป็นเหล้าที่เก่าแก่มาก มีดีกรีต่ำ ใช้ข้าวเหนียวเป็นวัตถุดิบ ผ่านกระบวนการย่อยสลายจนกลายเป็นน้ำตาล หมัก และคั้นน้ำ หลังจากคั้นน้ำแล้วก็ต้องเก็บไว้หลายปีจึงนำออกมาลิ้มรส

[2] แผ่นเฉาฮู่(朝笏)หรือแผ่นฮู้ว่าราชการ ลักษณะเป็นวัตถุแบนยาวทำจากหยก งาช้าง หรือไม้ไผ่แล้วแต่ฐานะของขุนนางที่ถือหน้าที่การใช้งาน คือใช้เป็นสมุดจดรายงาน คือ เวลาเข้าเฝ้าจะต้องกราบทูลเรื่องราวต่างๆ

[3] เจ้าลิงแซ่ซุน (孙猴子)หรือซุนหงอคง

[4] อู่ต้าหลาง (武大郎)เป็นชายร่างเตี้ยอัปลักษณ์ พี่ชายของอู่ซ่ง ตัวละครเอกในเรื่องสุยหู่จ้วน (水浒传)เขาถูกทำร้ายและวางยาโดยพานจินเหลียนผู้เป็นภรรยาและซีเหมินชิ่งชู้รักของนาง

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด