บทที่ 9 คู่ดูตัว
บทที่ 9 คู่ดูตัว
ฉางฉิงเซื่องซึมเพราะถูกแทงใจดำอีกครั้ง ไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยคิดเรื่องนี้ แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว จะให้ทำยังไงได้ล่ะ “พ่อคะ ตอนนี้บริษัทพ่อเป็นยังไงบ้างคะ”
เยี่ยนเหล่ยนั่งลงที่ข้างเตียง แล้วลูบหัวเธอ “ฉางฉิง พรุ่งนี้ลูกว่างมั้ย ออกไปทานข้าวเป็นเพื่อนพ่อหน่อย ไปดูตัวด้วย”
ฉางฉิงงงงัน “พ่อคะ หนูยังเด็กอยู่นะ พ่อคงจะไม่ให้หนูแต่งงานด้วยเหตุผลทางธุรกิจหรอกใช่มั้ยคะ”
เมื่อเห็นลูกสาวดูเจ็บปวดใจ เยี่ยนเหล่ยก็รู้สึกเศร้าใจจริงๆ แต่มันไม่มีทางเลือก “ประธานซ่งของกลุ่มบริษัท Sky เป็นคนเสนอเรื่องดูตัวนี้ขึ้นมา เมื่อก่อนตอนที่ลูกไปงานเลี้ยงเป็นเพื่อนพ่อ เขาเคยเจอลูกครั้งหนึ่ง แล้วรู้สึกประทับใจทีเดียว เขามีลูกชายอยู่คนหนึ่ง ซึ่งก็ถึงวัยที่ควรจะแต่งงานแล้ว เขาเลยอยากให้พวกลูกสองคนเจอหน้ากัน ฉางฉิง พ่อขอบอกลูกตามตรงนะ ช่วงไม่กี่ปีมานี้นโยบายประเทศเปลี่ยนแปลงไปมาก ซึ่งล้วนแต่ไม่เอื้อผลต่อบริษัท ผลประกอบการของบริษัทเราเริ่มดิ่งลงตั้งแต่ปีที่แล้ว พอมาถึงปีนี้ก็ต้องคอยโปะส่วนที่ขาดทุนตลอด แล้วช่วงต้นปีบริษัทอื่นๆ ก็เอาแต่กดขี่ตระกูลเยี่ยนเรา ตอนนี้บริษัทยังมีคดีความอีกหลายคดี หากเป็นอย่างนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วต้องประกาศล้มละลาย มิหนำซ้ำพวกเรายังต้องแบกภาระหนี้สินเป็นร้อยๆ ล้านด้วย ถ้าพ่อคนเดียวน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่ลูกกับพี่สาวลูกยังสาว ถึงแม้พี่เขยเค้าจะรักพี่สาวลูกมากขนาดไหน แต่ถ้าบ้านเรามีหนี้สินท่วมหัว พี่เขยลูกก็คงจะทนรับไม่ไหว”
ทันใดนั้นฉางฉิงก็สังเกตเห็นว่าบริเวณจอนผมของเยี่ยนเหล่ยขาวโพลนไปหมดแล้ว เธอรู้สึกปวดใจเหลือเกิน ตั้งแต่เด็กพ่อรักเธอที่สุด หากไม่ใช่เพราะว่าหมดหนทางจริงๆ ล่ะก็ พ่อคงไม่มีทางพูดเรื่องแบบนี้กับเธอแน่นอน แต่เธอใช้ชีวิตอย่างสุขสบายมาโดยตลอด ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะต้องมาเจอเรื่องพวกนี้ “พ่อคะ ถ้าอีกฝ่ายทั้งอ้วนทั้งขี้เหร่ นิสัยก็ไม่ดี หนูต้องฝืนใจแต่งมั้ยคะ”
ฉางฉิงเบ้ปาก
“ประธานซ่งหน้าตาดีกว่าพ่ออีก ลูกชายเขาต้องไม่ขี้เหร่อยู่แล้ว ส่วนเรื่องนิสัย ต้องรอดูพรุ่งนี้ ถ้าไม่ไหวจริงๆ พ่อยอมติดคุกดีกว่าทำให้ลูกต้องลำบากใจ” เยี่ยนเหล่ยเค้นรอยยิ้มพลางพูด “แต่ร่ำรวยมีชาติตระกูลอย่างตระกูลซ่ง ถ้าได้แต่งงานด้วย ตระกูลเยี่ยนเราก็จะได้ผูกสัมพันธ์กับผู้ที่มีฐานะสูงกว่า พ่ออยากให้ลูกได้แต่งงาน จะได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายไปตลอดชีวิต เมื่อมีตระกูลซ่งคอยหนุนหลัง ต่อไปผู้อำนวยการเฝิงนั่นจะทำอะไรก็ต้องดูสีหน้าลูกก่อน”
ฉางฉิงไม่ต้องการใช้เรื่องการแต่งงานของตัวเองแลกกับเรื่องหน้าที่การงาน แต่เธอก็ไม่อาจให้เยี่ยนเหล่ยที่อายุห้าสิบกว่าแล้วต้องแบกหนี้สินและติดคุก เขาสุขภาพไม่ดี ต้องทานยาบำรุงร่างกายตลอด อยู่ในคุกไม่ได้กินอาหารดีๆ ไม่ได้ใส่เสื้อผ้าอุ่นๆ จะเกิดเรื่องเอาได้ เธอปวดใจ เพราะฉะนั้นเธอจำเป็นต้องไปดูตัว
_ _ _ _ _ _ _ _
วันรุ่งขึ้น ฉางฉิงกับเยี่ยนเหล่ยไปที่ร้านอาหารแบบส่วนตัวที่ไม่เคยไปมาก่อน
เมื่อเดินเข้าไปในร้าน มีสองคนนั่งรออยู่ในห้องส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ที่โซฟาเหยียดขาคู่ยาวตามใจชอบ ชุดสูทสีดำที่รีดจนเรียบกริบดูเข้ากับรูปร่างที่สูงโปร่งได้อย่างเหมาะสมลงตัว ส่วนด้านในเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาว สวมรองเท้ากีฬาสีขาวแบรนด์ต่างประเทศที่เพิ่งวางตลาด ข้อเท้าที่โผล่ออกมาดูงามประณีตมาก
น้อยมากที่ฉางฉิงจะใช้คำว่างามประณีตในการบรรยายถึงผู้ชาย แต่พอได้เห็นใบหน้าของซ่งฉู่อี๋อีกครั้ง เธอก็ไม่อาจสงบนิ่งได้
“คุณ...คุณหมอซ่ง...” เธอปิดปากไม่สนิท เสียงก็เลยเล็ดลอดออกมา
เยี่ยนเหล่ยและซ่งไฮว๋เซิงต่างก็ได้ยินทั้งคู่
“อะไร พวกลูกรู้จักกันด้วยเหรอ” เยี่ยนเหล่ยดีใจมาก แวบแรกที่เห็นหน้าตาของซ่งฉู่อี๋ เขาก็รู้สึกประทับใจเป็นพิเศษ
ฉางฉิงหน้าแดง กลัวว่าเขาจะพูดเรื่องที่เธอไปตรวจที่แผนกสูตินรีเวชออกมา น่าอายชะมัด แล้วเธอก็รีบพูดขึ้นมาว่า “คราวก่อนที่ไปหาพี่สาวที่โรงพยาบาล หนูได้เจอกับคุณหมอซ่ง เขากับพี่ฉางซินทำงานที่โรงพยาบาลเดียวกันค่ะ”
ซ่งฉู่อี๋มองเธอทีหนึ่ง แล้วกล่าวทักทายเยี่ยนเหล่ย “สวัสดีครับคุณลุงเยี่ยน ที่แท้คุณลุงก็เป็นคุณพ่อของคุณหมอเยี่ยนนี่เอง”
ซ่งไฮว๋เซิงดีใจจนหัวเราะออกมา “คุณเยี่ยน ที่แท้ลูกสาวคนโตของคุณกับลูกชายผมก็ทำงานที่เดียวกัน ดูท่าหนุ่มสาวคู่นี้จะมีบุพเพสันนิวาสต่อกันจริงๆ ไม่แน่ว่าเราอาจได้เป็นทองแผ่นเดียวกันก็ได้”
“ใช่ครับ” เยี่ยนเหล่ยเองก็ดีใจไม่แพ้กัน “ผมคิดไม่ถึงจริงๆ”
“มานั่งเถอะ” ซ่งไฮว๋เซิงบอก
ซ่งฉู่อี๋หยิบเมนูมาให้ทุกคนสั่งอาหาร
เมื่อเห็นเขาดูมีกิริยามารยาทดี เยี่ยนเหล่ยก็พูดชมไม่ขาดปาก พอกลับไปบ้านแล้ว เขายังไต่ถามเรื่องนิสัยใจคอของซ่งฉู่อี๋คนนี้กับฉางซินได้ด้วย
................................................