บทที่ 8 จิ้งจอกน้อยบ้านตระกูลเถี่ย
บทที่ 8 จิ้งจอกน้อยบ้านตระกูลเถี่ย
คนอายุยังน้อยนัก ฉะนั้นหลายเรื่องล้วนต้องพักเอาไว้ก่อน...
เดิมทีเถี่ยซินหยวนคิดว่าถึงจะมีอาวุธอย่างค้อนเห็ดพิษอันใหญ่ แต่กลับไม่มีตะปูเหมาะๆ ที่ไหนมาให้ทดลองตอกสักตัว ทำให้รู้สึกกลัดกลุ้มอย่างยิ่ง เขาไม่กล้าเอาเจ้าเห็ดราอะมานิตามัสคาเรียนี่ให้มารดาทดลองชิมเด็ดขาด แน่นอนว่าเจ้าจิ้งจอกที่ภักดีกับเขาเสมอมาก็ด้วย เขาไม่มีทางใช้มันเป็นหนูทดลองยาแน่
ขณะนั่งอาบแสงแดดที่เหมือนจะเย็นลงเล็กน้อยตามสภาพอากาศอยู่หน้าประตูบ้าน เถี่ยซินหยวนก็หันไปมององครักษ์บนกำแพงเมืองเขตพระราชฐานด้วยท่าทีเหม่อลอย คนพวกนี้เป็นหนูทดลองที่เหมาะสมที่สุด แต่ว่าเห็นแก่ใบหน้ายิ้มซื่อๆ เวลาเย้าแหย่เขาให้ร่าเริง ช่างเถิด..ปล่อยพวกเขาไปก็ได้
ลูกพุทราสีแดงผลหนึ่งร่วงลงมาจากฟ้า เถี่ยซินหยวนส่งเสียงจิ๊จ๊ะก่อนจะลุกขึ้นยืน เขาเก็บพุททราแดงใส่ตะกร้าข้างตัว แล้วหันไปฉีกปากยิ้มกว้างให้บรรดาองครักษ์ที่ยืนอยู่บนกำแพงสูงเหนือศีรษะตน เป็นรางวัลให้กับเจ้าคนหยาบคายไร้มารยาทพวกนั้น
แต่แล้วก็มีลูกเหอเถา[1]ร่วงลงมาจากฟ้าอีกลูก
เถี่ยซินหยวนถอนใจเฮือกหนึ่ง เจ้าพวกบัดซบนี่โยนอาหารให้เหมือนเห็นเขาเป็นลิงเชียวนะ...
เมื่อเห็นมารดายกอาหารกลางวันมา เถี่ยซินหยวนแทบไม่รู้สึกอยากอาหารเลยสักนิด แต่ละมื้อเป็นบะหมี่เส้นสีขาวซีดๆ มารดากลัวว่าเขาไม่ชอบจึงเติมน้ำมันงามาให้เสียมากมาย ต่อให้เป็นบะหมี่ต้มกับน้ำเปล่ายังอร่อยกว่านี้เลย...
ตั้งแต่เขาเอ่ยปากเรียก ‘แม่’ ในวันนั้น ชีวิตก็เกิดการเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ตอนนี้เขาไร้วาสนาจะได้กินของดีอย่างน้ำนม ที่ทั้งสะอาดถูกสุขอนามัยและมีสารอาหารครบถ้วนแล้ว
เพราะมารดาอยากให้เขาหย่านมได้เสียที นางถึงกับนำขมิ้นมาทารอบเต้านม เพื่อช่วยลดความอยากกินนมของเถี่ยซินหยวน
เห็นทีว่าการกินน้ำนมมารดาต่างข้าวคงไม่มีทางเป็นไปได้อีก เถี่ยซินหยวนลอบถอนหายใจอยู่ลึกๆ พลางหยิบช้อนไม้ขนาดใหญ่เท่ากำปั้นของตัวเองขึ้นมาแล้วเริ่มตักอาหารเข้าปาก
ทุกวันเวลากินอาหารเขารู้สึกเหมือนกำลังรับโทษทัณฑ์ก็ไม่ปาน
“เจ้าหยวนเด็กดี พ่อเจ้าชอบกินทังปิ่ง[2]ของแม่ที่สุด ทุกครั้งเขาจะต้องกินหนึ่งชามเต็มๆ เลยนะ เจ้าหยวนก็ต้องกินให้มากๆ วันหน้าจะได้เติบใหญ่และแข็งแรงเหมือนพ่อของเจ้า”
เถี่ยซินหยวนอยากบอกเหลือเกินว่าเขาไม่ชอบเลยสักนิด แต่ว่าถ้าหากไม่กินเข้าไปก็คงต้องหิวตายเสียก่อน เพื่อเอาชีวิตรอดให้ได้ มีแต่ต้องยอมทรมานกระเพาะตัวเองเล่นไปเท่านั้น
ก่อนหน้านี้เนิ่นนานมาแล้ว กระเพาะของเถี่ยซินหยวนได้ชื่อว่าปรนนิบัติให้ถูกใจได้ยากมากทีเดียว แม้อาหารที่เขาชอบจะไม่ใช่ของชั้นเลิศราคาแพงระยับ แต่ว่ากรรมวิธีการทำจะต้องละเอียดประณีต อีกทั้งรสชาติจะต้องกลมกล่อมพอดิบพอดี มิฉะนั้นเขาจะตำหนิอย่างเกรี้ยวกราดไม่ไว้หน้า
ช่วงเวลานั้นสิ่งที่เขาจะตั้งตารอในแต่ละวันก็คืออาหารเลิศรสสามมื้อ มีเพียงอาหารเลิศรสตกถึงท้อง เขาถึงรู้สึกได้ว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่อย่างแท้จริง
ในวันนี้มารดาโอ้อวดว่าตัวเองทำอาหารได้อร่อยนักหนา กลับทำให้เถี่ยซินหยวนหมดความอยากอาหารไปก่อนแล้ว แต่ว่ามือของเขาก็ยังตักอาหารเข้าปากอย่างต่อเนื่อง กระทั่งกินทังปิ่งในชามจนสะอาดเกลี้ยงเกลาถึงยอมหยุดมือ บางทีกินไปนานวันเข้า เขาอาจจะชอบอาหารฝีมือมารดาขึ้นมาจริงๆ ก็เป็นได้
เมื่อเห็นมารดากินอย่างเอร็ดอร่อย เถี่ยซินหยวนจึงนำไข่ต้มที่ปอกเปลือกเรียบร้อยแล้วตรงหน้าหย่อนลงชามอาหารของนาง การกินไข่วันละหนึ่งฟองเป็นข้อเรียกร้องที่นางมีต่อบุตรชายคนนี้
หวังโหรวฮวาขมวดคิ้วเล็กน้อย นางเห็นบุตรชายหันมามองตัวเองแล้วหัวเราะคิกคัก จึงลงมือกินไข่ขาวจนหมดแล้วนำไข่แดงใส่ลงในชามข้าวของเถี่ยซินหยวน เขาถึงได้ใช้ช้อนตักไข่แดงเข้าปากกลืนลงไปในคำเดียว แต่ว่ากลับสำลักจนนัยน์ตาเหลือกค้าง หวังโหรวฮวารีบร้อนกรอกน้ำแกงเข้าปากเขาไปอึกหนึ่ง จนเขารอดพ้นจากชะตากรรมกินไข่แดงแล้วสำลักติดคอตาย
“ไข่ขาวอร่อยจะตายไป ทำไมลูกถึงไม่ชอบกินเอาเสียเลยนะ?”
อันที่จริงเถี่ยซินหยวนชอบกินไข่ขาวมาก เป็นมารดาต่างหากที่เข้าใจเจตนาของเขาผิด จนเขาต้องยอมกินไข่แดงเปล่าๆ แบบนี้ ก็การเสริมธาตุเหล็กด้วยการกินไข่ขาวเป็นทางเลือกที่ดีไม่ใช่หรือไร
มื้อกลางวันแสนเรียบง่ายของพวกเขาสองคนสิ้นสุดลงท่ามกลางเสียงพร่ำบ่นของมารดา
เจ้าจิ้งจอกนอนอาบแดดอยู่ในตะกร้าสานเก่าๆ โดยไม่เหลือบแลสองแม่ลูกคู่นี้เลยสักนิด หลังจากมันผลัดขนบนร่างจนงดงามกว่าเดิมมาก ก็ไม่ยอมแตะต้องอาหารในบ้านนี้อีกเลย โพรงเล็กๆ ใต้กำแพงสูงตระหง่านที่ห้อมล้อมวังหลวงเอาไว้ทำให้มันผลุบเข้าออกได้สะดวกสบายอย่างยิ่ง มันถึงได้แอบกินอาหารในวังหลวงมาโดยตลอด
สองแม่ลูกตระกูลเถี่ยจะเริ่มกินอาหารมื้อกลางวันเร็วกว่าชาวบ้านทั่วไป หวังโหรวฮวายังคงรักษาธรรมเนียมปฏิบัติของครอบครัวชาวนาเอาไว้ วันหนึ่งนางจะกินอาหารเพียงสองมื้อ แม้ว่าสภาพความเป็นอยู่ของพวกเขาจะมิใช่ยามยุ่งกินดี ยามว่างกินน้อย[3]ขนาดต้องกินอาหารเรียบง่ายทุกมื้อ แต่กลับหลีกเลี่ยงอาหารหยาบไร้รสชาติไม่ได้
เจ้าจิ้งจอกลุกขึ้นยืนพลางยืดเหยียดบิดขี้เกียจอย่างสบายอารมณ์ จากนั้นจึงกระโดดออกมาจากรั้วไม้เตี้ยๆ ที่หวังโหรวฮวาวางกั้นไว้ แล้วมุดเข้าไปในโพรงเล็กๆ ตรงกำแพงนั่น
หลังจากลอดโพรงนั้นเข้ามาแล้ว มันก็หันไปทางองครักษ์บนกำแพงส่งเสียงร้องหงิงๆ สองครั้ง เมื่อเห็นองครักษ์โบกมือให้ มันถึงได้เดินผ่านพงหญ้าแห้งเหี่ยวมุ่งหน้าไปทางอุทยานหลวง ในช่วงเวลานี้ของทุกวันมีคนผู้หนึ่งรอกินอาหารพร้อมมันอยู่
ระยะนี้ฮ่องเต้แห่งต้าซ่งจ้าวเจินอารมณ์ไม่สดชื่นแจ่มใสเอาเสียเลย นับตั้งแต่ขึ้นครองราชย์เป็นต้นมาก็มีพระราชประสงค์แต่งตั้งมารดาผู้ให้กำเนิดอย่างหลี่เฉินเฟย[4] แต่ว่าพระคุณที่หลิวเอ๋อ[5]สั่งสอนเลี้ยงดูมาก็มิอาจลืมได้ เรื่องนี้ทำให้พระองค์จมอยู่ในความลำบากใจถึงขีดสุดว่า ระหว่างพระคุณของผู้ให้กำเนิดและพระคุณของผู้เลี้ยงดูสิ่งใดสำคัญกว่ากัน
แม้แต่เรื่องที่เหล่าขุนนางถกเถียงกันในท้องพระโรงยามเช้าของวันนี้ กลับไม่ใช่เรื่องบูรณะซ่อมแซมเมืองหลวงหลังประสบอุทกภัยครั้งใหญ่ แต่เป็นการเรียกร้องแกมทัดทานด้วยฝีปากและปลายพู่กันไม่ให้พระองค์นำร่างของหลี่เฉินเฟย ซึ่งเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดเข้าสู่สุสานหลวง
เมื่อเผชิญกับการคัดค้านอย่างหนักของเหล่าขุนนางชั้นสูงมากมาย จ้าวเจินจึงทำได้เพียงอ้างประชวรงดเว้นการออกว่าราชการ
ในมุมหนึ่งของอุทยานหลวงมีศาลาอุ่นที่ทรงโปรดปรานมากที่สุด เนื่องจากสภาพพื้นที่ในบริเวณนี้ แม้จะอยู่ในช่วงอากาศหนาวเหน็บ ก็ยังอบอุ่นดุจฤดูใบไม้ผลิ ด้านนอกศาลาอุ่นยังคงมีพืชผักสีเขียวสดขึ้นอยู่หลายแปลง มีเพียงการมาเยือนที่แห่งนี้เท่านั้นถึงทำให้จ้าวเจินที่รู้สึกเหนื่อยล้าสัมผัสได้ถึงความสดชื่นมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง
จิ้งจอกขนสีขาวผุดผ่องดุจหิมะตัวหนึ่ง วิ่งกระโจนผ่านแนวป่าที่มีใบไม้แห้งร่วงโปรยปรายมาอย่างรวดเร็ว
ในที่สุดบนพระพักตร์ของฮ่องเต้จ้าวเจินก็ปรากฏรอยแย้มพระสรวล หวังเจี้ยนขันทีหนุ่มน้อยที่คอยติดตามอยู่ข้างพระวรกายส่งเสียงหัวเราะแผ่วเบา ก่อนจะเลิกผ้าม่านที่ปกคลุมศาลาอุ่นหลังนี้ขึ้น ในเมื่อเจ้าจิ้งจอกน้อยตัวนี้มาแล้ว พระทัยหม่นหมองของฝ่าบาทคงจะเบิกบานขึ้นบ้างกระมัง
เจ้าจิ้งจอกน้อยมาถึงบริเวณหน้าศาลาอุ่นแล้ว จึงส่งเสียงร้องหงิงๆ เรียกผู้ที่อยู่ภายใน
จ้าวเจินแย้มพระสรวลแล้วตรัสว่า “เสี่ยวเจี้ยน ให้มันเข้ามาเถิด ผู้ที่อยู่ต่อหน้าเราแล้วยังรักษามารยาทอยู่บ้าง เกรงว่าคงมีแต่เจ้าตัวน้อยสี่ขานี่แล้ว”
“เจ้าเปาหน้าดำเพียงแค่วาจามากความไปหน่อยเท่านั้น เขายังมิกล้าเสียมารยาทต่อฝ่าบาทแน่พ่ะย่ะค่ะ”
“วาจามากความเสียจนน้ำลายจะกระเด็นใส่หน้าข้าอยู่แล้ว ยังบอกว่าเขารักษามารยาทอีกรึ? ช่างเถิด ข้ารู้ว่าบ่าวเช่นเจ้าหวังดี แต่อย่างไรก็รีบเชิญอาคันตุกะของเราเข้ามาเสีย เจ้าดูสิ มันรอจนน้ำลายสอหมดแล้ว นี่มิใช่มารยาทรับรองอันควรของราชสำนักเลย”
ขันทีนามเสี่ยวเจี้ยนรีบเปิดทางให้ เจ้าจิ้งจอกน้อยกระโจนเข้ามาด้านในอย่างรวดเร็ว แล้วกระโดดขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่งด้วยความคุ้นเคยยิ่งนัก แล้วชะเง้อคอยาวเพื่อรอให้เสี่ยวเจี้ยนเตรียมอาหารให้ตัวเอง
จ้าวเจินทรงพระสรวลอย่างเบิกบานแล้วตรัสว่า “ทำไม วันนี้นายของเจ้ายังไม่มีอาหารดีๆ ให้กินหรือไร?”
จิ้งจอกเบื้องพระพักตร์ส่งเสียงครางสองครั้ง ราวกับว่ามันรู้สึกไม่สบอารมณ์เป็นอยู่บ้าง
“เอาล่ะ เห็นเจ้าอยากกินไก่ตัวนั้นเสียเหลือเกิน เสี่ยวเจี้ยน เอาหัวไก่ให้มันไป”
หลังจากจ้าวเจินตรัสสั่งจบแล้วก็เริ่มขยับตะเกียบ เสี่ยวเจี้ยนก็รีบหยิบหัวไก่ตัวนั้นออกมาวางในชามอาหารของเจ้าจิ้งจอก มันเองก็ไม่รอช้าเอาศีรษะมุดลงไปในชามทันที กินด้วยท่าทางเอร็ดอร่อยได้รสชาติ
ไม่นานหลังจากนั้นจ้าวเจินก็เสวยข้าวหมดชามหนึ่งโดยไม่รู้สึกพระองค์ เมื่อทอดพระเนตรเห็นว่าเจ้าจิ้งจอกยังกินไก่อยู่ ทรงมีท่าทีลังเลพระทัยเล็กน้อย พลันรู้สึกคล้ายว่าพระองค์ก็ยังเสวยไม่อิ่มดี จึงรับสั่งให้เสี่ยวเจี้ยนเติมข้าวให้อีกหนึ่งชาม
เสี่ยวเจี้ยนรู้สึกยินดีอย่างยิ่ง นี่เป็นครั้งแรกในรอบครึ่งปีที่ฝ่าบาทรับสั่งให้เขาเติมข้าวเพิ่มด้วยพระองค์เอง หลังจากปรนนิบัติตามรับสั่งแล้ว เขาก็คีบเนื้อซีอิ๊วชิ้นหนึ่งวางลงในชามของเจ้าจิ้งจอกอย่างเงียบงัน เขาหวังว่ามันจะกินอาหารต่อไปเพื่อให้ฝ่าบาทเสวยได้มากขึ้นอีกสักนิด
หนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ฮ่องเต้กับเจ้าจิ้งจอกพบกันโดยบังเอิญที่ป่าไผ่ มันเห็นพระองค์แล้วก็มิได้ตกใจจนถอยหนี เมื่อเห็นเหล่าองครักษ์กระชับวงล้อมเข้ามาใกล้ มันกลับเดินตัวสั่นงันงกคาบเอาหนูตัวใหญ่ที่เพิ่งจับมาได้ไปวางไว้เบื้องพระพักตร์ ทำให้ทรงพอพระทัยอย่างยิ่ง
ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งห้ามองครักษ์วังหลวงไม่ให้ทำร้ายเจ้าจิ้งจอก อีกทั้งยังพระราชทานไก่เนื้อแน่นครึ่งตัวเป็นรางวัลให้ด้วย ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่า นับตั้งแต่นั้นมันจะพัวพันไม่เลิกรา ทุกครั้งที่พบฮ่องเต้จะต้องมีของขวัญเล็กๆ น้อยๆ มาด้วยเสมอ บางครั้งก็เป็นหนูนา บางครั้งก็เป็นเม่นจำศีล หรือบางครั้งก็เป็นเห็ดเหี่ยวแห้งดอกหนึ่ง สรุปได้ว่ามันไม่เคยมาขออาหารมือเปล่าเลยสักครั้งเดียว
หลังจากจ้าวเจินเสวยข้าวชามที่สองจนหมดและใช้น้ำชากลั้วพระโอษฐ์แล้ว ก็ทรงแย้มพระสรวลตรัสกับเจ้าจิ้งจอกว่า “คราวนี้เจ้ามีของสิ่งใดมาให้เรา?”
ขันทีนามเสี่ยวเจี้ยนหยิบลูกสนขนาดใหญ่ออกมาลูกหนึ่ง ก่อนจะยิ้มแย้มพลางกราบทูลตอบว่า “ทูลฝ่าบาท คาดว่าฤดูหนาวคงมาเยือนแล้ว สรรพสัตว์ต่างจำศีลขดตัวนอนอยู่ในโพรงเสียสิ้น อาคันตุกะของพระองค์คงมิอาจจับสัตว์ที่มีชีวิตชนิดใดมาได้ จึงได้แต่หาลูกสนลูกใหญ่มาแทนพ่ะย่ะค่ะ”
จ้าวเจินเหลือบพระเนตรมองเจ้าจิ้งจอกที่ยังยืนอยู่บนเก้าอี้เคี้ยวอาหารเสียคำโต ทรงทอดถอนพระทัยก่อนตรัสว่า “ฤดูใบไม้ผลิเพาะปลูก ฤดูร้อนงอกงาม ฤดูใบไม้ร่วงเก็บเกี่ยว ฤดูหนาวกักตุน เดิมทีสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นกฎแห่งฟ้าดิน
พวกเราสูญเสียช่วงเวลาสำคัญอย่างการงอกงามในฤดูร้อนและการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงไปแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงการกักตุนเสบียงในฤดูหนาวเลย อย่างน้อยเจ้าจิ้งจอกยังสามารถหาลูกสนมาปอกกินเมล็ดข้างในได้ แต่ราษฎรนอกเมืองหลวงจะหาลูกสนให้พอยังชีพคงยากแล้ว”
เสี่ยวเจี้ยนค้อมกายลงก่อนจะกราบทูลว่า “ฝ่าบาททรงพระกรุณาเปิดคลังเสบียงฉางผิง ราษฎรย่อมมีเสบียงอาหารเพียงพอให้ผ่านพ้นฤดูหนาว จะว่าไปแล้วเวลานี้กระแสน้ำนอกเมืองหลวงก็ลดลงไปมาก แม้จะสูญเสียชีวิตผู้คนไปบางส่วน แต่กลับทำให้เกิดพื้นที่ดินเลนสะสมนับหมื่นหมู่[6]
เดิมทีพื้นเพของกระหม่อมก็มาจากครอบครัวชาวนา จึงทราบดีว่าพื้นที่มีดินเลนสะสมนั้นเป็นที่นาสำหรับเพาะปลูกอย่างดีที่สุด ขอเพียงปรับปรุงสภาพผืนดินให้ดี ปีหน้าจะต้องมีผลผลิตอุดมสมบูรณ์ให้เก็บเกี่ยวแน่พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ทรงพระสรวลอย่างขมขื่นเล็กน้อยก่อนตรัสว่า “ออกราชโองการสำนึกตนติดกันสามฉบับ เราเสื่อมเสียเกียรติจนหมดสิ้นแล้ว ออกราชโองการฉบับหนึ่งเราก็จะสูญเสียโอรสไปคนหนึ่ง ราชโองการต่อเนื่องสามฉบับจึงทำให้เราต้องสูญเสียโอรสทั้งสามไปแต่เยาว์วัย
สวรรค์จะบอกว่าภัยพิบัติร้ายแรงคราวนี้เพราะเราประพฤติตนผิดหลักคุณธรรมเป็นเหตุอย่างนั้นหรือ?”
เสี่ยวเจี้ยนเห็นว่าฮ่องเต้ทรงทุกข์ระทมเหลือจะกล่าว จึงไม่กล้าเอ่ยวาจาแทรกขึ้นมาอีก ได้แต่ยืนเก็บมือไม้อย่างสงบนิ่งอยู่ด้านข้างร่วมโศกเศร้าไปกับพระองค์ด้วย
ทันใดนั้นเจ้าจิ้งจอกที่กำลังกินอาหารอยู่ก็กระโดดลงจากเก้าอี้ ใช้ปากเลิกผ้าม่านตรงทางเข้าแล้วผลุบออกไปด้านนอก ฮ่องเต้ปรายพระเนตรมองเจ้าจิ้งจอกที่จากไปไกลอย่างอาลัย อดทอดถอนพระทัยอีกครั้งไม่ได้
ผ่านไปไม่นานนักเจ้าจิ้งจอกก็กลับเข้ามาอีกครั้ง ในปากของมันคาบก้อนหินสีเหลืองจางๆ มาวางเบื้องพระพักตร์จ้าวเจิน
เสี่ยวเจี้ยนส่งเสียงร้องด้วยความแปลกใจ ก่อนจะหยิบหินก้อนนั้นขึ้นมา หลังจากเช็ดทำความสะอาดอย่างละเอียดแล้ว จึงยื่นถวายฮ่องเต้พร้อมกราบทูลเสียงแผ่วเบาว่า “ฝ่าบาท นี่เป็นหินโซ่วซานที่ปีก่อนพระองค์ทรงโยนทิ้งไปพ่ะย่ะค่ะ”
จ้าวเจินทอดพระเนตรดูหินก้อนนี้อย่างถี่ถ้วนแล้วแย้มพระสรวล “เป็นหินโซ่วซานที่เมื่อปีกลายเราโมโหจึงโยนทิ้งไปจริงๆ ไม่คิดเลยว่าเจ้าจิ้งจอกจะหาจนพบ”
“ไม่ว่าอย่างไรสิ่งที่หายไปแล้วได้กลับคืนมาย่อมดีทั้งนั้น ในเมื่อจิ้งจอกตัวนี้หาจนพบก็มอบเป็นรางวัลให้มันเถิด เจ้าไปสั่งให้ช่างฝีมือวังหลวงแกะสลักหินก้อนนี้แล้วนำมาห้อยคอมันเสีย ให้ผู้คนทั้งหลายรับทราบว่าจิ้งจอกแสนรู้ตัวนี้ก็เป็นราษฎรของเราเช่นกัน”
เสี่ยวเจี้ยนค้อมกายลงน้อมรับพระบัญชา ก่อนจะหันไปเหลือบมองเจ้าจิ้งจอกที่หมุนเป็นวงไม่หยุดแล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ยังไม่รีบโขกศีรษะขอบพระทัยอีกรึ?”
เจ้าจิ้งจอกไม่ขยับเขยื้อนตามวาจานั้น ใบหูของมันตั้งชันครู่หนึ่ง จากนั้นจึงมุดม่านประตูออกไปอีกครั้ง ในเมื่อกินจนอิ่มท้องแล้ว ยังรั้งอยู่ที่นี่ต่อด้วยเหตุใด?
เถี่ยซินหยวนกำลังนอนหลับอยู่ในถังไม้ เจ้าจิ้งจอกน้อยก็ลอบเข้ามาจากด้านนอก แล้วลงไปซุกตัวนอนข้างกายเขาอย่างเหมาะเจาะ เมื่อได้กลิ่นไก่ย่างหอมกรุ่นโชยมา เถี่ยซินหยวนจึงง้างปากของมันออกดู ก่อนจะถอนใจแล้วเอ่ยว่า “มารดามันเถอะ จิ้งจอกตัวนี้ยังมีไก่ให้กิน ข้ากลับได้กินแค่บะหมี่เนี่ยนะ...”
----------------------------
[1] เหอเถา (核桃)หรือวอลนัท
[2] ทังปิ่ง(汤饼)อาหารที่ทำจากก้อนหรือแผ่นแป้งหมี่ต้มหรือนึ่งแล้วใส่น้ำแกงลงไปอย่างบะหมี่น้ำ
[3] ยามยุ่งกินดี ยามว่างกินน้อย (忙时吃稠 闲时吃稀)เป็นคำพูดที่ประธานเหมาเคยกล่าวไว้หมายถึง เวลาต้องทำงานให้กินอาหารดีๆ ส่วนเวลาที่ว่างไม่มีงานทำให้กินอาหารที่ไม่ต้องดีมากนัก
[4] หลี่เฉินเฟย (李宸妃)นางกำนัลรับใช้ของพระสนมหลิวที่ให้กำเนิดพระโอรสจากฮ่องเต้ซ่งเจินจง แต่พระสนมหลิวนำไปเลี้ยงดูจนภายหลังพระนางได้ขึ้นเป็นฮองเฮา ส่วนหญิงสาวแซ่หลี่ได้รับพระราชทานตำแหน่งสนมเอก “เฉินเฟย” ก่อนจะสิ้นพระชนม์
[5] หลิวเอ๋อ(刘娥)พระนามของหลิวฮองเฮา ผู้เป็นฮองเฮาของอดีตฮ่องเต้ซ่งเจินจง(宋真宗)พระราชบิดาของฮ่องเต้ซ่งเหรินจง(宋仁宗)จ้าวเจิน
[6] หมู่ (亩)หน่วยวัดพื้นที่ของจีน โดย 1 ไร่ของไทยเทียบเท่ากับ 2.4 หมู่