บทที่ 34 พลังอำนาจแห่งราชันย์
บทที่ 34 พลังอำนาจแห่งราชันย์
บังเกิดกลุ่มพลังสีดำมืดระเบิดออกจากร่างกายของอัชลี่ย์ พลังความมืดมิดที่ไร้ก้นบึ้งกวาดเอาทุกสรรพสิ่งรอบข้างจนแหลกสลายไปในพริบตาเดียว โชคยังดีที่การระเบิดพลังครั้งนี้ยังอยู่ภายใต้ขอบเขตคุ้มกันที่มีลาร์สร้างขึ้น ไม่เช่นนั้นแล้วผลกระทบอาจจะขยายวงกว้างไปไม่ต่ำกว่าสิบกิโลเมตรเป็นแน่
แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นล่ะก็ พวกเขาทั้งสี่รวมถึงซิลเฟร์และสไปค์ที่ยังอยู่ภายในขอบเขตของโลกเสมือนจริงนี้ล่ะ?
ดวงตาของอัชลี่ย์ถึงกับมีร่องรอยความประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อจับสัมผัสได้ว่าการระเบิดพลังเมื่อครู่นั้น ไม่ได้ทำให้ใครบาดเจ็บถึงขั้นล้มตายเลยสักคนเดียว ซึ่งนี่ไม่นับรวมถึงกลุ่มมารระดับสูงสามคนที่ถูกมีลาร์ผลักออกนอกระยะไปตั้งแต่แรก
ทุกผู้คนที่ปรากฏตัวหลังม่านควันจางไป แม้มีหลายคนบาดเจ็บหนักแต่ก็ไม่หนักหนาถึงขั้นล้มพับจนสู้ต่อไม่ไหว
“อย่างงี้นี่เอง ดูเหมือนยี่สิบปีที่ผ่านมาพวกเจ้าก็ไม่ได้งอมืองอเท้าอยู่เฉย ๆ สินะ” อัชลี่ย์กล่าวชมเชยทั้งสี่คนที่สามารถต้านทานพลังที่เขาแสดงออกมาเมื่อครู่ได้ “รวมถึงเจ้าอีกสองคนนั่นก็ยิ่งทำให้ข้าประหลาดใจเข้าไปใหญ่”
คนที่เขาหมายถึงคือสไปค์และซิลเฟร์ ถ้าถามถึงสาเหตุล่ะก็คงต้องบอกได้แค่ว่าซิลเฟร์นั้นได้มีลาร์ช่วยคุ้มกันอีกทีนึง ส่วนสไปค์นั้นใช้ปราณไร้ลักษณ์ในการต่อต้านพลังของอัชลี่ย์ด้วยตัวเอง รวมทั้งคุ้มครองฟลอร์เลนไปในคราวเดียวด้วย
ในส่วนนี้ไม่ใช่ว่าอัชลี่ย์มองไม่เห็น
“ถ้าไม่ติดว่ามีเจ้าพวกนี้เข้ามาสอดล่ะก็ ข้ากับเจ้าคงได้จับเข่าคุยกันนานกว่านี้” คำพูดนี้ชี้ตรงไปทางสไปค์อย่างเห็นได้ชัด
“เลิกพูดมากได้แล้ว”
ประกายแสงส่องสะท้อนนัยน์ตาเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น แล้วคมดาบใบหนึ่งก็เข้าประชิดคอหอยของราชันย์มารเตรียมจะสะบั้นให้ขาดในคราเดียว ทว่าเมื่อใบดาบสัมผัสกับผิวอากาศเบื้องหน้าคอหอยเพียงไม่ถึงห้าเซนติเมตร มันกลับถูกพลังปราณไร้ลักษณ์สีดำขัดขวางเอาไว้ไม่ให้รุกล้ำเข้าไปได้มากกว่านั้น
“ดาบของเจ้ายังคงรวดเร็วอย่างเช่นที่เคยเป็น” อัชลี่ย์กล่าวกับเอโนล่าในสีหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์ร่วมอะไร
เปรี้ยง!
แล้วในทันทีนั้นเอโนล่าก็โดนพลังที่มองไม่เห็นดีดใส่จนกระเด็นล่าถอยออกมา เดิมทีอัชลี่ย์ตั้งใจจะใช้จังหวะนี้บุกจู่โจมคนที่เหลือ แต่ยังไม่ทันได้ขยับก็มีก้อนแสงขนาดมหึมาพุ่งตรงมาด้วยแรงกดดันจากปราณระดับเก้า นี่ก็คือกระสุนพลังแสงที่สร้างจากปราณมังกรอันร้ายกาจของโซเรน อัชลี่ย์ยกอุ้งมือขวาขึ้นต้านรับแสงพลังนั้นไว้ด้วยมือเพียงหนึ่งข้าง
“เคล็ดสยบมังกร!”
ปราณไร้ลักษณ์สีดำเมี่ยมขยายตัวเข้ากลืนกินกระสุนแสงก้อนนั้นก่อนจะบีบรัดจนหายไปเป็นละอองเล็ก ๆ แต่การโจมตีจากโซเรนยังไม่หมดแค่นั้น เพราะมีกระสุนแสงขนาดเดียวกันพุ่งเข้ามาอีกไม่ต่ำกว่าสามลูก แล้วยังมีหล่นลงมาจากบนท้องฟ้าอีกสี่ลูกด้วยกัน อัชลี่ย์สัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลนั้นได้ก่อนจะเปล่งพลังปราณไร้ลักษณ์ขึ้นมาเพื่อจะต้านทานและขจัดมันให้หมดสิ้นไป
แต่บริเวณข้อต่อหัวเข่าของเขากลับรู้สึกเหมือนมีสัมผัสที่แสนอันตรายแล่นผ่านเข้ามา เขากระโดดยกขาทั้งสองข้างขึ้นก่อนจะพบว่ามีคมดาบรูปจันทร์เสี้ยวเล่มหนึ่งวาดผ่านไปอย่างแผ่วเบา เป็นเอโนล่านั่นเองที่แอบลอบจู่โจมเขาโดยไม่ทันให้รู้สึกตัว นี่ถ้าหากอัชลี่ย์ยกขาทั้งสองขึ้นช้ากว่านี้ก็คงจะถูกตัดขาดไปแล้ว
“ปราณระดับเก้า คลื่นจันทราผ่าสวรรค์!”
เอโนล่ากวาดวงดาบขึ้นจากเบื้องล่าง ฟาดคลื่นพลังขนาดมหึมาจากปลายคมดาบใส่ร่างกายของอัชลี่ย์ที่ไม่อาจคุ้มกันตัวเองได้ทัน และในช่วงเวลาแห่งความเป็นตายนั้นเอโนล่าก็กระโดดถอยออก ปล่อยให้กระสุนพลังของโซเรนกลืนกินร่างของอัชลี่ย์ไป บังเกิดแรงระเบิดสะเทือนเลือนลั่นจนแทบจะเป่าผืนดินแห่งนี้ให้ทะลุไปถึงแกนโลก
แต่หากคิดว่าการโจมตีจะจบลงแค่นี้ล่ะก็ คิดผิด!
ท้องฟ้าเหนือศีรษะของอัชลี่ย์มีคลื่นยักษ์ถาโถมลงมา ใช่แล้ว มันคือคลื่นยักษ์! และเป็นคลื่นยักษ์ที่หล่นลงมาจากบนท้องฟ้า! ถาโถมทับเข้าใส่อัชลี่ย์ซึ่งถูกครอบคลุมด้วยมิติเสมือนที่มีลาร์สร้างขึ้นอีกหนึ่งชั้น ทำให้ขอบเขตนั้นมีเพียงอัชลี่ย์ที่รับพลังจู่โจมครั้งนี้เข้าไปเต็ม ๆ
พลังแห่ง วารี ของเรนเดลทำให้อัชลี่ย์ไม่อาจสร้างจุดยืนบนพื้นให้กับตนได้ บุรุษผู้มีศักดิ์ฐานะเป็นถึงราชันย์ถึงกับตกที่นั่งลำบากเมื่อเจอการจู่โจมแบบผสมผสานจากกลุ่มสี่สรรพสิ่งที่เป็นอำนาจขุมสุดท้ายของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาพยายามจะรีดเร้นพลังปราณไร้ลักษณ์ออกมาต้านทานพลังของทั้งสี่ แต่ก็พบว่าปราณระดับเก้าที่ทั้งสี่คนใช้จู่โจมเข้ามา มันหนักหน่วงจนไม่อาจตั้งสมาธิเรียกพลังของตนขึ้นมาได้
“สะ...สุดยอดเลย” สไปค์ถึงกับเผลอหลุดคำอุทานออกมาเมื่อเห็นพลังอันกล้าแข็งที่กลุ่มสี่สรรพสิ่งแสดงมันออกผ่านการโจมตีเมื่อสักครู่ พลังของอัชลี่ย์สัมผัสว่ากล้าแข็งสุดหยั่งแล้ว พอเจอการผสมผสานด้วยปราณระดับเก้าเข้าไปอย่างต่อเนื่องยิ่งทำให้ตัวมันไม่อาจตอบโต้กลับได้เลย
ราชันย์มารมีสภาพไม่ต่างจากสิ่งมีชีวิตที่แหวกว่ายตะเกียกตะกายใต้คลื่นทะเลยักษ์ เมื่อรับรู้ว่าไม่อาจเร่งเร้าพลังปราณขึ้นต่อต้านได้ ตัวมันก็รู้สึกเหมือนกำลังตกที่นั่งลำบาก
“พวกเราฝึกฝนตัวเองอยู่ตลอดเวลาเพื่อรับมือกับช่วงเวลานี้โดยเฉพาะ เซอร์ไพรซ์แกมั้ยล่ะ อัชลี่ย์” โซเรนพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง อาจบางทีเธอคงจะเป็นคนที่เคียดแค้นอัชลี่ย์มากที่สุดในบรรดาสี่คนด้วยกัน
“อย่าพึ่งประมาทนะโซเรน ต่อให้พวกเราบรรลุปราณระดับเก้าแต่ก็ใช่ว่าจะยังเอาชนะมันได้ง่าย ๆ แบบนี้” มีลาร์รีบพูดเสริมเข้ามา ซึ่งโซเรนก็ขานรับกลับอย่างเบื่อหน่าย เรื่องนี้ใช่ว่าเธอจะไม่รู้
ท่ามกลางกระแสคลื่นทะเลยักษ์ที่เกิดจากการควบคุมด้วยพลังปราณระดับเก้าของเรนเดล อัชลี่ย์ไม่อาจเรียกพลังปราณระดับเก้าขึ้นมาต้านทานไว้ได้เลย ยิ่งมิติเสมือนที่มีลาร์สร้างขึ้นกำลังรัดตัวเข้ามาหาเรื่อย ๆ ยิ่งทำให้อัชลี่ย์รู้สึกร้อนใจขึ้นมา
ในการต่อสู้เมื่อยี่สิบปีก่อน ตัวมันซึ่งมีพลังปราณระดับเก้าสามารถเอาชนะกลุ่มสี่สรรพสิ่งที่ในตอนนั้นบรรลุเพียงปราณระดับแปดเท่านั้นได้อย่างง่ายดาย แต่ในปัจจุบันยี่สิบปีให้หลังตอนนี้พวกสี่สรรพสิ่งกลับบรรลุระดับเก้าได้เท่าเทียมกับเขา การต่อสู้จึงเป็นไปด้วยความยากลำบากมากยิ่งขึ้น
หรือราชันย์มารจะสิ้นชื่อแค่นี้แล้วจริง ๆ ?
“พวกเจ้าบังคับข้าเองนะ”
คำตอบคือ ‘ไม่’
เสื้อผ้าของเรนเดลส่วนหนึ่งขาดกระจายออก เธอทำหน้าตาแตกตื่นตกใจเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลที่กำลังดันเอาคลื่นยักษ์ของเธอกลับมา พอมองไปก็พบเห็นร่างของอัชลี่ย์ที่ถูกห่อหุ้มไว้ด้วยออร่าปราณอย่างไม่น่าเชื่อ ทำไม ทั้งที่สะกดมันไว้ได้จนอยู่หมัดแล้วแท้ ๆ แล้วมันรวบรวมพลังขึ้นมาอีกได้ยังไงกัน!
“ปะ...เป็นไปไม่ได้” แน่นอนว่าผู้ที่สัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลนี้ไม่ได้มีเพียงแค่เรนเดลเท่านั้น เพราะมิติเสมือนที่มีลาร์สร้างขึ้นเพื่อกักขังอัชลี่ย์เอาไว้เริ่มสั่นสะเทือนจนปริแตกเป็นเศษกระจก และสัมผัสที่มีลาร์ได้รับนั้นสามารถทำให้ใบหน้าของเขาผุดไปด้วยเม็ดเหงื่อจำนวนมากในพริบตา
“พลังปราณไร้ลักษณ์ระดับสิบ”
ทุกผู้คนในที่นี้ถึงกับแตกตื่นราวกับได้ยินเสียงจากมัจจุราชเข้ามากระซิบที่ข้างหู
หลังจากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทั้งสี่สร้างขึ้น ก็พลันถูกทำลายไป...
“อาจารย์!” สไปค์กระโดดออกจากเศษซากปรักหักพังก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปหามีลาร์ที่นอนแน่นิ่งจมกองเลือดอยู่บนพื้นที่ห่างไกลออกไป ไม่เพียงแค่มีลาร์เท่านั้น แม้กระทั่งสี่สรรพสิ่งอีกสามคนก็ถูกพลังของอัชลี่ย์เป่ากระเด็นหายไปคนละทิศคนละทาง
ห่างออกจากจุดนี้ไปไม่มาก ซิลเฟร์ยันตัวเองขึ้นมาจากใต้พื้นดินที่กลบทับร่างกายเขาอยู่ ทั่วร่างของเขามีบาดแผลน้อยใหญ่มากมายก็จริง แต่เมื่อเทียบกับกลุ่มสี่สรรพสิ่งแล้วยังดูเหมือนว่าเขาไม่ได้รับบาดแผลเลยด้วยซ้ำ
บางทีอาจจะเป็นเพราะตัวเขาและสไปค์ได้รับการปกปักษ์ในช่วงเวลาสุดท้ายจากกลุ่มสี่สรรพสิ่งก็เป็นได้ จึงทำให้อาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นนั้นเทียบไม่ได้เลยกับบรรดายอดนักรบทั้งสี่ที่บาดเจ็บอย่างหนักจนลุกไม่ขึ้น
“ปราณ...ระดับสิบ?” ซิลเฟร์เอ่ยคำนี้ออกมาช้า ๆ เหมือนยังไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเลยด้วยซ้ำ
แต่สัมผัสพลังที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นั้นไม่ใช่เรื่องโกหก นั่นคือพลังอำนาจที่เหนือล้ำยิ่งกว่าปราณระดับเก้า มันคือพลังระดับสิบที่ผู้คนน้อยใหญ่รับรู้ว่ามันมีแต่กลับไม่มีใครสามารถบรรลุได้แม้กระทั่งกลุ่มสี่สรรพสิ่งเองก็ตาม
พลังที่แตกต่างกันเพียงขั้นเดียวเท่านั้นถึงกับสร้างความแตกต่างในการต่อสู้ได้มากมายราวกับอยู่คนละห้วงมิติ อัชลี่ย์ทำให้ทุกผู้คน ณ แดนดินแห่งนี้รับรู้แล้วว่าความแข็งแกร่งแท้จริงเป็นอย่างไร
แต่...ใครมันจะยอมให้ตัวมันเองทำตามอำเภอใจไปมากกว่านี้กัน!
“ย้าก!!!”
ซิลเฟร์ระเบิดพลังปราณออกมาเท่าที่จะปล่อยออกมาได้ทั้งหมด ขีดขั้นสูงสุดที่เขาสามารถใช้ออกมาได้ในตอนนี้คือระดับขั้นที่เจ็ดก็จริง แต่มันก็อยู่ในระดับที่สูงล้ำจนมวลมนุษย์จำนวนมากไม่อาจจินตนาการฝันถึงอีกแล้ว ชายหนุ่มพุ่งตัวออกจากจุดเดิม ร่างของเขาหายไปในพริบตาที่อัชลี่ย์หันมามอง เพียงไม่ทันไรก็มีปลายฝ่าเท้าเหวี่ยงเข้ามาอัดใส่ใบหน้าของราชันย์มาร แรงกระทบสร้างเสียงดังสนั่นหวั่นไหว แต่ดูเหมือนว่าการโจมตีที่แสนหนักหน่วงนั้นไม่ได้ทำให้อัชลี่ย์ตกที่นั่งลำบากเลย
มันไม่แม้กระทั่งจะขยับไปจากจุดเดิมเลยด้วยซ้ำไป!
“เจ้ามีแววตาที่ดีนะ” อัชลี่ย์พูดขึ้นสั้น ๆ ก่อนจะสะบัดข้อมือ แล้วซิลเฟร์ก็ถูกพลังมหาศาลกระแทกร่างจนกระเด็นไปพร้อมกับอาการบาดเจ็บภายในขั้นร้ายแรง เรี่ยวแรงและพลังปราณของซิลเฟร์หายไปทันที เขาไม่นึกว่าการจู่โจมเพียงหนึ่งครั้งจะทำให้เขาหมดสภาพได้ขนาดนี้
กระทั่งสไปค์ยังอ้าปากค้างเมื่อได้เห็นว่าซิลเฟร์แน่นิ่งกับพื้นไปแล้ว ที่ตรงนี้เหลือเพียงเขากับฟลอร์เลนเท่านั้นที่ยังคงมีสติครบถ้วนหลงเหลืออยู่
ไม่สิ...กระทั่งฟลอร์เลนยังมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว เธอยังไม่เป็นตัวเองเลยตั้งแต่เมื่อครู่จนกระทั่งตอนนี้
“เอาล่ะ ข้าเคลียร์ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว คราวนี้เรามานั่งคุยกันหน่อยดีไหม?” อัชลี่ย์เดินเข้าหาสไปค์อย่างเชื่องช้า แต่ทว่าชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเบื้องหน้ากลับตั้งท่าต่อสู้อย่างหนักแน่น เหมือนเตรียมใจพร้อมที่จะสู้ตายกับมารร้ายที่กำลังก้าวขาเข้ามา
อย่าเข้ามาใกล้มากไปกว่านี้
อย่า...
บอกว่าอย่าไง!
ภายในใจของสไปค์กำลังคร่ำครวญอย่างหนัก พลังของอัชลี่ย์สร้างความหวาดกลัวขึ้นมาในจิตใจของเขาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อัชลี่ย์แสยะยิ้มขึ้นมาอย่างพึงพอใจเมื่อรับรู้ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้ากำลังอกสั่นขวัญแขวน
“เอาล่ะ เข้าเรื่องเลยแล้วกัน” อัชลี่ย์หยุดยืนเบื้องหน้าสไปค์ที่ตอนนี้บนใบหน้าเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ
“ก่อนหน้านี้เจ้าจู่โจมข้าด้วยปราณไร้ลักษณ์ ถูกต้องหรือไม่?”
“ละ...แล้วจะทำไม”
“ก็ไม่ทำไม... ข้าแค่แปลกใจ เพราะไม่คิดว่าจะมีคนอื่นนอกเหนือจากข้าที่มีพลังนี้อยู่เหมือนกัน” อัชลี่ย์ไม่ได้พูดลอย ๆ เขาคิดเช่นนั้นจริง ๆ
“เอาล่ะ...คำถามคือข้าอยากรู้ว่าเจ้าเป็นใคร เจ้าหนุ่มน้อย” อัชลี่ย์ยื่นหน้ามา แรงกดดันมหาศาลกดทับใส่สไปค์อย่างหนักจนแทบจะขยับแขนขาไม่ได้ “ส่วนเจ้าฟลอร์เลน เจ้ารู้ตั้งแต่แรกแล้วหรือว่าเจ้าหนุ่มนี้มีพลังแบบเดียวกับข้า?”
อัชลี่ย์หวนนึกไปถึงเรื่องเมื่อเจ็ดปีก่อน ในตอนนั้นมีมารระดับสูงจำนวนสามตนพยายามจะนำเรื่องนี้มาบอกกับเขาที่กำลังเก็บตัวอยู่ในที่ของตัวเอง ตัวเขาในตอนนั้นไม่ได้อยากจะเชื่อสักเท่าไหร่ว่ามีมนุษย์ที่มีพลังเหมือนกับตัวเองปรากฏตัวออกมา เพราะคิดว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้แน่
แต่ตอนนี้เขาจำต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ เพราะมนุษย์คนที่ว่ายืนอยู่เบื้องหน้าเขาตอนนี้แล้ว
“ปล่อยพวกเราไปเถอะ”
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงฟลอร์เลนดังขึ้นมา
“ท่านไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้เลยด้วยซ้ำ”
“แล้วทำไมข้าต้องไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้กันล่ะ?” อัชลี่ย์ทวนคำพูดของอีกฝ่าย “เป็นเจ้าเองไม่ใช่หรือที่ทำให้ข้าต้องทำถึงขนาดนี้”
ใบหน้าของฟลอร์เลนเหมือนพยายามปั้นขึ้นเพื่อต่อสู้กับความหวาดกลัวที่ต้องจับจ้องมองดูสายตาคู่นั้น
“ตั้งแต่อยู่ในโลกของมาร เจ้าก็ทำตัวแปลกแยกจากผู้อื่น หนำซ้ำยังแสดงท่าทีต่อต้านข้าอย่างลับ ๆ เรื่อยมา คิดหรือว่าข้าไม่รู้ พอสบโอกาสก็หนีจากข้าทั้งที่เจ้ามีพรสวรรค์พอจะสืบทอดตำแหน่งจากข้าได้ พอเจออีกทีก็มีสภาพที่น่าสมเพชเช่นนี้ ข้าผิดหวังในตัวเจ้าเหลือเกิน”
“นั่นเพราะข้าไม่ได้เป็นเหมือนกับท่าน!”
แววตาของอัชลี่ย์เปลี่ยนไป เขาแค่นเสียงตอบกลับมา
“อย่าได้เอ่ยคำนั้นออกมาเชียว”
ฟลอร์เลนกลืนน้ำลายลงอึกหนึ่ง เธอหันสายตาไปทางสไปค์ที่ในตอนนี้รู้สึกสับสนจนเกินกว่าจะตามเรื่องราวทั้งหมดนี้ทัน เธอจ้องเข้าไปยังดวงตาของชายหนุ่มผมสีน้ำตาลคนนั้น รอยยิ้มพลันผุดขึ้นมาบนใบหน้า มันเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนที่สุดเท่าที่เธอได้เคยแสดงออกมาให้เขาเห็น
“ฟังให้ดี” คำพูดของฟลอร์เลนทำให้อัชลี่ย์ถึงกับขมวดคิ้วไม่พอใจ เธอสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เหมือนต้องการจะปรับสติของตัวเอง แล้วหลังจากนั้นคำตอบอีกหนึ่งคำก็ถูกเอ่ยออกมาด้วยแววตาที่แน่วแน่
“ข้าคือมนุษย์!”