บทที่ 27 : แวนดิริตี
บทที่ 27 : แวนดิริตี
หลายวันก่อนที่กิลเลนจะพบกับบูลเบนที่เพรสทีจ
ในระหว่างมื้ออาหารหน้าตาประหลาดที่อคาลาวนเวียนหามาให้เขากิน เจ้าผลไม้หน้าตาเหมือนแอปเปิ้ลก็เป็นของกิลเล่นแก้เบื่อได้ดีในระหว่างที่สนทนากัน กองไฟที่อยู่ตรงกลางดับมอดลงไปนานแล้ว คงเหลือไว้แต่ไอความร้อนจาง ๆ เท่านั้น อคาลานั่งอยู่ข้างกิลเลน ส่วนบากะอินุวิ่งเล่นอยู่แถวนั้นกับอินุจิโยะ
“แวนดิริตี” กิลเลนทวนคำ “มันอะไรล่ะนั่น”
“ก่อนอื่น นายรู้จักกับคำว่าอบิลิตีดีแค่ไหน” อคาลาถาม เธอยิ้มเมื่อเห็นหน้าของกิลเลนฉายแววไม่เข้าใจอย่างชัดเจน
“ถ้าในความหมายของผู้ถูกเลือก ก็คือพลังที่ได้มาหลังจากซิงโครกับคาตาลิสต์” กิลเลนตอบกลับไป เขากัดแอปเปิ้ลรสฝาดนั้น ที่นานวันเข้าลิ้นของเขาจะเริ่มชาชินกับมันเสียแล้ว
“แล้วคาตาลิสต์เอาพลังที่ว่ามาจากไหนล่ะ”
กิลเลนทำท่าคิดหนัก เขาเคยได้ยินครูฝึกแมดเดอลีนเล่าให้ฟังมาคร่าว ๆ แต่เจ้าตัวลืมรายละเอียดไปเกือบหมดแล้ว แถมตอนฟังก็ยังเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างเสียอีก
“ถ้าจำไม่ผิด คุณแมดเดอลีนบอกว่าคาตาลิสต์เลียนแบบพลังมาจากแวนเดียร์ระดับสูง” กิลเลนลอบถอนหายใจเมื่อเห็นอคาลาพยักหน้า แสดงว่าที่เขายังพอจำอะไรได้บ้างจะเป็นข้อมูลที่ถูกต้องล่ะนะ
“คำว่าแวนดิริตีก็คือสิ่งเดียวกันนี่แหละ คาตาลิสต์คือโคลนนิงของมนุษย์ที่มีพันธุกรรมของแวนเดียร์ผสมอยู่เพื่อให้สามารถใช้อบิลิตีได้ยังไงล่ะ” อคาลาสบตากับกิลเลนเพื่อดูปฏิกิริยาของเขา
“หืมมม” เขาลากเสียงยาว ขว้างแกนแอปเปิ้ลนั้นออกไป
“ไม่เชื่อรึ” อคาลาเอ่ยถาม หญิงสาวขยับเข้าไปใกล้กว่าเดิม กิลเลนยังคงตกใจที่เธอชอบเข้ามาใกล้อย่างกะทันหัน แต่เขาคิดว่าน่าจะทำตัวให้ชินกับเธอได้แล้ว เขาถอนหายใจ
“ก็ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อหรอก” กิลเลนบอกก่อนจะหันมาจ้องเธอ “แค่แปลกใจว่าเธอไปรู้เรื่องแบบนี้มาจากไหนเนี่ย เอาเถอะแล้วยังไงต่อ”
“การซิงโครจะช่วยให้ผู้ถูกเลือกยืมพลังของคาตาลิสต์มาใช้ได้ และเมื่อผ่านการใช้งานซ้ำแล้วซ้ำเล่าสุดท้ายก็จะได้ครอบครองพลังนั้นเป็นของตัวเอง ซึ่งเรื่องนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็นไปได้”
“เธอคงไม่ได้กำลังจะบอกนะว่าแวนดิริตีเองก็สามารถเรียนรู้แบบนั้นได้” กิลเลนชะงัก
“ปิ๊งป่อง! เก่งมาก เอาไปสิบคะแนน” อคาลายิ้มอย่างถูกใจ เธอชูมือทั้งสองข้างให้กับกิลเลนทำทีว่าเป็นคะแนนให้กับเขา กิลเลนทำหน้านิ่งเอามือลูบหน้าตนเองอย่างเหนื่อยใจ
“แล้วจะให้ฉันไปซิงโครกับแวนเดียร์เนี่ยนะ จะบ้าไปแล้วเรอะ!!” กิลเลนฉุนขึ้นมาทันทีเพราะคิดว่าอคาลากำลังหยอกเขาเล่นอีกแล้ว จะให้เขาไปจับแวนเดียร์ระดับสูงมาเพื่อซิงโครเนี่ยแค่คิดก็สยองแล้ว
“เราพูดสักคำรึยังว่าจะให้ไปซิงโครกับแวนเดียร์” อคาลาก็ทำท่ายั๊วบ้าง “ที่เรากำลังจะบอกคือถ้านายได้เผชิญหน้ากับแวนเดียร์ที่มีแวนดิริตีบ่อยครั้ง ก็มีโอกาสที่ร่างกายและจิตของนายจะจดจำพลังนั้นไว้ได้ต่างหากเล่า”
กิลเลนนึกภาพตอนที่เขาสู้กับนิดฮอกและเทียแมท หลายครั้งงั้นเหรอ นั่นมันหมายถึงตายหลายครั้งด้วยใช่ไหม เขารีบส่ายหน้าปฎิเสธเป็นพัลวัน
“เรื่องที่เธอว่ามามันเป็นแค่ทฤษฎีใช่ไหมล่ะ แต่จริง ๆ แล้วมันทำได้จริงรึเปล่าก็ไม่รู้ เคยได้ยินมาว่ามีคนพยายามสู้กับนิดฮอกในห้องจำลองเป็นพัน ๆ รอบก็มีนะ แต่ไม่เห็นจะเคยได้ยินว่าเขาได้แวนดิริตีอะไรนี่มาเลย” กิลเลนเถียงกลับบ้าง
“ก็นั่นมันห้องจำลอง มันเป็นข้อมูลเลียนแบบ ไม่เหมือนตอนที่นายสู้ในความฝันหรือเจอของจริงหรอก มันต้องสัมผัสกับพลังแวนดิรีตีของจริงถึงจะเรียนรู้ได้”
“ถึงจะแบบนั้นก็เถอะ ถ้ามันทำได้จริงป่านนี้คงมีผู้ถูกเลือกที่ใช้พลังของแวนเดียร์ได้เต็มไปหมดแล้ว”
อคาลาได้ฟังแล้วก็ถอนหายใจ บางครั้งเธอก็ประหลาดใจที่เขาเชื่อคนง่ายเหลือเกิน แต่บางเรื่องกลับดื้อจนไม่ยอมโดยง่าย
“คนอื่นทำไม่ได้หรอก แต่นายมีสองสิ่งที่คนอื่นไม่มี” เธออธิบายแบบเหนื่อยใจ “ข้อแรกเป็นสิ่งที่หาได้ไม่ยาก แต่จะมีอยู่เฉพาะผู้ถูกเลือกที่ไม่ได้สังกัดกับยานเท่านั้น”
กิลเลนลองนึกภาพตาม “เซลล์แวนเดียร์ในร่าง” เขาเดาส่ง
“ถูกต้อง ส่วนอย่างที่สองก็คือนายมีประสาทสัมผัสพิเศษที่สื่อกับแวนเดียร์ได้ ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะที่จะมีสิ่งนี้ และต่อให้มี กรณีที่เข้มข้นแบบที่นายมีก็เป็นสิ่งที่หายาก”
“งั้นปัญหาก็คือจะเอาปัญญาที่ไหนไปสู้กับแวนเดียร์ระดับนั้น… หลายครั้ง” กิลเลนเน้นย้ำคำหลังสุด
และการสนทนาครั้งนั้นก็จบลงด้วยบทสรุปนั้น
ระหว่างที่กิลเลนกำลังขับรถหนีบูลเบนอย่างสุดชีวิต เขาก็หวนนึกถึงเรื่องที่คุยกับอคาลาขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ
‘...อย่าไปสนใจคำยุของยัยอคาลา เจ้าบูลเบนนี่ถึงจะไม่แกร่งเท่านิดฮอกหรือเทียแมท แต่ตูคนเดียวจะไปเอาชนะได้ยังไง…’ กิลเลนคิดในพลางสะบัดหัวไล่ความหลังที่จู่ ๆ สมองของเขาก็เอามาฉายซ้ำซะแบบนั้น กิลเลนเร่งเครื่องต่อไป เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มไปทั่วบริเวณ เศษดินตีฟุ้งขึ้นจนโฮเวอร์ไบค์เลอะเทอะไปหมด
“คงไม่ใช่ว่ากำลังอยากจะลองสู้ดูหรอกนะ” อคาลาที่ซ้อนท้ายอยู่ทักขึ้นมาเมื่อเห็นเขานิ่งไป เธอหยีตาเมื่อพยายามชะโงกหน้าไปหากิลเลนฝ่าลมที่โต้กลับมา
“อย่าเลยเจ้าค่ะ ฝืนสู้ล่ะตายแหงเลยเจ้าค่ะ” อินุจิโยะก็โผล่ออกมาห้าม ภาพโฮโลแกรมมีรูปกากสีแดงลอยขึ้นเต็มไปหมด มันกระพริบถี่ ๆ พร้อมกับส่งเสียงเตือนรำคาญหู
“ใครจะไปอยากสู้ฟระ นี่ไม่ใช่โลกเสมือนจริงนะเฟ้ย” ว่าพลางก็ดูหน้าจอที่อยู่ตรงหน้าไปด้วย ตอนนี้มอนิเตอร์กำลังฉายภาพจากกล้องด้านหลัง ทำให้กิลเลนสามารถสอดส่องสถานการณ์ได้ตลอดเวลา เจ้าโฮเวอร์ไบค์คันนี้ยังทำอะไรได้อีกหลายอย่าง คิดแล้วก็นึกขอบคุณเพื่อนของเขาที่ลงขันซื้อมันให้จากใจจริง เขาเห็นบูลเบนควบจี้ตามมาด้วยความเร็วสูง อย่าว่าแต่หยุดสู้เลยแค่จะหนีให้ทันกิลเลนยังต้องลุ้นจนไข้แทบกลับ
น่าตลกที่เวลาแบบนี้กิลเลนกลับรู้สึกคิดถึงใบหน้าของผู้ถูกเลือกบนดิกนิตี ใจคิดอยากจะให้พวกนั้นมาทำภารกิจแถว นี้เหลือเกิน เวลาคับขันแบบตอนนี้ต่อให้เป็นโอเวนหรือบาร์เรตเขาก็คงจะไม่เกี่ยงแล้ว
แม้ระยะทางระหว่างบลูเบนตัวที่สองและกิลเลนจะไม่ได้ลดน้อยลง แต่ระยะห่างก็ไม่ได้เพิ่มมากขึ้น กิลเลนพยายามขับหักเลี้ยวหรือเร่งความเร็วให้สุดเพื่อจะสลัดมันให้หลุดอยู่หลายครั้ง แต่เมื่อเขาก้มลงมองจอมอนิเตอร์เขาก็พบเจ้าบลูเบนตัวเดิมที่วิ่งตามเขาอย่างไม่ลดละ
“โธ่เว้ย เป็นแบบนี้ได้ขับหนีจนแบตสำรองหมดแน่ ๆ” กิลเลนตะโกนลั่นอย่างหงุดหงิดใจ ด้วยการต้องบังคับรถเป็นเวลานานทำให้เขารู้สึกว่าแขนของตัวเองเริ่มปวดขึ้นมาแล้ว
‘...วิ่งขึ้นเนินไปจะดีไหมนะ ไม่ดีกว่า เคยเห็นมันวิ่งกลางอากาศมาแล้วด้วยซ้ำ…’ กิลเลนฉุกคิดขึ้นในใจเมื่อเขาขับผ่านเนินดินมา แต่ความคิดที่ว่าก็ถูกล้มเลิกไป
“สงสัยต้องใช้วิธีนั้น” เมื่อคิดได้กิลเลนก็ตะโกนสั่งอินุจิโยะและอคาลาทันทีโดยไม่ได้บอกถึงแผนการที่เขาจะทำต่อจากนี้ “จับไว้รถไว้ให้ดี เราจะกำลังจะหมุน”
อคาลาเปลี่ยนจากที่กุมเอวของกิลเลนไปคว้าตัวรถไว้แทน ส่วนอินุจิโยะก็สั่งให้ส่วนเสริมของโฮเวอร์ไบค์ล็อคตัวบากะอินุเอาไว้ เมื่อเห็นว่าทุกคนพร้อมแล้วกิลเลนก็คว้าพลาสมาสเปียร์ออกมาในขณะที่มืออีกข้างยังกำที่ควบคุมไว้แน่น
เขาหักเลี้ยวกระทันหันในขณะที่เหยียบเบรคจนมิด รถถูกแรงกระชากจนหมุนติ้ว ควันรถและฝุ่นผงกระจายเป็นวงกว้างพร้อมกับรถที่หมุนควงสว่านอยู่แบบนั้น บูลเบนที่วิ่งเข้ามาจนเกือบจะถึงตัวรถรู้สึกถึงอันตรายแต่มันก็หยุดไม่ทันแล้ว มันพยายามใช้ขาหน้าเหยียดไปกับพื้นเพื่อชะลอความเร็วของตัวเองลง กิลเลนอาศัยแรงเหวี่ยงนั้นฟาดหอกในมือออกไป
พลั่ก พลั่กก พลั่กกก
...สามหน…
หอกในมือกิลเลนสามารถทำหน้าที่ของมันได้ติดกันถึงสามครั้ง แม้จะเป็นแค่เวลาเสี้ยววินาทีระหว่างหมุน แต่กิลเลนก็ยังเล็งไปที่หน้าบูลเบนอย่างแม่นยำ ความแรงนั้นทำให้โดนดีดกระเด็นออกห่างจากกัน โฮเวอร์ไบค์ยังคงหมุนและพุ่งต่อไปในขณะที่บูลเบนต้องพยายามอย่างเต็มที่ไม่ให้มันล้มหน้าคะมำ
“สำเร็จไหมเจ้าคะ” สาวน้อยหูหมาพยายามจ้องเจ้าแวนเดียร์กึ่งม้ากึ่งมังกรที่ตอนนี้หยุดนิ่งไปแล้ว แต่ก็ไม่สามารถทำได้โดยง่ายเพราะโฮเวอร์ไบค์เองก็ยังคงหมุนอยู่แม้จะช้าลงแล้วก็ตาม
เมื่อรถหยุดหมุน พวกเขาจึงเห็นสิ่งที่เกิดได้ชัดขึ้น ใบหน้าครึ่งหนึ่งของมันเต็มไปด้วยของเหลวใสและของเหลวสีดำที่ยังไหลทะลักออกมาอย่างต่อเนื่อง ดวงตาสีแดงส่องแสงจ้องมาที่พวกกิลเลนราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ กิลเลนยังคงถือพลาสมาร์สเปียร์เอาไว้ ส่วนมืออีกข้างก็บิดคันเร่งเตรียมพร้อมพุ่งไปด้านหน้า
“โกรธแล้วเจ้าค่ะ โกรธแน่ ๆ เลย นายท่านก็ไม่น่าไปทำแบบนั้นเลย” อินุจิโยะร้องโวยวายเมื่อเห็นว่าบูลเบนได้รับบาดเจ็บ มันหวีดร้องคำรามจนกิลเลนต้องนิ่วหน้า มันสะบัดหน้าไปมาอย่างเจ็บปวดก่อนจะหันมาทางพวกเขาอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“จริงด้วยโดนโกรธซะแล้วล่ะ คราวนี้มันไล่ไม่เลิกแน่” อคาลาสนับสนุนแบบนั้นเช่นเดียวกัน ในขณะที่ดวงตาจดจ้องแวนเดียร์ที่ร้องครวญครางอยู่
“เดี๋ยวสิโว้ย พวกหล่อนอยู่ข้างไหนกันแน่เนี่ย” กิลเลนไม่รอให้มันเข้ามาใกล้เขาหันไปพูดใส่อคาลาอย่างโมโห เธอกับอินุจิโยะได้แต่ยักไหล่ให้ ชายหนุ่มถอนหายใจ เขาบิดเร่งเครื่องสุดกำลัง โฮเวอร์ไบค์แล่นฉิวออกจากจุดนั้นไปราวกับเหาะ ในตอนนั้นเองบูลเบนก็เริ่มออกวิ่งอีกครั้งด้วยความเร็วที่ยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
“ทำไมดันเร็วยิ่งกว่าเดิมอีกล่ะเฮ้ย” แม้กิลเลนจะออกตัวมาก่อนแต่ระยะห่างกลับลดลงเรื่อย ๆ มันไล่กวดมาอย่างไม่ลดละด้วยโทสะที่พร้อมระเบิดใส่พวกเขาทุกคน ชายหนุ่มพยายามบิดเร่งเครื่องแต่ก็พบว่าไม่สามารถทำได้มากกว่านี้อีกแล้ว กิลเลนกัดริมฝีปากพยายามควบคุมรถด้วยมือเดียวในขณะที่แล่นออกไปด้วยความเร็วสูงสุด
“ไงล่ะ เราบอกแล้วว่าอย่าไปยั่วมัน” อคาลาตะโกนใส่หูของเขาและยึดตัวรถไว้แน่นกว่าเดิมเพราะไม่อยากจะปลิวละลิ่วตกข้างทางไปเสียก่อน
“ก่อนหน้านี้หล่อนไม่ได้พูดแบบนี้ไม่ใช่เรอะ” กิลเลนโวยเสียงลั่น
“บ้าจริง จะต้องมาตายที่นี่รึเนี่ย” กิลเลนพยายามสงบสติอารมณ์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขามองไปทั่วบริเวณในขณะที่ทิวทัศน์พลันเปลี่ยนอย่างรวดเร็วเพื่อคิดหาแผนการณ์ที่น่าจะใช้ต่อกรกับบลูเบนได้ แต่เขาก็ไม่พบเลยนอกจากจะต้องขี่รถหนีมันไปเรื่อย ๆ ซึ่งในอีกไม่กี่นาทีต่อจากนี้มันจะต้องตามเขาทันอย่างแน่นอน
แต่แล้วกิลเลนก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เขามีแผนลับอยู่แผนหนึ่งที่เคยซักซ้อมกับอินุจิโยะเอาไว้แล้ว แต่แผนนั้นมีโอกาสที่จะไม่สำเร็จครึ่งต่อครึ่งแถมยังอาจจะต้องเสียปัญญาประดิษฐ์ของอินุจิโยะไปด้วย กิลเลนยังคงชั่งใจเขามองไปที่จอมอนิเตอร์และอินุจิโยะอยู่หลายครั้ง
“นายท่านเจ้าค่ะ ใช้วิธีนั้นเถอะ” ราวกับอ่านใจได้ อินุจิโยะเป็นฝ่ายเสนอออกมาเอง กิลเลนยังลังเลแต่เสียงของบูลเบนที่วิ่งจี้เข้ามาทำให้เขาต้องรีบตัดสินใจ
“กลับมาให้ได้นะ” กิลเลนพูดทิ้งท้าย เขาพยักหน้าให้เป็นสัญญาณเริ่มแผนการทันที
“เจ้าค่ะ” อินุจิโยะตะเบ๊ะให้ก่อนที่จะเลือนหายไป กิลเลนลงมือตามที่เคยซักซ้อมเอาไว้ เขากดที่หน้าจอของโฮเวอร์ไบค์เพื่อปลอยม่านควันออกมา ข้างตัวรถถูกสั่งการให้เปิดออก รูเล็ก ๆ ที่เป็นช่องสำหรับปล่อยควันนับสิบทำหน้าที่ของมันได้อย่างดี ควันสีเทาถูกพ่นออกรอบตัวรถ เขารู้ดีว่าควันแค่นี้ไม่สามารถทำให้เขาหนีจากบูลเบนได้
แต่ว่านี่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น...
โดรนที่อยู่กลางหลังของบากะอินุแยกตัวออกมา มันลอยสูงขึ้นและวิ่งขนานไปกับโฮเวอร์ไบค์ที่เริ่มลดความเร็วลง
เมื่อควันจางลงภาพที่เห็นก็ทำให้บูลเบนถึงกับเผลอชะลอฝีเท้าลง มันเห็นรถจากหนึ่งกลายเป็นสอง รถที่เหมือนกันแทบไม่มีผิดเพี้ยนทั้งขนาด สี และรูปร่าง รวมไปถึงผู้ขับขี่และสุนัขที่เป็นผู้โดยสารทำให้บลูเบนต้องยืนนิ่ง
โดรนของบากะอินุว่าไปก็เหมือนกับสมองของอินุจิโยะนั่นเอง ตอนนี้มันแยกตัวออกไปและสร้างภาพโฮโลแกรมของรถทั้งคันตามแผนการที่วางเอาไว้ ถ้าบูลเบนช่างสังเกตสักหน่อยมันจะรู้ว่ารถสองคันนี้มีสิ่งหนึ่งที่แตกต่าง คันหนึ่งสุนัขที่นั่งมาด้วยมีโดรนเกาะติดอยู่บนชุดของมัน ในขณะที่รถของจริงไม่มี
จากนั้นรถสองคันก็วิ่งแยกกันไปคนละทาง มันชะงักเพราะตัดสินใจไม่ถูกว่าจะวิ่งตามไปทางไหน เจ้าแวนเดียร์ที่กิลเลนคิดว่าไม่น่าฉลาดนักมองซ้ายทีขวาทีราวกับกำลังพิจารณาเส้นทาง
‘...อย่ามาทางนี้นะเฟ้ย…’ กิลเลนได้แต่ภาวนา ตาของเขายังไม่ละจากมอนิเตอร์ที่ฉายภาพของมันห่างออกไปเรื่อย ๆ รอยยิ้มเริ่มฉายขึ้นบนใบหน้าเมื่อเห็นว่าบลูเบนชะงักอยู่ตรงนั้น ระยะห่างที่กำลังเพิ่มมากขึ้นทำให้กิลเลนคิดว่าแผนการนี้ได้ผลเกินคาด
แล้วเรื่องประหลาดก็เกิดขึ้น ร่างที่ค่อย ๆ ห่างออกไปออกวิ่งอีกครั้งพร้อมกับสิ่งที่คล้ายกับภาพซ้อน กิลเลนเห็นแล้วคิดว่าจอภาพเสีย เขาเกือบจะทุบมันเผื่อว่าจะดีขึ้น แต่ก่อนที่กำปั้นของเขาจะฟาดลงไปที่จอมอนิเตอร์ ภาพจากมันก็ทำให้กิลเลนต้องหยุดมือไว้แต่เพียงแค่นั้น
บลูเบนแยกออกเป็นสอง… ตัวหนึ่งวิ่งตามโดรนของอินุจิโยะที่วิ่งไปอีกทาง และอีกตัวกำลังพุ่งตรงมาทางเขา
...แวนดิริตี แยกร่าง…
“อย่ามัวแต่เหม่อ มันวิ่งตามมาแล้ว” อคาลาตะโกนเรียกสติกิลเลนที่ตอนนี้รู้สึกขนลุกไปทั้งตัว กิลเลนเหงื่อตก เขาบิดคันเร่งพุ่งออกไป
“ที่ผ่านมามันไม่ได้มีหลายตัวหรือว่าเคลื่อนที่ในพริบตาได้ มันมีตัวเดียวมาตลอด ที่แพทริคฆ่าไปก็น่าจะเป็นแค่ร่างแยกของมัน…” กิลเลนหน้าซีด
“ชิบห...ยแล้วไง!”