บทที่ 11 มีดเสียง (3)
บทที่ 11 มีดเสียง (3)
ดิยาร์รากล่าวอย่างเดือดดาลว่า “ลูเฟเต้ เจ้าอย่าให้มันมากเกินไป อย่าลืมว่าตอนแรกเจ้าเดินออกไปจากที่นี่เอง”
คนที่ถูกเรียกว่าลูเฟเต้ก็คือปรมาจารย์เวทระดับน้ำเงินคนนั้น ดูไปแล้วอายุน่าจะสักห้าสิบหกสิบปี รูปร่างไม่สูง ทว่าพลังอำนาจน่าเกรงขาม สัญลักษณ์เปลวไฟบนหน้าอกแสดงตัวตนว่าเขาคือปรมาจารย์เวทอัคคี สองมือไพล่ไปด้านหลัง สีหน้าหยิ่งยโส กล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “ถูกต้อง ข้าเดินออกไปจากที่นี่เอง จนตอนนี้ข้าก็ยังดีใจที่ตอนแรกตัดสินใจออกจากที่นี่ ท่านดูเอาเองสิ ที่นี่ยังเหมือนสำนักงานใหญ่สมาคมเวทมนตร์ของประเทศอยู่อีกรึ? มีแต่พวกท่านสามคนเท่านั้นแหละ หลายปีขนาดนี้แล้ว ท่านยังผ่านระดับครามไม่ได้อีก เกรงว่าระดับครามขั้นสูงก็คงไปไม่ถึงหรอกมั้ง ดิยาร์รา อย่าดึงดันต่อไปอีกเลย ไปเบอร์บอนกับพวกเราเถอะ ใช้ประโยชน์จากราชวงศ์เบอร์บอนของพวกเราที่กระหายอยากได้นักเวทผู้เก่งกาจ ท่านจะต้องได้รับตำแหน่งสำคัญแน่นอน”
“ฟาร์เลนจงเจริญ ลูเฟเต้ เจ้าเป็นชาวอาร์คาเดียแท้ๆ นี่เจ้าลืมกำพืดตัวเองไปแล้วรึ?” เสียงของดิยาร์ราสั่นเครือเล็กน้อย ครั้งหนึ่งลูเฟเต้ตรงหน้าเคยเป็นนักเวทที่อนาคตไกลที่สุดของอาร์คาเดีย แต่ตอนนี้กลับเป็นตัวแทนของประเทศอื่นมายังอาร์คาเดีย
ลูเฟเต้หัวเราะเยาะ “ดูท่าท่านจะยังดื้อรั้นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน สมาคมพวกท่านยังมีนายกสมาคมที่ไม่เคยโผล่หน้ามาเลยไม่ใช่รึ? เรียกเขาออกมา ถ้าเขาสู้ชนะข้าได้ พวกเราจะไปทันที ถ้าไม่อย่างนั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”
ดิยาร์ราโกรธจัด “ลูเฟเต้ เจ้าอย่าลืมว่าที่นี่คืออาร์คาเดีย ไม่ใช่เบอร์บอนของพวกเจ้า เจ้าไม่เกรงใจแล้วจะทำไม?” ระหว่างที่พูดในใจก็อดเศร้าสลดไม่ได้ อาร์คาเดียในตอนนี้ตกต่ำถึงขั้นปล่อยให้คนอื่นมาระรานได้แล้วจริงๆ หรือ?
ลูเฟเต้กล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “คราวนี้พวกเราเป็นตัวแทนเบอร์บอนมาเจรจากับราชวงศ์อาร์เดีย อาศัยฐานะราชทูตของข้า ต่อให้ฆ่าพวกท่านสักสองสามคนเกรงว่าราชวงศ์อาร์คาเดียก็คงไม่กล้าทำอะไรหรอก หรือคนที่ได้ชื่อว่านายกสมาคมของพวกท่านเป็นพวกเต่าหัวหดรึ? ถึงไม่กล้ารับคำท้าของข้า?”
“ปู่ฉินไม่ใช่เต่า ข้าขอรับคำท้าของเจ้าแทนเขาเอง” ขณะที่ดิยาร์รากำลังเดือดดาลจนใกล้จะระเบิด น้ำเสียงแจ่มใสเสนาะหูก็ดังเข้ามาจากหน้าประตู คนที่พูดคือเย่อินจู๋นั่นเอง
เสียงที่ดังขึ้นกะทันหันเรียกให้นักเวททุกคนในห้องโถงหันไปมองทางประตูทันที อินจู๋ผู้หล่อเหลาและม่วงผู้สูงใหญ่แข็งแรงได้เดินเข้ามาแล้ว
ม่วงแค่ยืนอยู่ข้างๆ อินจู๋ เขาในตอนนี้ราวกับคืนสู่สภาพในตอนแรกที่ทะเลโพรงมรกต ไม่พูดแม้แต่คำเดียว
อินจู๋จ้องหน้าลูเฟเต้ด้วยสายตาโกรธเคือง ตั้งแต่เขาเกิดมาคนที่ติดต่อด้วยก็มีเพียงครอบครัวของตัวเอง ม่วง และฉินซาง ฉินซางดูแลเอาใจใส่และอบรมสั่งสอนเขาทุกสิ่งอย่าง ช่วงเวลาที่เขาและฉินซางอยู่ด้วยกันก็ยาวนานที่สุด ในความรู้สึกของอินจู๋ฉินซางกลายเป็นเหมือนญาติสนิทคนหนึ่งมาตั้งนานแล้ว ถึงแม้เขาจะไม่ค่อยเข้าใจว่าเต่าหัวหดหมายความว่าอะไร แต่ก็รู้ว่าไม่ใช่คำพูดที่ดี
ลูเฟเต้มองอินจู๋อย่างตกใจเล็กน้อย พอเจ้าหนุ่มน้อยรูปหล่อในชุดขาวคนนี้เข้าประตูมาก็ทำให้รู้สึกว่าเบื้องหน้าสว่างไสว โดยเฉพาะนัยน์ตาสีดำอันแจ่มใสคู่นั้นของเขา ยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกประทับใจอย่างลึกซึ้งได้ง่ายดายนัก
“ข้าฟังไม่ผิดใช่ไหม เจ้าจะขอท้าข้า?”
อินจู๋พยักหน้าอย่างจริงจังแล้วกล่าวว่า “ปู่ฉินไม่อยู่ ข้าขอรับคำท้าแทนเขาเอง”
“เจ้าหนุ่มน้อย เจ้าคือ?” ดิยาร์ราเอ่ยถามอินจู๋
อินจู๋เหลือบมองดิยาร์ราแวบหนึ่ง ยิ้มอย่างอ่อนโยน แต่ไม่ได้ตอบอะไร ทว่ากลับผลุบนั่งลงไปบนพื้น คุยสัพเพเหระอะไรเขาไม่รู้เรื่องทั้งนั้น ในใจของเขาตอนนี้มีเพียงความเดือดดาลต่อลูเฟเต้ ทำให้เขาไม่อาจเสียเวลาได้แม้แต่นิดเดียว
ท่ามกลางสายตาประหลาดใจเล็กน้อยของทุกคน พิณวสันตอัสนีสีน้ำตาลแดงได้ลอยปรากฏขึ้นบนตักของเขา
พิณวสันตอัสนี ยาวสามสิบเก้านิ้ว ไหล่กว้างเจ็ดนิ้ว หางกว้างสี่นิ้วครึ่ง สีน้ำตาลแดงอ่อน ลวดลายท้องงูคละลายสายน้ำบางละเอียด ด้านหลังเหนือช่องเสียงใหญ่สลักคำว่า ‘วสันตอัสนี’ ปุ่มพิณสิบสามปุ่มข้างใต้สายพิณเลี่ยมด้วยหยกขาว หนึ่งในห้าสุดยอดพิณของสำนักพิณ เสียงใสบริสุทธิ์และนุ่มนวล สำหรับนักเทวคีตแล้ว เครื่องดนตรีคือไม้เท้าวิเศษของเขา
“ข้าจะเริ่มล่ะ” มือซ้ายของอินจู๋ลอยค้างอยู่เหนือตัวพิณ มือขวาดึงสายพิณเบาๆ เปล่งเสียงดังหึ่งอันทุ้มลึกและราบเรียบมีพลัง รัศมีสีแดงเข้มแผ่ซ่านออกมา สายตาของอินจู๋จดจ่ออยู่บนสายพิณ เพียงแต่ชั่วขณะนั้นเอง สีหน้าโกรธแค้นของเขาก็เลือนหายไปอย่างสิ้นเชิง บุคลิกของชนชั้นสูงอันสง่างามเจือความรู้สึกเที่ยงตรงและอ่อนโยนปรากฏขึ้นอย่างเงียบๆ เรื่องน่าเสียดายก็คือขณะที่นักเวททั้งหกคนตรงหน้าเห็นรัศมีสีแดงเข้มที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวเขา กลับไม่ทันสังเกตุเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเขาแม้แต่น้อย
พลังเวทมตร์สีแดงเข้มหมายถึงอะไร? ก็แค่ระดับแดงที่ต่ำที่สุดเท่านั้นเอง ต่อให้เป็นระดับแดงขั้นสูงก็ยังเป็นแค่นักเวทธรรมดา ยังไม่ถึงขั้นนักเวทระดับกลางเลยด้วยซ้ำ ส่วนหกคนฝ่ายลูเฟเต้ อย่างน้อยก็ยังมีขั้นนักเวทระดับสูง ยิ่งกว่านั้นเจ้าหนุ่มน้อยรูปหล่อตรงหน้าดูเหมือนว่าจะเป็นนักเทวคีตด้วย พอมองรัศมีที่แผ่ออกจากตัวอินจู๋แล้ว พวกเขาก็อดหัวเราะเสียงดังลั่นขึ้นมาไม่ได้
“อ้อ เจ้านี่เอง ฟาร์เลนจงเจริญ” ดิยาร์ราเบิกตากว้างด้วยความตกใจ พอเขาเห็นสองมือแปดนิ้วของอินจู๋ก็เข้าใจทันทีว่าเด็กตรงหน้าคนนี้คือใคร ทว่ายังไม่ทันได้ห้ามปรามเขา เสียงพิณก็ดังขึ้นแล้ว
ขณะที่อินจู๋ทุ่มเทจิตวิญญาณลงบนสายพิณ เขาก็ลืมทุกสิ่งในโลกภายนอกไปแล้ว หรือจะเรียกว่าไม่สนใจทุกสิ่งในโลกภายนอกก็ได้ สายใจในหัวใจกับสายพิณบนตัวพิณหลอมรวมเข้าด้วยกัน ตอนนี้ในหัวของเขามีเพียงความอัศจรรย์ของนิ้วและสาย เสียงและจิต รูปและวิญญาณ คุณธรรมและศิลปะที่ฉินซางเคยสอนให้แก่เขา ก่อนเอ่ยพึมพำออกมาจากปากว่า “สารัตถะแห่งเสียงสอดคล้องความลุ่มลึกแห่งจิต”
ชั่วขณะนั้น ห้องโถงสมาคมก็สว่างไสว แสงสว่างเปล่งออกมาจากสองตำแหน่ง ตำแหน่งหนึ่งคือใจกลางห้องโถง ดาวเวทมนตร์หกแฉกสีเงินนั้น ส่วนอีกตำแหน่งก็คือสายพิณเจ็ดสายบนพิณวสันตอัสนีเหนือตักของอินจู๋ รัศมีสีเงินแผ่กระจายอย่างฉับพลัน เสียงของอินจู๋ประหนึ่งเปี่ยมล้นด้วยพลังเวทมนตร์มากมายนับไม่ถ้วน สายตาสบประมาทชะงักค้างทันที เสียงพิณอันทุ้มลึกนุ่มนวลและกังวานไม่รู้จบแผ่กระจายไปตามรัศมีสีแดงเข้ม ชั่วครู่เดียวก็กระจายไปทั่วห้องโถง
ท่วงทำนองเศร้าสลด ทว่าหนักแน่นมากขึ้น เพลง ‘ด่านสุริยันสามท่อน’ ที่อินจู๋เคยใช้บอกลาเหล่าเพื่อนฝูงสัตว์ป่าในป่าไผ่ก่อนหน้านี้นั่นเอง เมื่อใช้ความรู้สึกที่แตกต่าง พิณที่แตกต่าง ประสิทธิผลของเสียงพิณที่บรรเลงก็จะแตกต่างโดยสิ้นเชิง ตอนนี้ความเศร้าสลดแผ่วลง ความหนักแน่นเพิ่มขึ้น ชั่วพริบตาเดียวก็ทำให้หัวใจของทุกคนในที่นั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกอันหนักหน่วง แม้กระทั่งธาตุเวทมนตร์ในอากาศก็ได้รับผลกระทบ แปรเปลี่ยนเป็นเฉื่อยชาและหยุดนิ่ง
ลูเฟเต้ขมวดคิ้ว เขาตกใจเมื่อพบว่าเสียงพิณนั้นกลับทำให้เขาจิตใจฟุ้งซ่าน แม้กระทั่งความรู้สึกของตัวเองก็คล้ายกับถูกกระทบกระเทือนไปมา ในใจตื่นตระหนก คิดกับตัวเองว่าดูท่านักเทวคีตหนุ่มคนนี้จะไม่หมูขนาดนั้นเสียแล้ว น่าเสียดายที่ตอนนี้เขาไม่ได้หันหลังไปมองเพื่อนตัวเอง ถ้าเป็นอย่างนั้น เขาก็อาจจะเห็นความสำคัญของอินจู๋ที่อยู่ตรงหน้ามากกว่านี้ นักเวทระดับเขียวสองคนนั้นตอนนี้สายตาเหม่อลอยไปแล้ว ถึงขั้นว่าบนใบหน้ายังค้างท่าหัวเราะลั่นเมื่อครู่โดยไม่ขยับเขยื้อน ส่วนนักเวทระดับเหลืองสามคนนั้นมีสายตาหลงใหลยิ่งกว่า ร่างกายโงนเงนเล็กน้อยเหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าสูญเสียการควบคุมร่างกายไปแล้ว
นักเวทสายจิตวิญญาณยังมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือนักเวทมือสังหาร อยากร่ายมนต์ต่อหน้านักเวทสายจิตวิญญาณง่ายดายเสียที่ไหนกัน?
เสียงร่ายมนต์จากปากของลูเฟเต้เปล่งออกมาเพียงเสียงเดียวก็หยุดชะงักลงกะทันหัน เขาตกตะลึงเมื่อพบว่าพอตัวเองเริ่มอ้าปาก เสียงกลับถูกขัดจังหวะโดยเสียงพิณมหัศจรรย์นั้น การร่ายเวทมนตร์ต้องเชื่อมต่อกับธาตุเวทมนตร์ในอากาศผ่านทำนองเสียงพิเศษ ใช้พลังเวทมนตร์ของตนเองเพื่อปลดปล่อยพลังฟ้าดิน แต่ตอนนี้อย่าว่าแต่เชื่อมต่อธาตุเวทมนตร์เลย แม้กระทั่งร่ายมนต์ให้จบประโยคก็ยังไม่สามารถทำได้ ต่อให้เป็นลูเฟเต้ที่พลังจิตแกร่งกล้าอย่างยิ่งก็ยังอดตระหนกตกใจไม่ได้
……………………………………….