บทที่ 11 ตบหูฉาดเข้าให้
บทที่ 11 ตบหูฉาดเข้าให้
พอขึ้นไปข้างบนและเปิดประตูห้องๆ หนึ่ง หลิงม่อก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าในตึกนี้ไม่ได้มีแค่ซย่าน่าและหลิวอวี่หาวอาศัยอยู่กันสองคนเท่านั้น
หญิงชายนับสิบกว่าคนต่างพร้อมใจกันมองมาที่ประตู หลังจากกวาดตามองคร่าวๆ ทั้งหมดล้วนเป็นวัยรุ่นที่อายุยังไม่เกินยี่สิบ เด็กหญิงสวมชุดนักเรียนชั้นมัธยมคนหนึ่งเดินเข้ามาหาด้วยความตื่นเต้นดีใจทันทีที่ได้ยินเสียงเปิดประตู “พี่สาว พวกพี่กลับมาแล้ว!”
“เอ๊ะ พากลับมาอีกสองคนเหรอ” เด็กหญิงชั้นมัธยมมองข้ามไหล่ซย่าน่าไปยังเย่เลี่ยนและหลิงม่อพลางถามขึ้นมาเรื่อยเปื่อย จากนั้นก็เบนความสนใจไปที่กระเป๋าเป้ของหลิวอวี่หาว “วันนี้เป็นยังไงบ้างคะ”
“โอเคเลย! เมื่อกี้ไปกวาดข้าวของในซุปเปอร์มาร์เกตที่ถนนสายใต้ ยังมีอีกหลายอย่างที่ไม่ได้เอากลับมา แต่ซ่อนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้วค่อยกลับไปเอา” หลิวอวี่หาวยิ้มอย่างภูมิอกภูมิใจ แต่ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่พวกเขาตกอยู่ในอันตรายจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดเลยแม้แต่น้อย
“จริงสิ มีสองคนจะแนะนำให้พวกเธอรู้จัก คนนี้คือ...ขอโทษทีพี่ชาย ลืมถามไปว่าพี่ชื่ออะไร...”
เมื่อครู่หลิวอวี่หาวเอ่ยเสียงคึกคัก แต่แล้วก็พลันชะงักงันด้วยความกระดากอาย
“ฉันหลิงม่อ ส่วนคนนี้แฟนฉัน ชื่อเย่เลี่ยน” หลิงม่อลอบถอนหายใจก่อนจะพูดแนะนำตัวเอง
“ฮ่าๆๆ ที่แท้ก็พี่หลิงนี่เอง!” เพียงพริบตาเดียวสีหน้าหลิวอวี่หาวก็กลับมาเป็นปกติ จากนั้นโอบบ่าหลิงม่อและดันเขาให้เดินไปตรงกลางห้องรับแขก “ทุกคนฟังทางนี้ วันนี้พี่ชายคนนี้ช่วยพวกเราไว้มากทีเดียว เราจึงตัดสินใจที่จะเลี้ยงข้าวเลี้ยงเหล้าเขา!”
บรรดาหนุ่มสาวกลุ่มนี้บ้างก็นั่งบนโซฟา บ้างก็นั่งบนพื้นของห้องรับแขก พวกเขาไม่ได้สนใจกับการปรากฏตัวของหลิงม่อและเย่เลี่ยนเป็นพิเศษ แต่พอได้ยินที่หลิวอวี่หาวพูด ทุกคนต่างก็หันมามองหลิงม่อด้วยความประหลาดใจ
ชายหนุ่มที่เอนกายนอนอยู่ที่โซฟาลุกพรวดขึ้นนั่งทันที แล้วมองพิจารณาหลิงม่อตั้งแต่หัวจดเท้าด้วยแววตาสงสัย “เป็นไปได้ยังไง มีซย่าน่าอยู่ทั้งคน เขายังต้องช่วยอะไรอีก”
“นั่นน่ะสิ มีพี่ซย่าน่าอยู่แล้ว เป็นไปได้ยังไงที่ต้องการความช่วยเหลือจากคนนอก” อีกคนหนึ่งก็ร่วมพูดจาผสมโรงด้วย แถมยังเน้นหนักที่คำว่า ‘คนนอก’ เป็นพิเศษ
แต่แล้วเด็กหญิงชั้นมัธยมคนก่อนหน้านี้ก็เดินมา แล้วโบกไม้โบกมือพลางพูดว่า “ก็แค่กินข้าวมื้อเดียว พวกเธอไม่เห็นต้องทำแบบนี้เลยนี่นา”
“มาขอข้าวกินก็คือมาขอข้าวกิน ทำมาเป็นหาข้ออ้าง หลิวอวี่หาว นายก็เป็นคนดีเสียเหลือเกิน เดิมทีพวกเราก็ไม่พอกินกันอยู่แล้ว” ชายหนุ่มที่เอ่ยปากซักถามเป็นคนแรกทำเสียงฮึดฮัดพลางพูด
สีหน้าของหลิวอวี่หาวเกิดความกระดากอายขึ้นอีกครั้ง เขาแอบเหลือบมองหลิงม่อ แต่กลับพบว่าคำพูดเหน็บแนมพวกนี้ไม่ได้ทำให้หลิงม่อมีปฏิกิริยาเท่าใดนัก
“ที่ฉันพูดเป็นความจริงทั้งนั้น พวกนายจะไปรู้อะไร เวลาต่อสู้ขึ้นมา ซย่าน่าก็จะลืมตัว ไม่สนใจสถานการณ์รอบข้าง...” เห็นได้ชัดว่าหลิวอวี่หาวไม่ค่อยรู้วิธีรับมือสถานการณ์ทำนองนี้สักเท่าไร ถึงแม้เขาจะพยายามอธิบาย แต่หนุ่มสาวกลุ่มนี้กลับล้วนแล้วแต่แสดงสีหน้าเคลือบแคลงสงสัย
เวลานี้เองซย่าน่าก็จูงเย่เลี่ยนเดินเข้ามา แต่ดูเหมือนว่าเธอไม่มีท่าทีจะช่วยอธิบายแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้าม เธอกลับมองไปทางหลิงม่อด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ย สายตาของเธอเหมือนกำลังพูดว่า ดูซิว่านายจะจัดการกับสถานการณ์นี้อย่างไร
เจ้าคิดเจ้าแค้น! สาวน้อยคนนี้แค้นฝังหุ่นเสียเหลือเกิน!
เห็นได้ชัดว่าแม้ก่อนหน้านี้เธอจะลดศักดิ์ศรีตัวเองลง แต่ก็ยังไม่ลืมเรื่องที่ถูกหลิงม่อพูดขัดคอ
ทว่าเธอคิดผิดไปถนัด สำหรับพวกมอดที่เอาแต่รอชุบมือเปิบ อีกทั้งต่อต้านคนนอกสุดขีดเหล่านี้ หลิงม่อไม่สนใจที่จะต่อล้อต่อเถียงด้วย เขาแค่ยิ้มเยาะเล็กน้อย แล้วหันไปจูงมือของเย่เลี่ยนและเดินออกไป “ขอโทษที ฉันไม่ได้คิดจะมาขอข้าวกินฟรี เชิญกินข้าวกันตามสบาย”
“โธ่เอ๊ย! ยังจะอวดดี!”
ซย่าน่าและหลิวอวี่หาวต่างก็ตะลึงงัน ส่วนชายหนุ่มที่เอ่ยปากเมื่อครู่ก็สีหน้าดูไม่ได้อยู่พักหนึ่ง เพราะรู้สึกถูกหักหน้าต่อหน้าทุกคน จึงพูดเยาะเย้ยถากถางว่า “คนแบบนี้ยังจะพาผู้หญิงมาด้วย ดูแลเขาไหวเหรอ มีข้าวให้กินก็ดีถมเถแล้ว ยังจะทำเป็นหยิ่งยโส...”
เหลืออดเหลือทนแล้ว! คิดว่าเขามาขอกินขอดื่มฟรี กังวลว่าอาหารของตัวเองจะร่อยหรอ ก็เลยพูดจาเสียดสีเหน็บแนม อันนี้ไม่เป็นไร แต่คนเขาเตรียมจะจากไปแล้ว ยังจะพูดจาดูหมิ่นดูแคลนกันสารพัดอีก เห็นฉันเป็นก้อนดินน้ำมันเหรอยังไง!
หลิงม่อหรี่ตาลง แล้วพุ่งไปอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มคนนั้นแทบจะภายในพริบตาเดียว ในระหว่างนี้ซย่าน่าเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นความมุ่งหมายของหลิงม่อ แต่วินาทีที่เธอยื่นมือห้ามปราม หลิงม่อก็วิ่งแฉลบผ่านตัวเธอไปเสียแล้ว ตอนนี้เองซย่าน่าถึงได้รู้ตัวอย่างแท้จริงว่า ถึงแม้ตัวเองจะรวดเร็วว่องไว แต่ความฉับไวในการตอบสนองทางประสาทนั้นกลับเทียบชายหนุ่มที่ดูธรรมดาคนนี้ไม่ได้เลยสักนิด
ระหว่างที่เธอยื่นมือออกไป ก็ดูเหมือนว่าหลิงม่อมองการกระทำของเธอออก จึงเบี่ยงตัวหลบเลี่ยงขณะที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงจะแฉลบผ่านเธอไปเท่านั้น เขายังไปปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มคนนั้นโดยไม่เฉื่อยชาแม้แต่น้อย
ชายหนุ่มแค่รู้สึกว่าตรงหน้าดำมืด ต่อจากนั้นก็รู้สึกว่าถูกคว้าจับคอเสื้อ แล้วสองเท้าก็ลอยขึ้นจากพื้นทันที
“ไอ้บ้าเอ้ย...”
“เพียะ!”
เสียงตบหูฉาดดังชัดกังวานไปทั่ว จนทำให้ทุกคนในห้องต่างตะลึงงันกันหมด
“นี่เรียกว่าตบฉาด ถ้ายังขืนพูดไม่เข้าหูฉันอีกล่ะก็ ฉันจะฟาดให้อีกที” สายตาเย็นเยียบของหลิงม่อ ทำให้ชายหนุ่มที่แก้มบวมแดงไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงร้องออกมา
อับอาย โกรธแค้น แต่กลับไม่กล้าต่อสู้ขัดขืน และไม่กล้าแม้กระทั่งพูดย้อนตอบ เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงความหนาวยะเยือกที่ไร้ซึ่งการปิดซ่อนในแววตาของหลิงม่อ นอกจากนี้แค่ฝีมือของอีกฝ่าย เขาก็รู้แล้วว่านี่ไม่ใช่ท่าทางแกล้งข่มขู่
“ซย่าน่า!”
ชายหนุ่มตะโกนเรียกเสียงอู้อี้ แม้เขาจะทำหน้าตาบูดบึ้ง ไม่อยากให้คนอื่นมองออกว่าเขาเกรงกลัวหลิงม่อ แต่ทว่าสายตาตื่นกลัวได้บ่งบอกหมดทุกอย่างแล้ว
การกระทำอันไร้ซึ่งความปราณีของหลิงม่อสร้างความตื่นตกใจให้กับทุกคนรวมถึงซย่าน่าด้วย ถึงแม้ดวงตาของซย่าน่าจะฉายแววเอือมระอาเล็กน้อยตอนที่ได้ยินเสียงร้องเรียกของชายหนุ่ม แต่เธอก็ยังคงเดินเข้าไปบอกว่า “หลิงม่อ ปล่อยเขาเถอะนะ”
“ขอโทษด้วย” แต่หลิงม่อกลับตอบเสียงเย็นชา
ซย่าน่าขมวดคิ้ว “ไหนๆ นายก็ตบเขาไปแล้ว...”
“มันคนละเรื่องกัน ขอโทษด้วย”
“กล้าดียังไง!” ชายหนุ่มเพิ่งจะอ้าปากพูด ก็ได้ยินเสียงดัง “เพียะ” โดนตบหน้าฉาดอย่างแรงอีกที
ซย่าน่ามองหลิงม่อด้วยสีหน้าสับสน แล้วหันไปมองชายหนุ่มที่บัดนี้แก้มบวมเป่งทั้งสองข้าง “ลู่ซิน พูดขอโทษเขาซะ ใครใช้ให้นายปากเสียละ”
“ฉัน...” เดิมทีคาดหวังว่าซย่าน่าจะช่วยออกหน้าให้ตนเองได้ คิดไม่ถึงว่าจะโดนเข้าอีกฉาด ทุกคนในห้องต่างกำลังมองมาที่เขา สายตาแต่ละคู่เปรียบเสมือนเข็มที่ทิ่มแทงบนตัวเขา ส่วนสีหน้าของลู่ซินนั้นเหมือนกับกลืนแมลงวันเข้าไป ในใจยิ่งเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
‘การที่ฉันก้าวออกมาก็เพื่อที่ทุกคนจะได้กินมากขึ้นอีกหน่อย! นึกไม่ถึงว่าจะมาว่าฉันปากเสีย เห็นฉันโดนตบก็ไม่มีใครลุกขึ้นมาช่วย!’
แต่ภายใต้การจับจ้องของหลิงม่อ ลู่ซินจึงได้แต่กลืนคำพูดเหล่านี้ลงท้อง แล้วเค้นคำพูดออกมาจากซอกฟันว่า “ฉันขอโทษ”
ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกจากปาก เขาก็รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว ราวกับว่าโดนหลิงม่อตบทีเดียวสิบฉาดรวด
หลิงม่อแค่นเสียงเย็นชาความรังเกียจ แล้วโยนลู่ซินลงไปกองกับพื้น จากนั้นจูงเย่เลี่ยนเดินออกไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“เดี๋ยวก่อน!”
หลิวอวี่หาวเพิ่งจะแสดงปฏิกิริยาโต้ตอบออกมา เขารีบวิ่งตามไป หยิบเบียร์สองกระป๋องกับช็อกโกแลตสามสี่ห่อจากในกระเป๋าเป้แล้วยัดใส่ในมือหลิงม่อ สีหน้าเปี่ยมด้วยความเสียใจ “ขอโทษด้วยครับ ขอโทษจริงๆ...”
“พวกนั้นเป็นคนประเภทไหนกัน ถึงได้อาศัยนายกับซย่าน่าให้ไปหาอาหาร” แม้ว่าหลิวอวี่หาวจะหาเรื่องให้ตนไปทีหนึ่ง แต่หลิงม่อก็ไม่ได้รู้สึกไม่พอใจอะไรเขา จึงอดที่จะเอ่ยถามไม่ได้
“เป็นเพื่อนๆ กันทั้งนั้น...พวกเราเรียนที่โรงเรียนประจำเดียวกัน” หลิวอวี่หาวส่ายหน้าอย่างจนใจ “เจ้าลู่ซินคนเมื่อกี้น่ะ ครอบครัวมีฐานะร่ำรวย ปกติก็เลยหยิ่งยโสจนเป็นนิสัย พี่อย่าไปถือสาเขาเลยนะ อีกอย่างหนึ่ง ถึงให้พวกเขาออกไปหาอาหาร ก็รังแต่จะเพิ่มปัญหาให้กับเราเท่านั้นละ พี่ก็เห็นแล้วนี่ว่าในบรรดาพวกเรา ซย่าน่าเก่งที่สุด เดิมทีผมยังหวังว่าพี่จะเข้าร่วมกับพวกเรา...”
“ฉันไม่เลี้ยงดูมอด ไม่มีแรงกำลังที่จะทำ” หลิงม่อพูดตัดบทหลิวอวี่หาวทันที
“อย่างนั้นเหรอ...ยังไงวันนี้ก็ขอบคุณพี่...”
หลิวอวี่หาวยังพูดไม่ทันจบ ซย่าน่าก็ตามมาสมทบ
เธอมองหลิงม่ออย่างลึกล้ำ แล้วส่งสายตาเห็นใจไปยังเย่เลี่ยน ในที่สุดก็พูดออกมาเบาๆ ว่า “ใกล้จะมืดแล้ว พักที่นี่สักคืนเถอะ ถึงนายจะทนได้ แต่พี่สาวก็คงทนไม่ไหวหรอก... เจ้าลู่ซินนั่น นายไม่ต้องไปสนใจ เขาไม่กล้าหาเรื่องนายแล้วละ”
น้ำเสียงของซย่าน่าฟังดูจริงใจมาก แต่หลิงม่อไม่ได้คิดจะพักอยู่กับผู้คนเหล่านี้ต่อจริงๆ “ไม่ต้องหรอก ยังไงในเมืองก็หาที่พักได้อยู่แล้ว”
“อย่าเพิ่งไป!” หลิงม่อเพิ่งจะหมุนตัว ก็รู้สึกเหมือนถูกดึงแขนเสื้อไว้ พอหันกลับมามองก็เป็นซย่าน่านี่เอง
พอเห็นหลิงม่อส่งสายตาเชิงไต่ถามให้กับตน ซย่าน่าก็แสดงสีหน้าเขินอายเล็กน้อย จนกระทั่งหลิงม่อเกิดอาการหงุดหงิด เธอถึงได้เอ่ยปากราวกับได้ตัดสินใจเรื่องสำคัญ “ฉันเห็นว่านายเก่งกาจทีเดียว แถมยังไม่เกรงกลัวอะไร ก็เลยอยากขอให้นายช่วยหน่อย!”
.......................................................................