ตอนที่ 27 เจ้าหญิงเฌอรีน
ตอนที่ 27 เจ้าหญิงเฌอรีน
นาฬิกาซึ่งบอกเวลาตีสี่ที่คาเรมกับความว่างเปล่า คือสภาพของห้องพักที่เฮคเตอร์หอบร่างกายอันเหน็ดเหนื่อยกลับมาเจอ ไม่มีเสียงกุกกักดังจากในครัว โต๊ะอาหารไม่มีของกินวางไว้ตลอดเหมือนในช่วงที่ผ่านมา ในห้องนอนก็ปราศจากร่างกายเล็กๆ ที่ชอบนอนขดกอดตุ๊กตาหมีอยู่มุมขวาของเตียง
คืนนี้โซอีคงนอนอยู่ที่บ้านของเคนเซย์ แม้โดยปกติพวกเขาจะไม่ค่อยได้ทำกิจกรรมอะไรที่เสียงดังเอะอะ แต่เมื่อต้องกลับมาอยู่คนเดียวแบบนี้มันก็ดูเงียบจนรู้สึกผิดปกติขึ้นมาจริงๆ
...ป่านนี้โซอีคงนอนหลับไปแล้ว ไปอยู่แปลกที่แปลกทางเธอก็คงจะรักษามารยาทเป็นอย่างดี อันที่จริงก็คงไม่มีอะไรให้น่าห่วงเกี่ยวกับความประพฤติมากนัก เพราะลองนึกย้อนหลังแล้ว ดูเหมือนโซอีจะทำตัวร้ายกาจเฉพาะกับเขาเท่านั้นแหละ
ชายหนุ่มหลุดขำเมื่อนึกภาพปากริมฝีปากเล็กๆ นั่นพ่นคำพูดชวนอึ้งอะไรสักอย่าง พร้อมกับสายตาสีหน้าเอือมระอาที่มองมาราวกับจะสั่งประหารเป็นการลงโทษ
เจ้าของห้องทิ้งตัวลงบนโซฟาตัวยาว สมัยอยู่คนเดียวก็มีบ่อยครั้งที่เขาผล็อยหลับตรงนี้ไปจนสว่าง และดูอาการแล้ววันนี้ก็คงจะไม่ต่างกัน แม้ว่าภารกิจที่นิวยอร์กจะยังไม่เสร็จดีนัก แต่เพราะพรุ่งนี้มีกำหนดการสำคัญที่ต้องเข้าพบเจ้าหญิงเฌอรีน เขา ชาเกล และหัวหน้าจึงต้องกลับมาที่คาเรมก่อนนั่นเอง
หกในสิบส่วนของคาเรมคืออาณาเขตของป่าซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ กินพื้นที่ลงมาจนถึงตอนกลางของเกาะเล็กน้อย พื้นที่ของตัวเมืองแบ่งออกเป็นสามเขตใหญ่ คือคาเรมเขตเหนือ เขตกลาง และเขตใต้ ในอดีตที่การคมนาคมยังไม่เจริญรุ่งเรืองอาจทำให้ทั้งสามเขตมีความห่างไกลกันอยู่บ้าง แต่ทุกวันนี้เขตตัวเมืองของทุกพื้นที่ล้วนเชื่อมติดกันไปหมดแล้ว
ทางตอนเหนือคือที่ปักหลักของตระกูลชามันด์ ในขณะที่ทางตอนใต้มีอิทธิพลของตระกูลยูคิฮารุปกคลุมอยู่ กองปราบวิญญาณนั้นถูกสร้างขึ้นในเขตป่าสงวนของคาเรมเพื่อให้ไม่เป็นที่เตะตากับโลกภายนอก และพระราชวังก็ตั้งตระหง่านอยู่ปากทางเข้าเขตป่าสงวนของเขตกลางนั่นเอง
หลังถูกตรวจค้นอาวุธอย่างละเอียด ตัวแทนทั้งสี่ของหน่วยเคซีโร่ซึ่งขาดเพียงเคนเซย์ ก็ถูกเชิญให้เข้าไปนั่งรอที่ห้องรับรองของคฤหาสน์หลังหนึ่งภายในเขตพระราชฐานฝ่ายใน
เมื่อมีเจ้าหน้าที่เข้ามาแนะนำระเบียบการปฏิบัติตัวแล้ว ไม่นานหลังจากนั้นหญิงสาวสูงศักดิ์ที่ขอเข้าพบก็ได้ปรากฏตัว
ชายหนุ่มทั้งสี่ลุกขึ้นยืนต้อนรับหญิงสาววัยยี่สิบรูปร่างสูงเพรียว เรือนดำสีดำเงางามนั้นยังดูเปียกชื้น ดวงตาสีน้ำทะเลนั้นหวานหยดเปล่งประกายน่าดึงดูดเป็นอย่างยิ่ง ทว่า...สิ่งที่ทำให้อึ้งยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด คือการแต่งกายในสภาพชุดคลุมอาบน้ำสีแดงสดราวกับเพิ่งอาบน้ำเสร็จ แล้วเดินออกมาทั้งอย่างนั้นโดยไม่แยแสอะไร
เจ้าหญิงพระองค์เล็กแห่งคาเรมเดินลงมานั่งลงที่โซฟายาวลวดลายดอกไม้สีขาวฟ้า ยกขาขึ้นไขว่ห้างอย่างไม่สนใจอะไร ยกแขนกอดอกไว้ด้วยสีหน้าบึ้งตึง และมีบอดีการ์ดในชุดสูทสีดำสองคน เป็นชายหนึ่งกับหญิงหนึ่งยื่นประกบอยู่ที่ด้านหลังของโซฟาสองด้าน
โซฟาตัวยาวฝั่งตรงข้ามมีฟอแกนด์กับเอ็ดเวิร์ดนั่งอยู่ ชาเกลกับเฮคเตอร์นั่งอยู่บนโซฟาเดี่ยวคนละตัวทางด้านซ้ายและขวา
“ใช้คำสุภาพธรรมดา ไม่ต้องใช้คำราชาศัพท์แบบที่เจ้าหน้าที่ไดโนเสาร์บอกมาก็ได้ เราโตที่ต่างประเทศตั้งแต่เด็ก ไม่ชิน”
เจ้าหญิงบอกกล่าวออกมาก่อนในทันที ซึ่งนั่นทำให้เหล่าผู้มาเยือนโล่งอกขึ้นทันควัน
“ขอบคุณครับ ก่อนอื่นคงต้องขอแนะนำตัวก่อน ผมชื่อฟอแกนด์ เป็นหัวหน้าหน่วยเค…”
“รู้แล้ว” เจ้าหญิงเฌอรีนตัดบทฟอแกนด์อย่างไม่ใยดี “มาถามถึงเรื่องสามอาทิตย์ก่อนที่เราจะกลับมาทดสอบพลังใช่มั้ย เห็นว่ามีคดีสำคัญที่กำลังตามหาคนร้ายแล้วต้องการข้อมูล”
“เอ่อ...ใช่ครับ รบกวนเจ้าหญิงเล่าให้ฟังอย่างละเอียดด้วยนะครับ”
ยังคงเป็นฟอแกนด์ที่ตอบกลับ การสนทนาในวันนี้คงมีหัวหน้าและรองหัวหน้าเป็นแกนหลักในการพูดคุยเช่นเคย
“จะเล่าแค่รอบเดียวเท่านั้นห้ามมาถามซ้ำอีกนะ สามปีก่อนตอนนั้นเราอายุสิบเจ็ด ตอนที่จบไฮสกูลเราได้คบกับคนที่ชอบมานานพอดี เขาชื่อเจค หลังเสียความบริสุทธิ์ตอนมีอะไรกันครั้งแรกแล้วก็คงจะปะทุพลังวิญญาณขึ้นมา ตอนแรกก็ไม่รู้หรอกว่ามันคือพลังอะไร เพราะนอกจากตอนปะทุพลังที่รู้สึกเหมือนร่างกายระเบิดออกแล้วพักจนหาย จากนั้นมันก็ไม่มีอะไรผิดปกติเลย เสด็จพ่อโทรมาบอกให้กลับบ้านมาทดสอบพลัง แต่เราเพิ่งได้คบกับเจคก็เลยยังไม่อยากกลับ เพราะถ้ากลับคงอีกนานกว่าจะได้กลับไปที่อังกฤษอีก ก็เลยต่อรองเวลาจนได้เวลามาสามอาทิตย์ ระหว่างนั้นก็เกิดเหตุการณ์อะไรหลายอย่าง”
ทั้งห้องรับแขกเกิดความเงียบ ผู้มาเยือนเงียบรอให้เจ้าของบ้านเล่าต่ออีกเพราะกลัวจะไปพูดอะไรขึ้นขัด แต่ดูเหมือนเรื่องจะจบลงตรงนี้อย่างไรไม่ทราบ เมื่อเจ้าหญิงไม่มีทีท่าว่าจะพูดอะไรขึ้นมาต่อ
“...รบกวนเล่าตรงจุดที่ ‘ระหว่างนั้นมีเหตุการณ์หลายอย่าง’ แบบละเอียดได้มั้ยครับ” ฟอแกนด์ขอร้องขึ้นในที่สุด
“ต้องเล่าจริงๆ เหรอ...” น้ำเสียงของคนอิดออดส่อแววความงอแงขึ้นมา
“ทางเรามาเพื่อฟังเรื่องนี้ครับ” ฟอแกนด์ยืนยันอย่างหนักแน่น
เจ้าหญิงเฌอรีนถอนใจ เมื่อกวาดสายตามองทุกคนอีกครั้งก็เริ่มต่อรองอะไรบางอย่างขึ้น
“ให้เขาออกไปก่อนแล้วเราจะเล่าให้ฟัง”
ปลายนิ้วของเจ้าหญิงชี้ไปทางชาเกล ทุกคนมองตามไปทางนั้นด้วยสีหน้างุนงงรวมถึงคนที่ถูกระบุตัว ในตอนแรกฟอแกนด์คิดจะถามว่ามีปัญหาอะไร แต่เมื่อสังเกตเห็นสีหน้าเขินประหลาดๆ ของเจ้าหญิงคนสวยแล้ว เขาก็ตัดสินใจที่จะทำให้ทุกอย่างดำเนินไปต่อให้ได้เร็วที่สุด
“ชาเกล ออกไปรอข้างนอกก่อน”
“...ครับ ต้องขออภัยหากผมทำอะไรให้ไม่พอใจนะครับ”
ชาเกลทิ้งท้ายไว้ก่อนจะลุกออกไปอย่างงุนงง และเมื่อเสียงประตูปิดลงอีกครั้ง
“เขาชื่อชาเกลเหรอ เป็นคนประเทศอะไรดูไม่ออกเลย ได้ยินมาว่าบางทีก็มีนักปราบวิญญาณจากประเทศอื่นมาอยู่ที่คาเรมด้วย”
ดูจากอาการสีหน้าคำพูดของเจ้าหญิงแล้วไม่น่าใช่การไม่พอใจ แต่เป็นสนใจเสียมากกว่า
“สำหรับชาเกลมันค่อนข้างซับซ้อนน่ะครับ เขาไม่ใช่คนของโลกปัจจุบันของเรา ตอนอายุสิบสี่อยู่ดีๆ ก็โผล่มาที่กองปราบวิญญาณ ถามไปถามมาก็เหมือนจะมาจากโลกอื่น”
“หา! เป็นมนุษย์ต่างดาวเหรอ”
“อืม...ถ้ามนุษย์ต่างดาวหมายถึงมาจากดาวดวงอื่นก็ไม่น่าใช่ครับ มันน่าจะคล้ายกับโลกคู่ขนานของโลกเรามากกว่า ไหนๆ ก็คุยเรื่องเขาแล้ว รบกวนถามได้ไหมครับว่ามีปัญหาอะไรเกี่ยวกับเขารึเปล่าผมจะได้จัดการให้ถูก”
“อ้อ...เปล่า เขาแค่หล่อเกินไป จะให้มานั่งฟังเรื่องพวกนี้มันก็เขิน”
เจ้าหญิงเฌอรีนหยิบหมอนอิงขึ้นมากอดแก้เอียงอาย คำตอบที่ทำเอาผู้ฟังทั้งสามที่เหลือได้แต่ทำตาปริบๆ แทบกุมขมับในทันที
“ถ้าสะดวกใจขึ้นมาแล้ว รบกวนเจ้าหญิงเล่าต่อเลยมั้ยครับ”
“ก็ได้ๆ จะเล่าแล้ว หลังจากที่เราปะทุพลังขึ้นมา เสด็จพ่อก็โทรตามแต่เรายังไม่อยากกลับ แล้วพออาการดีขึ้นในเวลาไม่นาน ร่างกายมันก็ไม่ได้เป็นอะไรอีกก็เลยไม่กังวลอะไร ไม่รู้จะรีบไปทำไมด้วย เพราะไม่คิดจะไปทำงานปราบวิญญาณอยู่แล้ว เราเองก็ลองพยายามทำตามที่กองปราบวิญญาณโทรมาแนะนำในการทดสอบหรือดูแลตัวเองเบื้องต้นนะ แต่มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย เหมือนไม่มีพลังอะไรเลยด้วยซ้ำ ก็เลยคิดว่าคงจะเป็นแค่พลังเล็กๆ น้อยๆ อะไรที่ใช้การไม่ได้”
“แล้วเจ้าหญิงค้นพบว่าที่จริงมันคือพลังแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”หนนี้เป็นเอ็ดเวิร์ดที่ถามขึ้น
“แค่วันเดียวหลังจากนั้น ก็ไม่ได้แน่ใจทันทีหรอก พอพักผ่อนจนดีขึ้นคืนนั้นเราก็มีอะไรกับแฟนอีกครั้ง”
เฮคเตอร์ได้แต่ลอบถอนใจ นี่สินะ...ถึงได้ไม่อยากให้ชาเกลอยู่ฟัง คงเขินเพราะต้องเล่าอะไรพวกนี้ให้คนที่ถูกใจฟังนี่เอง
“พอเริ่มมีอะไรกันเจคก็มีท่าทางแปลกๆ ดิ้นทุรนทุรายเหมือนทรมานมากอยู่นาน เราไม่รู้นึกว่าเป็นอะไรก็เลยพาเขาไปส่งโรงพยาบาล แต่พอถึงโรงพยาบาลตรวจแล้วก็ไม่พบอะไรผิดปกติ ตอนแรกก็คิดว่าเป็นกรณีทางพลังวิญญาณรึเปล่า แต่โดยปกติแล้ว ถ้ามีคนปะทุพลังวิญญาณเจ้าหน้าที่กองปราบวิญญาณประเทศนั้นๆ จะหาทางติดต่อมาพาไปลงทะเบียนใช่มั้ยล่ะ ตอนเราปะทุพลังก็มีคนติดต่อมา พอรู้ว่าเป็นใครก็เลยโอนไปให้ทางคาเรมจัดการเอง แต่ตอนนั้นก็ไม่มีใครติดต่อเจคเข้ามาเลย”
...นี่คงเป็นจุดเริ่มต้นของผู้ใช้พลังวิญญาณนอกระบบตามที่พวกเขาสงสัยกันจริงๆ ฟอแกนด์รู้สึกว่าค้นพบหนทางสายหลักที่จะไปต่อได้แล้ว
“เราเองก็กังวลเรื่องของเจคเพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเขา สุดท้ายก็เลยเล่าเรื่องโลกวิญญาณพลังวิญญาณต่างๆ ให้ฟัง ที่จริงก็อยากโทรไปปรึกษาเสด็จพ่อ แต่พอลองมานึกว่าต้องเล่าให้ฟังว่าเขาเป็นแบบนั้นได้ยังไงน่าจะเกิดอะไรขึ้น แล้วต้องบอกว่าอาจจะเพราะมีอะไรกันมันก็เลยไม่อยากเล่าขึ้นมา”
แน่ล่ะ...มันก็ชวนให้ลูกสาวกระดากปากที่จะบอกพ่อจริงๆ นั่นแหละ ฟอแกนด์ได้แต่คิดในใจ
“หลังจากเจคอาการดีขึ้น เขาก็เป็นปกติดีทุกอย่างเหมือนเดิม ลองทดสอบเบื้องต้นตามคำแนะนำพื้นฐานแล้วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเหมือนกัน เจคบอกว่าจะกลับมาที่คาเรมด้วย เพื่อดูว่าร่างกายของเขาเป็นอะไรรึเปล่า จากนั้นเราก็ใช้ชีวิตกันปกติเหมือนเดิม มีอะไรกันเหมือนเดิม จนสองสามวันหลังจากนั้นเจคก็เริ่มรู้สึกว่าคนรอบตัวเขาผิดปกติ ทุกคนคุยกับเขาแปลกๆ เหมือนเวลาที่เจคถามอะไร ทุกคนที่คุยกับเขาจะพูดตามความจริงทุกอย่าง โกหกเขาไม่ได้เลย เขาลองมาทดสอบกับเราด้วยซึ่งสุดท้ายเราก็ยอมรับว่ามันน่าจะจริงแบบนั้น แต่เราก็ยังไม่รู้หรอกนะว่าพลังนั่นเกิดขึ้นจากเราเอง จนกระทั่ง...”
ยิ่งเล่า...น้ำเสียงของเจ้าหญิงก็ยิ่งซึมลงอย่างเห็นได้ชัด ฟอแกนด์คาดว่าเนื้อหาที่สำคัญจะต้องอยู่ต่อจากนี้ไปแน่ๆ
“หลายวันต่อมา เราออกไปเที่ยวแบบค้างคืนหลายวันที่ชายทะเลชื่อดังแห่งหนึ่ง อยู่ๆ เจคก็ชวนให้เราทดสอบอะไรบางอย่าง เขาซื้อไวน์ราคาแพงมาเทใส่แก้วแล้วให้เราบ้วนน้ำลายลงไป แล้วจะเอาไปให้ผู้ติดตามของเรากิน ให้คิดว่าแกล้งพวกผู้ติดตามที่คอยจุกจิกเรื่องหยุมหยิมก็ได้ หรืออีกทางหนึ่งก็เผื่อทดสอบพลังของเราด้วยว่า เจคได้พลังมาจากเราจริงหรือเปล่า แต่พวกเราบอกกับผู้ติดตามที่เป็นเมดรับใช้ผู้หญิงสองคน กับบอดีการ์ดอีกสองคนว่าพวกเราแข่งกันผสมเครื่องดื่ม อยากให้ช่วยตัดสินให้หน่อยว่าแก้วไหนอร่อยกว่า ทุกคนก็เลยยอมชิมให้แต่โดยดี จากนั้น…”
มือของเจ้าหญิงเฌอรีนกำหมอนอิงที่กอดไว้เข้าแน่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“ทุกคนดิ้นทุรนทุรายท่าทางทรมานเหมือนกับอาการของเจคในตอนนั้น จากนั้นก็มีสองคนที่ตาย สองคนที่รอดมาได้ เรามารู้เอาทีหลังตอนกลับมาที่คาเรมแล้วว่า คนธรรมดาที่ได้รับหรือได้กินอะไรก็ตามจากร่างกายของเราไป มันจะเข้าไปกระตุ้นการปะทุพลังวิญญาณเฉพาะสายพิเศษ คนที่ผ่านไปได้ก็จะรอด ใครที่ผ่านไปไม่ได้ก็จะตายทันที”
ห้องเงียบขึ้นมาชั่วขณะ ชายหนุ่มสามคนที่เหลืออยู่ได้แต่นิ่งเงียบไว้เพื่อให้เจ้าหญิงได้หยุดพักทำใจ นักปราบวิญญาณสายพิเศษเป็นสายพลังที่หายาก นี่เป็นการแลกเปลี่ยนที่มีความเสี่ยงสูงเกินไปจริงๆ ที่สำคัญคือจิตใจของเจ้าของพลังนี้ต่างหาก ว่าจะทนรับไหวต่อสิ่งนี้ได้หรือไม่ที่อาจต้องมีคนตายเพราะตัวเอง
คงเพราะแบบนี้เจ้าหญิงถึงได้ถูกกักบริเวณมาตลอดสามปี และเรื่องนี้ก็ถูกเก็บเงียบไม่ถูกพูดถึงแม้แต่กับหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงอย่างเคซีโร่ นี่ไม่ใช่เพื่อการคุมขัง แต่เพื่อการคุ้มครองที่ดีที่สุด เพื่อไม่ให้ข่าวรั่วไหลซึ่งอาจจะเกิดอันตรายได้ต่างๆ นานา และป้องกันไม่ให้เจ้าหญิงเผลอไปใช้พลังกับใครคนอื่นเข้าได้ง่ายๆ
“หลังจากที่เมดรับใช้หนึ่งคนกับบอดีการ์ดตายไปหนึ่งคน เราก็ประสาทเสียไปสักพักเลย เรากลับมาที่บ้านพักไม่อยากออกไปไหน ไม่อยากเจอใคร รอเวลาที่จะกลับคาเรมตามกำหนดการ เจคพยายามปลอบใจว่าไม่ใช่ความผิดของเรา เราไม่ได้ตั้งใจให้มีคนตายแบบนั้น เขากับอีกสองคนที่รอดซึ่งตกลงกันว่าจะกลับมาที่คาเรมด้วยกันแล้ว ก็เลยช่วยกันทำลายศพของสองคนที่ตายไป ที่จริงเราอยากกลับคาเรมตอนนั้นเลย แต่เจคยังต้องจัดการสะสางอะไรๆ ก่อนไปคาเรมเพราะเขาคิดว่าน่าจะใช้เวลานาน เขาเองก็เป็นลูกชายของคนตระกูลใหญ่โต โรงเรียนที่เราไปเรียนมีแต่คนระดับแบบนั้นทั้งนั้น เราเองก็ไม่อยากนั่งเครื่องบินกลับไปคนเดียวนานๆ โดยที่ไม่มีเขา เหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่วันแล้วด้วยก็เลยตัดสินใจรอกลับตามกำหนดการเดิม แต่ว่า…”
ดูเหมือนเรื่องราวจะยังไม่จบเพียงแค่นั้น และมันคงหนักหนาขึ้นอีกเมื่อเจ้าหญิงแทบจะซุกใบหน้าเข้ากับหมอนแล้ว แม้เสียงจะฟังดูอู้อี้มากขึ้น แต่ก็ยังพอจับใจความได้ไม่ยากนัก
“แต่สองวันก่อนกลับคาเรม เจคก็เกิดอุบัติเหตุรถชนตอนขากลับจากออกไปจัดการธุระทางบ้าน ถึงจะถูกส่งเข้าโรงพยาบาลแต่ก็ไม่ทันแล้ว เขาตายแล้ว”
แหล่งข่าวที่สำคัญซึ่งหายไปอย่างปุบปับ สร้างความตกใจให้ชายทั้งสามที่นั้งฟังอยู่ทีเดียว แต่ตรงนั้นแหละที่มันน่าสงสัยเหลือเกิน
“ตายจริงๆ ใช่มั้ยครับ” เฮคเตอร์เผลอหลุดปากถามความน่าข้องใจนี้ออกมา
“ก็ตายจริงน่ะสิ! ถามมาได้” เจ้าหญิงเฌอรีนถึงกับเงยหน้าขึ้นมาตวาดใส่เฮคเตอร์ในทันที
“ขออภัยด้วยครับที่เสียมารยาท” เฮคเตอร์รีบขอโทษกลับไป ก่อนจะเสียงานใหญ่เพราะความปากพล่อยของตัวเอง
“เจ้าหญิงก็เลยกลับมาที่คาเรมกับสองคนที่เหลือสินะครับ ใช่พวกเขาสองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังนี้รึเปล่า”
ฟอแกนด์รีบกลับเข้าเรื่อง ก่อนที่จะถูกปฏิเสธการให้ข้อมูลต่อไป
“เปล่า...พอเจคตาย วันต่อมา...อีกวันเดียวก่อนที่จะกลับคาเรม สองคนนั้นก็ถูกฆ่าตายเหมือนกัน”