ตอนที่ 27 วิญญาณปริศนา
ตอนที่ 27 วิญญาณปริศนา
เหอไป๋เทียนรู้สึกหงุดหงิดมาตั้งแต่เมื่อตอนสาย
ซ้ำความรู้สึกเหล่านั้นยังตกตะกอนไม่ยอมหายมาจนถึงเวลานี้ หงุดหงิดกับสิ่งที่ไม่รู้ว่าจะหงุดหงิดไปทำไม หงุดหงิดในเรื่องที่ไม่มีฝ่ายใดเลยที่จะทำอะไรผิด
ไม่ใช่หงุดหงิดหงเกอ...หงุดหงิดตัวเองนี่แหละ!
พอนึกได้แบบนั้นเขาก็รู้สึกผิดขึ้นมา รู้สึกผิดเสียจนนอนไม่หลับ แม้ว่าหงเกอจะบอกให้ตนนอนก่อนไม่ต้องรอก็เถอะ แต่หากยังว้าวุ่นใจเช่นนี้ เขาก็ไม่รู้ว่าจะข่มใจให้หลับลงได้ยังไงกัน
"เสี่ยวจู ข้าควรคุยกับหงเกอไปตรงๆ เลยดีไหมนะ?" เหอไป๋เทียนที่นอนเอาคางเกยพุงเสี่ยวจูอยู่ ๆ ก็เอาหน้าถูไกจนมันดิ้นดุ๊กดิ๊ก เจ้าหมูน้อยร้องอู๊ดๆ ออกมา สองขาหน้าไกววนให้วุ่นไปหมด คล้ายประท้วงเจ้าของ ซึ่งสิ่งที่มันทำนั้นดูตลกมากเสียจนเหอไป๋เทียนหลุดยิ้มออกมา
"เจ้าอ้วนเอ้ย..."
แต่แล้วเหอไป๋เทียนก็สะดุ้งเฮือกจนสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงสุนัขหอนร้องอย่างโหยหวนลอยตามลมมาตั้งแต่ปากทางเข้าจวบจนถึงหน้าโรงเตี๊ยม ไล่เลยไปจนถึงท้ายถนน เด็กชายทำหน้าเลิกลั่ก ในหัวย้อนถึงเรื่องเล่าที่เขามักเคยได้ยินพี่ชายเคยเล่าให้ฟัง
'มีคนเคยบอกพี่มาว่า หากสุนัขเห่าหอนรามราตรีนั้นเพราะว่าพวกมันได้พบกับวิญญาณคนตาย'
เขารู้ดีว่าวิญญาณเป็นเรื่องที่มีอยู่จริง เป็นเรื่องปกติที่พิสูจน์ได้ แต่พวกนั้นมันก็เดาทางไม่ออก รับมือได้ยาก กอปรกับสถานที่แห่งนี้เพิ่งเกิดคดีตายโหงนับหลายสิบศพ จะมีวิญญาณอาฆาตสภาพไม่น่ามองสุดๆ โผล่มาทักทายบ้างก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
ต่อให้เขาเคยเจอวิญญาตอาฆาตไร้รูปมาแล้วก็เถอะ แต่มันก็คนละสายพันธุ์กันนะ
เด็กชายกอดเสี่ยวจูแน่นเข้า ทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย หากได้พบกับวิญญาณโดยไร้ซึ่งผู้เชี่ยวชาญจากสกุลเสวี่ยอยู่ใกล้ ๆ มันคงกลายเป็นเรื่องกลืนไม่เข้าคายไม่ออกสำหรับเหอไป๋เทียนแน่
อีกอย่าง...หงเกอยังกลับมาไม่ถึงห้อง
เหอไป๋เทียนกัดฟัด ไล่ความรู้สึกขนหัวลุกออกไป อุ้มเสี่ยวจู ก้าวออกมาจากเตียงนอนเดินไปเปิดประตู ตั้งใจว่าจะลงไปรับหงเกอที่ยังกลับมาไม่ถึงห้อง ทว่า ด้วยเวลาในตอนนี้พ้นป้านเยว่ (เที่ยงคืน) มาแล้ว ไฟตามทางเดินโรงเตี๊ยมจึงริบรี่จนเกือบมืดสนิท มองทางอะไรก็ขมุกขมัว มืดไปเสียหมด
เดินลงบันไดไปพลาง เสียงไม้ลั่นเอี๊ยดอ๊าดผสมเสียงหอนก็พาให้ใจหวิวขึ้นมาอย่างประหลาด เหอไป๋เทียนมั่นใจว่าตัวเองไม่ใช่คนกลัวผี แต่ถ้าบรรยากาศมันไม่น่าพิศมัยขนาดนี้ ให้ใจกล้าแค่ไหนก็ต้องรู้สึกแขยงไม่มากก็น้อยแหละน่า
ไฟในโคมกระพริบถี่ มันหวิดจะดับไม่ดับอยู่รอมร่อ เหอไป๋เทียนเริ่มรู้สึกหนักใจขึ้นมาแล้ว สุดท้ายเขาจึงกลั้นใจ วิ่งลงไปรวดเดียวให้ออกจากโรงเตี๊ยมไปเลย
เมื่อออกมาได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เหอไป๋เทียนจึงค่อยๆ หยิบตะเกียงที่วางอยู่หน้าโรงเตี๊ยมติดไม้ติดมือเพื่อเป็นแสงสว่างในการช่วยนำทาง เขาเดินไปตามทางเดินไปเรื่อย บ้านเรือนต่างๆ ล้วนปิดเงียบเนื่องจากยังอยู่ในช่วงเวลาหลับพัก
แต่เสียงสุนัขเห่าหอนดังเช่นนี้ก็น่าจะตื่นกันบ้างสิขอรับ — เหอไป๋เทียนได้แต่คิดเช่นนั้น ด้วยน้ำตาที่ปริ่มจะตกในใจ
ทันใดนั้นเองเด็กชายก็ได้ยินถึงเสียงสวบสาบคล้างพุ่มไม้ไหวดังขึ้น ในทีแรกเขาก็นึกว่านั่นนอาจจะเป็นสุนัข ทว่าเสี่ยวจูในอ้อมแขนเขากลับมีท่าทีแปลก ๆ มันดูกระสับกระส่ายลุกลี้ลุกรนอยู่ไม่สุข เห็นแบบนั้นแล้ว เหอไป๋เทียนเลยได้แต่ชะงัก ละซึ่งทุกการกระทำ แล้วสับเท้าเดินให้เร็วเท่าที่จะเร็วได้
“เจ้า…”
เสียงหนึ่งซึ่งแว่วดังลอยตามลมเข้ามาในหู มันเป็นเสียงที่ทำให้เด็กชายต้องชะงัก หยุดด้วยความรู้สึกครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่าง แต่ครั้นที่พอหันไป มองซ้าย มองขวา หาต้นเสียงแล้ว เขากลับไม่ได้พบเจออะไรเลย
ทว่า...
ชั่วขณะหนึ่งนั้นหางตาของเด็กชายก็เห็นเงาร่างโปร่งแสงสีฟ้าใสผ่านสายตาไป...!!
นั้นยิ่งทำให้เหอไป๋เทียนชะงักไปทันที รีบออกตัว ออกเท้าวิ่ง ให้ไวที่จะทำได้
วิ่ง...
หลับหูหลับตาวิ่ง...
จนกระทั้งไปชนกับอะไรบางอย่างเข้าเต็มแรง เด็กชายเซล้มไปด้านหน้า ซบลงกับแผ่นอกของคนตัวสูงกว่าซึ่งอีกฝ่ายก็รับเขาเอาไว้ได้อย่างทันท่วงทีก่อนเหอไป๋เทียนจะล้ม พลันที่เด็กชายจะอ้าปากกล่าวคำขอโทษนั้น...
...ก็กลายเป็นว่าเขากอดคนที่เพิ่งโดนเขาชนคนนั้นแน่นกว่าเดิมนิดหน่อยด้วยความโล่งใจ
“ทำไมถึงยังไม่หลับไม่นอน”
คนๆ นั้น เสวี่ยหงเยว่นั่นเอง เขาลูบหลังปลอบเหอไป๋เทียนที่อยู่ ๆ ก็วิ่งมาเล็กน้อย ถึงจะตกใจไม่ใช่น้อยแต่ก็พอเข้าใจเหตุผลที่หลับหูหลับตาวิ่งมาได้ เพราะเขาเองก็วิ่งหนีเสียงหมาหอนเช่นกัน
“น้องมารอ...ตั้งใจว่าจะมารับพี่” เหอไป๋เทียนกล่าว แล้วเงยหน้าขึ้นมองนิดหน่อย
“กลับกันเถอะขอรับ”
ซึ่งสีหน้านั้นก็ทำให้เสวี่ยหงเยว่หลุดยิ้ม เขาถอนหายใจบางๆ เอาสันมือสับกลางหน้าผากเหอไป๋เทียนเบาๆ แทนการลงโทษที่ลุกออกมาจากที่นอนตอนดึกดื่น
แล้วพวกเขาทั้งคู่ก็เดินกลับไปยังโรงเตี๊ยมด้วยกัน พูดคุยกันตลอดทาง ลืมความหวาดกลัวซึ่งบรรยากาศขมุกขมัว ลืมความสงสัย ลืมความขุ่นเคืองใจที่มีเมื่อตอนกลางวันไปเสียสิ้น
โดยที่ไม่รู้ตัวเลยสักนิด...
ว่ามีเงาร่างโปร่งแสงกำลังเฝ้ามองดูการกระทำของคนทั้งคู่อยู่ โดยไม่คลาดสายตาไป
เขามองไม่เห็นอะไรเลย...
หมอกควันขมุกขมัวลงหนาจัด ทำให้เหอไป๋เทียนมองสิ่งรอบกายไม่เห็นเลยสักอย่าง ทางเดินเบื้องหน้ามีเพียงแค่ทางโล่งทอดยาวไม่เห็นจุดหมาย เด็กชายจึงไม่รู้ว่าตัวเองควรจะก้าวต่อไปในทิศใด ในเมื่อจะด้านหน้า ด้านข้าง หรือด้านหลัง ล้วนไร้ซึ่งจุดหมาย
ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่น พลันนั้นเองเขาก็ต้องชะงักไป เมื่อเห็นถึงร่างของชายคนหนึ่งซึ่งมีเส้นผมสีดำตัดตรงยาวจรดกลางหลัง แม้จะอยู่ห่างไกลเสียจนมองไม่เห็น หากแต่แผ่นหลังนั้นก็เป็นแผ่นหลังที่เขาแสนคุ้นเคย
“หงเก—” เหอไป๋เทียนยังไม่ทันพูดจบ ร่างของอีกฝ่ายเริ่มเดินตรงไปยังเส้นทางหนึ่ง เมื่อเห็นดังนั้นเด็กชายก็รีบเร่งฝีเท้าเดินตามให้ทันก่อนที่หงเกอนั้นจะทิ้งห่างไปไกลมากกว่านี้ หากแต่เขายิ่งเร่งฝีเท้าเดินไปเท่าไรก็ก้าวไปไม่ทัน ยิ่งก้าว ก็ยิ่งรู้สึกเท้ามันหนักขึ้นเรื่อย ๆ เด็กชายพยายามร้องเรียกอยากสุดเสียงหากแต่อีกฝ่ายก็ไม่หยุด
จนกระทั่งในที่สุดร่างของหงเกอผู้นั้นก็หยุดลงและเด็กชายก็เดินตามมาได้ทัน เหอไป๋เทียนคว้าข้อมือของอีกคนเอาไว้ ลมหายใจหนักๆ พ่นออกและสูดเข้าถี่ๆ อย่างคนเหนื่อยหอบ เขาก้มหน้าให้ตัวเองหายใจสักพักจึงเงยหน้าขึ้นไปหาคล้ายอยากจะพูดถามไถ่
ทว่าเด็กชายก็ชะงักไปดวงตาสีทองเบิกกว้างเล็กน้อย ตกใจเมื่อสิ่งที่เห็นตรงหน้านั้นไม่ใช่บุคคลที่เขารู้จัก ทั้งที่ใบหน้านั้น เป็นใบหน้าที่เขาคุ้นเคยดี แต่มันกลับมีอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่
ชั่วขณะนั้นเองที่ความตกใจเข้ามาครอบคลุมความคิด เหอไป๋เทียนรู้สึกวูบที่เท้า พื้นที่ตนเคยยืนนั้นหายไป ร่างของเขาค่อยๆ ร่วงหล่นถูกดึงลงไปเบื้องล่างราวกับสูบไปยังสถานที่ไร้ซึ่งจุดสิ้นสุด มือเอื้อมคว้าไปด้านหน้าแต่ไม่อาจคว้าอะไรได้เลยสักอย่าง สิ่งที่ทำได้ สิ่งที่รับรู้คือเขาได้สบกับดวงตาคู่สีแดงจากคนรู้จัก...ที่เขาไม่รู้สึกคุ้นเคย
สายตาคู่นั้นมีเพียงแค่ความเย็นชามอบให้เขาเท่านั้น
อีกทั้งยัง...
เส้นผม...
สีขาว...?
“หงเกอ!!” เหอไป๋เทียนร้องออกมาสุดเสียง ดวงตาสีทองตื่นขึ้นมาจากความฝัน มือข้างหนึ่งยกขึ้นสูง คล้ายกริยาการเอื้อมคว้านั้นติดมาด้วยในยาวตื่น เขาค่อยๆ ยันตัวขึ้นมา หอบหายใจอย่างหนัก
ฝัน...
เด็กชายเม้มปาก ในที่สุดเขาก็รู้ตัวเสียทีว่าที่เห็นอยู่นั่นไม่ใช่ความจริง เด็กชายมองไปรอบข้างก็ยังเห็นหงเกอนั้นนอนอยู่ที่เตียงข้างตน รอยยิ้มบางก็ปรากฏที่ริมฝีปาก เหอไป๋เทียนโล่งใจที่เห็นอีกฝ่ายยังคงอยู่กับตนไม่ได้เดินหนี หรือทำสายตาเย็นชาดังที่เห็นในฝัน
แม้จะไม่เข้าใจ...เหตุใดจึงเห็นอีกฝ่ายนั้นมีผมสีขาวดังเช่นประมุขเสวี่ยก็ตาม
“ในที่สุดก็ตื่นสักที”
แต่แล้วเสียงหนึ่งก็ทำให้เหอไป๋เทียนชะงัก เขาสะดุ้งสุดตัวจนหลังติดกับหัวเตียงดังลั่น เด็กชายร้องออกมาเล็กน้อยด้วยความเจ็บก่อนจะรีบหันไปมองคนนอนเตียงข้างเคียง
อีกฝ่ายยังคงหลับอยู่โดยไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย
“ในตอนนี้มีแค่ข้ากับเจ้าเท่านั้น” เสียงนั้นยังคงดังอยู่ เหอไปเทียนรีบหันมองไปทางซ้ายที ทางขวาที หาต้นตอของมันอย่างเลิกลั่ก เพราะเสียงนั้นเป็นเสียงของคนแปลกหน้าแต่ทว่าเขากลับไม่รู้สึกว่าเป็นเสียงที่ไม่คุ้นเคย
เพราะเขาเคยได้ยินเสียงนี้มาก่อนในตอนที่สู้กับสาหร่ายหัวผี...
“หานหลิ่ง...งั้นหรือ?”
เมื่อสิ้นคำของเด็กชาย เงาดำขมุกขมัวก็ก่อเกิดที่ปลายเตียง มันรวบรวมตัวเองจนกลายเป็นรูปร่างกำยำใกล้เคียงกับบุรุษเพศชาย มันค่อยๆ ก้าวเดินมาด้านหน้าเข้าไปยังที่ซึ่งมีแสงสว่าง แสงจันทร์สาดส่องลอดมาจากหน้าต่างกระทบกับร่างเบื้องหน้า ชายคนนั้นมีผิวที่ขาวซีด บางส่วนของร่างกายมีน้ำแข็งเกาะกุม ดวงตาสีน้ำเงินเข้ม อีกทั้งยังจุดเด่นที่แปลกประหลาดโดดเด่น นั่นคือเส้นผมสีเงินออกฟ้า
และสิ่งที่เหอไป๋เทียนเห็นนั้นก็ทำให้เด็กชายเข้าใจทันที...เงาร่างโปร่งใส ที่ตนเห็นเมื่อตอนนั้น มีลักษณะคล้ายคลึงกับคนที่ตนเห็นในตอนนี้ทุกประการ!
“ในตอนนี้...ข้าให้เจ้าเรียกข้าว่าหานหลิ่ง คงจะเข้าใจง่ายที่สุด” พูดจบก็นั่งที่ปลายเตียง ทั้งที่ตอนนี้เป็นฤดูร้อนแต่ยิ่งชายคนนั้นเข้าใกล้เหอไป๋เทียนมากเท่าไร ความหนาว ความเย็นยะเยือกก็แผ่กระจายไปรอบๆ ยิ่งทำให้เหอไป๋เทียนอยากคว้าผ้าห่มมาห่อร่างเสียเดียวนั้น
“เจ้าทำอะไรกับหงเกอ...” เอ่ยถามทันทีจนหานหลิ่งถึงกับเลิกคิ้วสูง เขาหลุดหัวเราะออกมาแล้วหรี่ตาลงมอง ‘ว่าที่เจ้านาย’ ของตนอย่างนึกขัน
“ช่างห่วงนักนะ...ข้าไม่ได้ทำอะไรคนของเจ้า เพียงแค่ป้องกันการรับรู้ไม่ให้เขาตื่นก็เท่านั้น” ตอบอย่างไม่สนใจคนที่นอนหลับอยู่เลยแม้แต่น้อยเพราะเดิมทีจุดประสงค์ของเขาก็มีเพียงเจ้าเด็กที่อยู่ตรงหน้าตนเท่านั้น
“เช่นนั้นก็โล่งใจไป” เด็กชายถอนหายใจออกมา สีหน้าดูโล่งอกจนแม้แต่ดาบยังดูออก เด็กชายเงยหน้าขึ้นมองแล้วยิ้มให้หานหลิ่ง
“ท่านหานหลิ่งมีอะไรอยากจะสื่อสารกับข้าหรือขอรับ” เด็กชายเอ่ยถาม ซึ่งทำให้เจ้าดาบหน้านิ่งนั้นหมดอารมณ์เล็กน้อย เดิมทีเขานึกว่าว่าที่เจ้านายนั้นจะตกใจหรือแสดงอาการไม่ไว้ใจมากกว่านี้ แต่นี้กลับกัน เป็นมิตรอีกทั้งยังเรียกดาบด้วยคำนำหน้าว่า ‘ท่าน’ อีกต่างหาก
จากที่คลุกคลีกันมาระยะหนึ่งทำให้หานหลิ่งรู้ว่าความเป็นมิตรกับทุกสรรพสิ่งบนโลกคือจุดเด่นของคนผู้นี้ แต่เขาก็คาดไม่ถึงว่าจะเป็นมิตรมากขนาดนี้
ยิ่งคิดหานหลิ่งก็ถึงกับพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง
“การที่เจ้านำข้าออกมาจากที่ผนึก เจ้ามีความต้องการอะไรจากตัวข้าหรือไม่” เขาเอ่ยถามเหอไป๋เทียน ซึ่งเด็กชายก็ได้แต่กระพริบตาปริบ ๆ ถี่ ๆ ไม่สามารถตอบได้ว่าสิ่งที่ตัวเองต้องการที่ว่านั้นคืออะไร
“ข้าไม่รู้...ขอรับ” เมื่อโดนถามแบบนั้นเด็กชายก็นิ่งไปเล็กน้อยเพราะเขาไม่รู้เลยจริงๆ เดิมทีที่หยิบติดมือออกมาเพราะหาของป้องกันตัวด้วยซ้ำ แต่ถ้าบอกไปแบบนี้มีหวังได้หักหน้าอีกฝ่ายแน่นๆ เขาหลบสายตาคนที่อยู่เบื้องหน้า ซึ่งหานหลิ่งก็ได้แต่แค่นยิ้ม หัวเราะดังหึอย่างเย้ยหยันคล้ายจะบอกว่าอย่านึกนะว่าจะไม่รู้
“ว่ามาสิ อำนาจ พลัง หรือแม้แต่การให้เจ้าได้ขึ้นเป็นหนึ่งเหนือพี่ชาย ข้าคนนี้ทำให้ได้” หานหลิ่งเอ่ย เขาเสนอทางเลือกให้กับคนตรงหน้า แต่ไหนแต่ไหนมาผู้ที่ครอบครองเขานั้นสิ่งที่ต้องการ ก็มีเพียงเพื่อความเก่งกาจและอำนาจบารมีเท่านั้น
“ทุกอย่าง...หรือขอรับ?” เหอไป๋เทียนทวนคำ หานหลิ่งแสร้งพยักหน้า ชั่ววูบที่มีรอยยิ้มร้ายอย่างพึงพอใจที่ได้เห็นดวงตาที่เป็นประกายอยากได้อยากมีนั้น ในที่สุดเหยื่อก็เข้ามาติดกับ
“ข้าอยากอยู่กับหงเกอนานๆ ขอรับ” เด็กชายยิ้มอย่างร่าเริง จ้องหานหลิ่งด้วยดวงตาที่เต็มเปี่ยนไปด้วยความหวังอย่างเด็กน้อยที่รอคอยของขวัญวันเกิด
แล้วหานหลิ่งก็กริบไป รอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลานั้นถึงกับหุบลงทันที
หงเกออีกแล้ว...
หานหลิ่งไม่ค่อยเข้าใจนัก ในว่าที่เจ้านายของตนนั้นจึงผูกใจกับคนผู้นั้นนัก
และมันทำให้หานหลิ่งหงุดหงิด เดิมทีเหตุผลที่เขามาปรากฏกายก็เพื่อที่จะเข้ามาเพื่อทดสอบจิตใจของเหอไป๋เทียนในสถานะของผู้ที่จะเข้ามาเป็นนายตัวเอง ทว่านอกจากเหอไป๋เทียนจะไม่มีความโลภหรือแสวงหาในอำนาจแล้วยังมีใจที่ยึดติดกับบางสิ่งอย่างลึกซึ้งจนแทรกแซงหรือโน้มน้าวไม่ได้
มันทำให้เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นเจ้านายที่ชวนเหนื่อยใจยิ่งกว่าคนก่อนหน้าเป็นไหนๆ
“ข้ายังไม่ยอมรับเจ้า ที่ข้าต้องการจะสื่อสารกับเจ้ามีเพียงเท่านี้” เอ่ยเรียบ ๆ ซึ่งทำให้เหอไป๋เทียนทำหน้าสลดออกมา เด็กชายพึมพำออกมาเบาๆ ประมาณว่าก็กะเอาไว้อยู่แล้วล่ะนะ
“ทว่าข้าก็ไม่เกลียดเจ้า” แล้วหานหลิ่งก็พูดประโยคนี้ต่อทันที เขาคิดอะไรบางอย่างในหัวของตัวเองพลางหรี่ตาลงจับจ้องคนตัวเล็กกว่า
หานหลิ่งไม่ได้พูดปด
เขานั้นมีอายุมากมาย ดื่มเลือด กินวิญญาณ กระทำกรรมดีชั่วจนได้รับชื่อเสียง อีกทั้งยังหลอมรวมกับจิตวิญญาณของเจ้านายคนก่อนๆ รับความทรงจำของพวกเขาเหล่านั้นเพื่อดำรงชีวิต ทำให้เขารู้ว่าเหอไป๋เทียนนั้นช่างแตกต่างจากเจ้านายคนอื่นๆ ที่เขาพานพบมากมายนัก
เพราะนับตั้งแต่พบกันในถ้ำ เขาก็เฝ้ามองเด็กคนนี้มาตลอด
“ถ้าเช่นนั้น ข้าควรทำเช่นไรให้ท่านยอมรับในตัวของข้าล่ะขอรับ?” เด็กชายเอ่ยถาม และนั่นทำให้หานหลิ่งถอนใจอีกครั้งด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายใจ
“เจ้าทบทวนสิ่งที่เจ้าคนชุดดำนั่นกล่าว แล้วเจ้าจะเข้าใจเองว่าจะควบคุมข้าได้เช่นไร” หานหลิ่นว่า
“ในเมื่อเจ้ามีความประสงค์ที่จะอยู่กับคนผู้นั้นมากนัก ก็จงใช้แรงปรารถนานั่นคุยกับข้าก็แล้วกัน” พูดจบก็หรี่ตาลงเล็กน้อยเขาละตัวออกมาจากเหอไป๋เทียน เมื่อเห็นว่าเส้นขอบฟ้าเริ่มแปรเปลี่ยนสี
“แล้วจะมาหาใหม่”
มุมปากของหานหลิ่งกระตุกยิ้มเล็กน้อย และเมื่อเหอไป๋เทียนกระพริบตาหนึ่งครั้ง
เขาก็ลืมตาตื่นขึ้นมาบนเตียงของตนในยามเช้าตรู่
เหอไป๋เทียนค่อยๆ ดันตัวให้ลุกขึ้นนั่ง ได้ยินถึงเสียงนกร้อง รับรู้ถึงความอบอุ่นของแสงแดด กลิ่นหอมกรุ่นของอาหารจากร้านในตลาด ดวงตาสีทองเหลือมองเตียงด้านข้างตนที่ว่างเปล่าทุกสิ่งทุกอย่างบ่งบอกว่านี่ไม่ใช่ความฝัน
เด็กชายเอาหน้าซบลงกับฝ่ามือตน ครุ่นคิดอย่างหนักในหัว เขาทบทวนถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นกับตน สับสนไม่มั่นใจว่านั่นคือความฝัน หรือว่าความจริง
เพราะหากเป็นความฝันจริง ๆ แล้วละก็ทำไมเขาถึงยังจดจำคำพูดทุกสิ่งทุกอย่างของหานหลิ่งได้อย่างขึ้นใจกัน
ใช้แรงปรารถนาของข้าคุย...งั้นหรือ?
เหอไป๋เทียนไม่เข้าใจเลยสักนิด