ตอนที่ 27: ลูกเสี้ยวของชาวมัสติน
ตอนที่ 27: ลูกเสี้ยวของชาวมัสติน
ม่านของห้องเรียนถูกเปิดทิ้งไว้ แสงแดดยามบ่ายจึงลอดผ่านกระจกหน้าต่างเข้ามาในห้องเรียน และทำให้เฮเซคียาห์เห็นทุกรายละเอียดภายในห้อง ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะและเก้าอี้หลายชุดซึ่งหันหลังให้กับประตูทางเข้า และกระดานดำติดผนังที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับประตูกระจก ซึ่งด้านบนของกระดานดำมีวันที่ของเมื่อวานเขียนไว้ด้วยชอล์กสีขาว นอกจากนี้ ติดกับผนังข้างห้อง มีชั้นใส่ของที่แบ่งซอยเป็นช่องเล็กๆ อีกหลายช่อง โดยแต่ละช่องสี่เหลี่ยมมีชื่อของเด็กติดอยู่ด้านหน้า
“เวลาเปิดหน้าต่าง ลมเย็นๆ จากทะเลสาบจะพัดเข้ามา” โซเฟียกระวีกระวาดเดินไปเปิดหน้าต่าง
ผมของเฮเซคียาห์ปลิวไหวไปตามแรงลม เขาเผลอสูดหายใจ รับเอาอากาศบริสุทธิ์ที่ไหลเข้ามาในห้องเสียเต็มปอด
“คุณคีห์...” โซเฟียเรียก
เฮเซคียาห์ลืมตาขึ้นและกะพริบตาถี่ๆ หันมามองหน้าโซเฟียอย่างแปลกใจที่เธอทราบชื่อของเขา เพราะเขายังไม่เคยแนะนำตัวเองกับเธอ
“อัลฟ่าแห่งกาลเวลาเล่าเรื่องของคุณอย่างคร่าวๆ ให้ฉันฟัง และฉันรู้สึกสนใจคุณมากๆ” โซเฟียก้าวเข้ามาใกล้ ร่างของเธออยู่ห่างเฮเซคียาห์ออกไปเพียงเอื้อมมือคว้า ผมสีน้ำตาลของเธอไหวเคลียไปกับสายลมที่ยังพัดผ่านหน้าต่างเข้ามาเป็นระลอก “ฉันเป็นลูกเสี้ยวของชาวมัสติน และเคยได้เห็นรูปของผู้ชายที่คุณยายอ้างว่าเป็นคุณปู่ เขาทิ้งเธอไปหลังมีความสัมพันธ์กับเธอคืนแล้วคืนเล่า คุณช่างดูคล้ายกับเขามากเหลือเกิน”
เฮเซคียาห์มองโซเฟียอย่างงุนงง
“คุณบอกว่าเป็นลูกเสี้ยวอย่างนั้นเหรอ มันไม่น่าเป็นไปได้ แม่ของคุณควรถูกฆ่าตั้งแต่ยังเป็นทารก”
“คุณยายของฉันได้พบกับอัลฟ่าฯ ค่ะ” โซเฟียยิ้มกว้างขึ้น ใบหน้าของเธอดูอ่อนเยาว์ลงกว่าเดิม “แม่ของฉันเติบโตขึ้นที่นี่ และท่านให้กำเนิดฉันจากการร่วมเตียงกับผู้ใช้เศวตศาสตราคนหนึ่งซึ่งซัดเซพเนจรมา แต่น่าเสียดายที่ฉันไม่ได้รับมรดกสายเลือด ไม่ได้เป็นผู้ใช้เศวตศาสตราเหมือนกับพ่อของฉันที่หายหัวไปหลังจากฉันคลอดออกมา”
เฮเซคียาห์นิ่งฟัง แต่สงสัยอย่างจริงจังถึงสิ่งที่โซเฟียต้องการจากเขา
“ฉันมีเลือดของชาวมัสตินอยู่ในตัว ดังนั้น ตอนกลางคืนร่างกายของฉันจะเรืองแสงได้แม้ว่าในตอนกลางวันฉันจะไม่เรืองแสงเลยและดูเหมือนมนุษย์ทุกอย่าง นอกจากนี้ ร่างกายนี้ของฉันยังสามารถฟื้นฟูรักษาตัวเองได้จากบาดแผลเล็กน้อย เพราะฉะนั้นในวัยเด็กฉันจึงจัดเป็นตัวประหลาดสำหรับเด็กคนอื่นๆ และถูกกลั่นแกล้งอยู่เป็นประจำ”
เฮเซคียาห์กัดฟันกรอด เขาไม่อยากรับรู้เรื่องราวของพวกลูกผสม แต่ที่เกลียดชังยิ่งกว่าคือการรับรู้ว่าพวกมนุษย์ตัวเล็กๆ มารังแกคนที่มีเชื้อสายของชาวมัสติน
“ฉันรู้ว่าคุณมีผลึกไลฟ์ควอตซ์อยู่ในตัว...” โซเฟียจ้องมองเฮเซคียาห์ “คุณไม่แค่รักษาตัวเองจากบาดแผลเล็กน้อยได้ แต่คุณต่างจากฉัน ถ้าอวัยวะขาดหาย หรือแม้แต่ถึงแก่ความตาย เศษไลฟ์ควอตซ์นั่นจะช่วยให้คุณกลับมามีชีวิตที่สมบูรณ์”
“แล้วเศษไลฟ์ควอตซ์ของผม มันสำคัญยังไงกับคุณ” เฮเซคียาห์คิดว่าอีกฝ่ายมีจุดประสงค์พิเศษที่เข้าหาเขา
“ฉันอยากให้คุณแบ่งเศษไลฟ์ควอตซ์ของคุณให้กับฉัน ฉันอยากเป็นเหมือนกับคุณ”
“แบ่งเหรอ?” เฮเซคียาห์ยกมือขึ้นจับไปบนหน้าอกของเขา และถอยออกห่างจากโซเฟีย “มันอยู่ในหัวใจของผม คุณจะให้ผมควักหัวใจ เอามันออกมาให้คุณอย่างนั้นเหรอ นั่นมันเป็นคำขอที่เกินไปหน่อย เป็นเรื่องที่ผมปล่อยให้เกิดขึ้นไม่ได้”
“อัลฟ่าฯ สามารถทำได้ ในชั่วพริบตา เขาแบ่งเศษไลฟ์ควอตซ์ของคุณออกมาให้ฉันได้”
“แต่ชาวมัสตินโดยทั่วไปได้รับการฝังเศษไลฟ์ควอตซ์เข้าไปในระบบโลหิตที่จะพาเศษไลฟ์ควอตซ์ไปฝังลึกในหัวใจตั้งแต่ตอนเด็ก เพราะว่ามีเหตุผลสำคัญ” เฮเซคียาห์ให้ความรู้กับโซเฟีย “การฝังเศษไลฟ์ควอตซ์เข้าไปในร่างผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่มีความเสี่ยงสูงที่ร่างกายของพวกเขาอาจปฏิเสธไลฟ์ควอตซ์ และทำให้ถึงแก่ความตายได้”
“ฉันเคยได้ยินคนเล่ามา...”
“อย่าเรียกร้องจะรับเอาเศษไลฟ์ควอตซ์เลย คุณอาจตายเปล่า” เฮเซคียาห์มองโซเฟียอย่างสับสน “คุณบอกว่าอยากเป็นอย่างผม ผมมีอะไรดี ที่ดึงดูดให้คุณอยากจะมาเป็นเหมือนกัน”
“แผลที่หายไปเองได้อย่างรวดเร็ว และความสามารถในการงอกใหม่ของอวัยวะต่างๆ รวมถึงการฟื้นขึ้นมาจากความตาย”
“คุณจะเอาความสามารถทั้งหมดที่ว่านั่นไปทำอะไร ต้องการต่อสู้กับใครอย่างนั้นเหรอ” เฮเซคียาห์เขม้นมองหน้าและจ้องเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย แต่โซเฟียดูไม่เหมือนมีความแค้นสุมอยู่ในจิตวิญญาณ
“ฉันแค่อยากออกไปผจญภัยในโลกภายนอก แต่ฉันไม่มีอะไรจะการันตีเลย ว่าฉันจะอยู่รอดปลอดภัยได้”
“คุณกำลังบอกผมว่า คุณไม่อยากอยู่ในหมู่บ้านนี้ต่อแล้ว” เฮเซคียาห์มองโซเฟียอย่างแปลกใจ เพราะเซนต์กิลเจนจัดเป็นสถานที่ซึ่งมนุษย์หลายๆ คนน่าจะรู้สึกว่ามันเป็นเหมือนแดนสวรรค์ ตัวเฮเซคียาห์เองเคยได้พบเห็นหมู่บ้านของมนุษย์บางแห่งในสภาพที่แย่มาก ไม่มีสาธารณูปโภคครบครัน ไม่มีน้ำสะอาด ไม่มีระบบจัดการ ขณะที่เซนต์กิลเจนมีเมเดียนดูแลให้มีทุกอย่างที่เอื้อต่อคุณภาพชีวิตที่ดีของมนุษย์
“ฉันอายุเกือบ 100 ปีแล้ว อยู่ที่นี่มานานมาก และรู้สึกเหมือนนกน้อยในกรงทอง” โซเฟียมีสีหน้าหม่นหมอง สายตาหรุบต่ำมองพื้น
“คุณได้คุยกับเมเดียนไหมว่าคุณไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว เขาว่าไง”
“เขาให้ฉันเลือกเองว่าอยากอยู่หรืออยากไป ฉันไม่ใช่เด็กเล็กๆ ที่เขาต้องปกป้องอีกแล้ว”
“แล้ว... เขาบอกให้คุณมาขอเศษไลฟ์ควอตซ์จากผมเหรอ” เฮเซคียาห์คิดว่าเขาต้องไปคุยกับเมเดียนให้รู้เรื่อง เศษไลฟ์ควอตซ์ของเขาไม่ใช่สิ่งที่สามารถแบ่งให้คนอื่น
“เปล่า” โซเฟียตอบเสียงแผ่ว ดูเกร็งๆ “ฉันแค่คิดเองเออเองว่ามันจะเป็นยังไงถ้าฉันได้ไลฟ์ควอตซ์มา และก็เชื่อจริงๆ ด้วยประสบการณ์ที่เห็นอัลฟ่าฯ ทำอะไรต่อมิอะไร ว่าเขาจะเอามันออกมาจากในตัวคุณได้โดยไม่เป็นอันตรายต่อชีวิตของคุณ”
“ความคิดของคุณจะฆ่าเราทั้งคู่” เฮเซคียาห์ส่ายหน้า
โซเฟียดูกระวนกระวาย เธอขยับมาใกล้เฮเซคียาห์อีก และยกมือทั้งคู่ขึ้นจับตรงสาบเสื้อด้านหน้าของเขาไว้
“อย่างนั้นคุณจะไปจากที่นี่เมื่อไหร่ ให้ฉันไปด้วยได้ไหม”
เฮเซคียาห์มองใบหน้าของโซเฟียใกล้ๆ เธอมีผิวเรียบเนียนและขาวสว่างกว่ามนุษย์โดยทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด แพขนตาหนาล้อมกรอบดวงตากลมโต จมูกจิ้มลิ้มรับกับริมฝีปากซึ่งแย้มสีแดงระเรื่อ เขาเกิดมาเป็นชาวมัสตินแท้ๆ แต่หัวใจกลับเต้นแรงเมื่อมองเธอใกล้ๆ บางทีนี่อาจเป็นเพราะส่วนหนึ่งของเธอสืบสานสายพันธุ์เดียวกับเขา
“ผมยังไม่มีกำหนดการไปจากที่นี่ แต่ขอเตือนคุณก่อนว่าข้างนอกมันโหดร้าย ไม่มีอะไรดีถึงครึ่งของที่นี่เลย”
“แต่ฉันอยากไปเห็นด้วยตา ร่วมทางไปกับคุณ และอยากมีเศษไลฟ์ควอตซ์ฝังอยู่ที่อกเหมือนกับคุณ” โซเฟียยกมือข้างหนึ่งขึ้น และวางฝ่ามือลงบนกลางแผ่นอกของเฮเซคียาห์ และลูบไล้มือข้างนั้นสูงขึ้นมา ขณะคลายอีกมือที่จับสาบเสื้อด้านหน้าแล้วลูบไปทางด้านหลังของเขา
ตัวของเธอขยับชิดเข้ามา ใบหน้าของเธอซุกเข้าหาอกของเขาอย่างกะทันหัน และเธอใช้แขนทั้งสองข้างโอบรัดรอบตัวเขาไว้
“ทำไมคุณทำแบบนี้” เขาถามเธอพร้อมกับดึงกายของโซเฟียออกห่าง
“ฉันอยากใกล้ชิดกับคุณให้มากๆ ค่ะคีห์ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้พบกับคนที่มีอะไรเหมือนกับฉันจริงๆ” โซเฟียยกมือของเธอขึ้นจับต้องใบหน้าด้านข้างของเขา “ตั้งแต่ตอนได้ยินเรื่องของคุณ ฉันมีความรู้สึกดีมากอย่างน่าประหลาด แล้วมาตอนนี้ฉันได้เห็นคุณในระยะใกล้ขนาดนี้ ฉันยิ่งรู้สึกดีเหลือเกินค่ะ รู้สึกเหมือนกับว่าฉันไม่ได้ถูกทิ้งให้อยู่ในโลกนี้แค่เพียงลำพัง”
“เหลวไหลน่า ผมเป็นคนแปลกหน้านะ คุณมาทำแบบนี้ไม่เหมาะ”
“ฉันรู้ค่ะ แต่ว่าให้ฉันกอดคุณต่ออีกสักหน่อยได้ไหม” โซเฟียยังไม่ลดมือลงจากข้างแก้มของเฮเซคียาห์ ดวงตาคลอไปด้วยน้ำตาไม่เบือนหลบดวงตาของเฮเซคียาห์ “ฉันพบกับคุณ ฉันรู้สึกไม่ต่างจากการได้พบกับครอบครัวที่จากไปนานแล้ว”
เฮเซคียาห์กลั่นกรองคำพูดของโซเฟีย และค่อยๆ เข้าใจความหมายของคำพูด
“คนที่คุณรักทุกคน พวกเขาตายจากไปหมดแล้วสินะ”
“ใช่ ฉันเหลือตัวคนเดียว...” โซเฟียอยู่ๆ ก็ฟูมฟาย “แล้วคุณ คุณก็คล้ายกับฉันมาก คุณกลับไปหาพวกมัสตินไม่ได้ ตัวคนเดียว ส่วนฉัน ฉันเข้าพวกกับพวกเขาไม่ได้มาตั้งแต่ต้น”
“เอาเถอะ อย่าร้อง” เฮเซคียาห์รั้งอีกฝ่ายเข้ามา ยอมให้อีกฝ่ายแนบร่างของเธอเข้ากับเขาแน่น
เฮเซคียาห์กอดร่างของโซเฟียไว้หลวมๆ และเพราะกอดเธออยู่ครู่ใหญ่ทำให้เขาเริ่มเมื่อยล้า เขาจึงฟุบหน้าลงกับเรือนผมของเธออย่างเสียไม่ได้ กลิ่นหอมของลาเวนเดอร์โชยอ่อนๆ ออกจากเรือนกายของเธอ ชวนให้เขาคิดถึงหญิงชาวมัสตินจำนวนไม่น้อยที่เขาเคยมีความสัมพันธ์บนเตียงด้วย
“พอแล้วๆ” เฮเซคียาห์ผลักโซเฟียออก เขาดึงสติกลับมาก่อนที่ตนเองจะหลงใหลไปกับกลิ่นหอมของเรือนร่างเธอ และเผลอแตะต้องเธอในลักษณะที่ไม่เหมาะสม
โซเฟียเช็ดน้ำตาด้วยมือของเธอ เธอหมุนกายหันหลังให้เขาสักครู่ใหญ่ ก่อนหันกลับมาด้วยดวงตาซึ่งยังแดงก่ำ
“คุณรับคำขอของฉันไว้พิจารณาหน่อยนะคะ ฉันอยากไปกับคุณจริงๆ” เธอพูดจบก็หันหลังให้เขา แล้ววิ่งไปเปิดประตูบานเลื่อน เพื่อพาตัวเธอวิ่งออกไปจนลับสายตา
เฮเซคียาห์ยืนกะพริบตาปริบๆ มองตามหลังของเธอไป
“เอาจริงสิ! เธอรู้หรือเปล่า การพูดแบบนั้นมันเหมือน...”
จิตใจของเฮเซคียาห์กระสับกระส่าย ในเผ่าพันธุ์มัสติน ผู้ชายสามารถจีบและมีความสัมพันธ์บนเตียงกับผู้หญิงมากหน้าหลายตา แต่พวกเขาไม่ได้เป็นผู้มีอำนาจในการตัดสินใจจัดพิธีแต่งงาน คนมีอำนาจคือพวกผู้หญิงเท่านั้น เฉพาะพวกเธอที่สามารถขอเริ่มต้นความสัมพันธ์แบบคู่รักอย่างจริงจัง หรือขอเพศตรงข้ามมาเป็นคู่หมั้นคู่หมาย หรือคู่แต่งงานได้
“บ้าจริง! ดันพูดทิ้งท้ายแล้วหายไปซะเฉยๆ”
เฮเซคียาห์ไม่ค่อยสบายใจ ในวัฒนธรรมของเขา ถ้าฝ่ายหญิงขอแต่งงาน เขาต้องรีบปฏิเสธภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง ไม่เช่นนั้นไลฟ์ควอตซ์ต้นกำเนิดจะถือว่าเขายอมรับอีกฝ่ายเป็นภรรยาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
แม้เฮเซคียาห์ในขณะนี้ไม่ได้เชื่อมต่อกับไลฟ์ควอตซ์ต้นกำเนิด แต่เขาคำนึงถึงธรรมเนียมปฏิบัติ เขาต้องรีบหาโซเฟียให้เจอแล้วบอกปัดคำขอของเธอ
เฮเซคียาห์นั่งเคาะโต๊ะในร้านอาหารอย่างกระวนกระวายหลังกลับจากการเที่ยวถามไถ่ถึงโซเฟียจากชาวบ้านหลายๆ คน และเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ ทั้งบ้านของเธอ ไปจนถึงสุสานของแม่ของเธอ แต่กลับคว้าน้ำเหลว ไม่พบกับตัวของเธอ เขาคิดว่าความหวังเดียวในการตามหาโซเฟียในตอนนี้คือเมเดียนซึ่งยังไม่กลับมาจากนอกหมู่บ้าน
“นี่มัน!!! เรากำลังจะเคลื่อนย้ายอย่างนั้นเหรอ” หญิงสาวคนหนึ่งผุดลุกจากโต๊ะ
เสียงของเธอดึงเฮเซคียาห์ให้สนใจสิ่งรอบตัว เขามองตามทุกคนไปยังนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าในยามค่ำคืนมีสายฟ้าแลบแปลบปลาบเป็นเส้นไปทั่วอย่างน่าพิศวง แต่ไม่มีเสียงของฟ้าผ่าให้ได้ยินแม้แต่น้อย
“มันเกิดอะไรขึ้น พอจะบอกกันหน่อยได้ไหม ผมยังใหม่กับที่นี่” เฮเซคียาห์จับแขนของชายคนหนึ่งซึ่งรีบร้อนเดินผ่านโต๊ะของเขาไป
“การเทเลพอร์ตครั้งใหญ่ อัลฟ่าฯ กำลังย้ายหมู่บ้านของเราไปที่อื่น”
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมเขาถึง...”
เฮเซคียาห์เก็บเสียงลงในลำคอ เขานึกเหตุผลออกเองได้ หน่วยลาดตระเวนของชาวมัสตินอาจพบหมู่บ้านแห่งนี้เข้าเสียแล้ว
“เธอมีบ้านให้กลับหรือเปล่า ถ้าไม่มีจะไปกับฉันก็ได้นะ” ชายคนที่เขาเรียกไว้เอ่ยอย่างมีน้ำใจ “เธอจำเป็นต้องอยู่ในที่ปลอดภัยอย่างในอาคาร เพราะเวลาที่เทเลพอร์ตจะเหมือนกับทุกอย่างถูกโยนไปพร้อมกัน เธออาจจมลงไปในน้ำทะเลสาบครู่หนึ่ง ลอยเคว้งอยู่ในอากาศแล้วตกลงบนพื้นจนต้องเจ็บตัว หรือโดนทับด้วยตู้ตอนที่ถึงที่หมาย”
“ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ เดี๋ยวผมหาที่อยู่เอง” เฮเซคียาห์เลือกไม่รับน้ำใจ
ชายแปลกหน้าพยักหน้า เขารีบจ้ำออกจากร้าน
เฮเซคียาห์เดินไปชำระค่าเครื่องดื่มกับพนักงานคิดเงิน แล้วรีบเดินออกไปนอกร้านบ้าง เขาพบคนบางกลุ่มยืนรวมตัวกันอยู่ด้านนอกเพื่อสังเกตปรากฏการณ์บนท้องฟ้า บางคนที่ยังหัวเราะกันได้ ดูกิริยาและเสื้อผ้าน่าจะมาจากนอกหมู่บ้าน ซึ่งเฮเซคียาห์คิดว่าพวกนี้คงกำลังจะได้เจอประสบการณ์ที่ลืมไม่ลงถ้ายังไม่รีบหาที่อยู่ ส่วนตัวเขาเอง เขารีบเดินไปยังทางขึ้นภูเขา ตั้งใจจะไปขอหลบพักที่ร้านหนังสือซึ่งมูนนี่เคยกำชับไว้ว่าถ้ามีปัญหาให้เลือกไปที่นั่นก่อนเสมอ
ทว่า พอเฮเซคียาห์เดินไปถึง ประตูร้านหนังสือปิดล็อคแน่น และไม่ว่าเขาจะส่งเสียงเรียกดังแค่ไหน ก็ไม่มีคนเปิดประตูให้
“แย่จริง” เฮเซคียาห์บ่น
สมองของเขาทำงานอย่างหนัก คิดหาสถานที่ซึ่งเขาพอไปพึ่งพิงได้ในเวลานี้ เวลาที่ทั้งหมู่บ้านจะถูกเทเลพอร์ตคงใกล้มาถึงแล้ว ตอนนี้ทั้งต้นไม้ พื้นดิน และตัวอาหารร้านหนังสือล้วนแล้วแต่มีแสงสีขาวเคลื่อนผ่านให้เห็นเป็นช่วงๆ แสงสีขาวที่เห็น บรอธอธิบายว่าไม่เป็นอันตราย แสงดังกล่าวเกิดจากอะตอมของสิ่งต่างๆ ในหมู่บ้าน เกิดการเขย่าและจะเคลื่อนที่เพื่อเตรียมพร้อมไปจัดเรียงตัวกันใหม่ในสถานที่ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทาง
“บ้านของโซเฟีย...” เฮเซคียาห์คิดถึงสถานที่ซึ่งแวะไปเมื่อเย็น
ถ้าเขาไปที่นั่นตอนนี้ เขาควรได้พบทั้งโซเฟีย และได้ที่พักพิงชั่วคราวระหว่างรอให้การเทเลพอร์ตสิ้นสุดลง