ตอนที่ 26 พักฟื้น
ตอนที่ 26 พักฟื้น
‘เพกัส’ สามารถเหาะเหินเหยียบอากาศได้ถึงห้าร้อยกิโลเมตรต่อวัน ระยะทางจากสุสานเปี๊ยกโกะกลับมายังตำหนักโมโมะจึงใช้เวลาเพียงแค่สองชั่วโมง
ณ ตำหนักโมโมะ มีเขตแดนคุ้มกันซึ่งปีศาจไม่สามารถย่างกายเข้ามาได้ เช่นนั้น ลินจิจึงลงจากหลังของเพกัสเพื่อเข้าไปบอกโมโมะ
เนื่องจากเพกัสเป็นอสูรจึงได้แต่หยุดรอบริเวณปากทางเข้า ส่วนชุนก็หลับปุ๋ยบนหลังของเพกัส ปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น ลินจิจึงต้องจำใจเดินเข้าไปขอความช่วยเหลือเพียงลำพัง
“คุณโมโมะ!”
สองมือป้องปากเรียก พลางเดินเรียบสวนดอกไม้สองข้างทาง ด้านหน้าเป็นตำหนักซึ่งทำจากไม้สีเข้ม หลังคาทำจากดินเผา โคมไฟทรงกลมห้อยอยู่ใต้หลังคาส่องแสงสีส้มสลัว แต่เมื่อมองจากไกล ๆ ก็แทบจะมองไม่เห็นรายละเอียดเบื้องหน้าเลย
“ท่านเทพ!”
เหมือนโมโมะจะได้ยินเสียงเรียก เธอซึ่งสวมเดรสโทนเข้มจึงลุกจากเก้าอี้โยกด้านหน้าของตำหนัก แต่ก็ถูกผนังไม้สีเข้มกลืนกินจนมองแทบไม่เห็นร่าง
“อ้า…”
ลินจิร้องตกใจ เมื่อเห็นเงาคล้ายระฆังขนาดใหญ่ใกล้เข้ามา เมื่อสังเกตดูดี ๆ ก็พบว่าเป็นโมโมะซึ่งกำลังยกชายกระโปรงวิ่งมาหาอย่างทุลักทุเล
“อ้าว… มาคนเดียวเหรอคะ ชุนล่ะ”
พอเธอปล่อยมือจากชายกระโปรง พวกมันก็ลงกองแหมะอยู่บนพื้นราวกับผ้าเช็ดเท้า
“…”
ลินจิก้มมองบนพื้น กะพริบตาสองครั้ง แล้วเงยหน้าขึ้นมา ไม่เข้าใจว่าทำไมโมโมะต้องใส่กระโปรงยาวแบบนั้น ถ้าต่อสู้กับปีศาจเธอคงจะตายเป็นคนแรก เพราะถูกปีศาจลากชายกระโปรงแล้วจับตัวไปกิน
“คุณชุนอยู่บนหลังของเพกัสน่ะครับ”
“เพกัสเหรอ”
ร่างเล็กสะดุ้งพร้อมยกมือขึ้นปิดปาก ราวกับต้องการคำอธิบาย
ลินจิเม้มริมผีปากแล้วส่ายหน้า
“คือ… เรื่องมันยาวน่ะครับ พอจะมีวิธีทำให้เพกัสเข้ามาได้รึเปล่า ผมแบกคุณชุนเข้ามาไม่ไหวหรอกครับ ฝั่งนั้นน่ะ ตัวโตเกินไป แถมปลุกก็ไม่ตื่น ปล่อยไว้นานพวกปีศาจอาจเข้ามาทำร้ายได้นะครับ”
“เอ๊ะ! เพกัสที่ว่านี่ ใช่ปีศาจที่สามีของข้าผนึกไว้เหรอคะ”
หนุ่มน้อยพยักหน้าสองครั้ง
“เข้าใจแล้วค่ะ”
ว่าแล้ว เธอก็ประสานกลางอกดังแปะ คล้ายปรบมือ ปรากฏละอองแสงเล็ก ๆ สว่างวาบขึ้นมาแวบหนึ่ง พอนำมือทั้งสองออกจากกัน ลินจิก็มองอย่างสงสัย
“นี่คือ…”
เขาจ้องมองจุดแสงสีขาวเล็ก ๆ เท่าปลายนิ้วก้อยบนฝ่ามือของหญิงสาว
“กุญแจค่ะ นำแสงนี้ใส่เข้าไปในรูสักที่ของปีศาจตนนั้น แล้วร่างนั้นก็จะได้รับอนุญาตให้เข้ามาค่ะ”
“ห๊ะ…”
ลินจิเบิกตากว้าง บทสนทนาหยุดชะงักไปกลางคัน
เหมือนโมโมะจะมองออกว่า ลินจิจินตนาการไปถึงอวัยวะส่วนอื่นของร่างกาย จึงอธิบายเพิ่มเจิม
“รูหู ช่องปาก หรือไม่ก็รูจมูก รูอะไรก็ได้สักที่ค่ะ”
“รูอะไรก็ได้งั้นเหรอ…”
มือหลวม ๆ กำขึ้นปิดปาก ก้าวข้าถอยหลังไปหนึ่งก้าวทำมุมสี่สิบห้าองศากับโมโมะอย่างไม่ได้ตั้งใจ จากนั้นก็พยักหน้าช้า ๆ เมื่อสลัดความคิดบ้า ๆ ที่ผุดขึ้นมาในหัวออกได้ ลินจิก็แบสองมือยื่นไปด้านหน้า
มือเรียวของหญิงสาวค่อย ๆ ประคองแสงสีขาวขนาดเล็กส่งมอบให้ลินจิ
จุดแสงนั้นค่อย ๆ กลิ้งลงมาเหมือนลูกแก้ว เมื่อเข้ามาอยู่บนฝ่ามือ ลินจิก็สัมผัสได้ถึงไออุ่น จากนั้นเขาก็ค่อย ๆ กำมือแล้วพยักหน้าก่อนวิ่งออกไป
เนื่องจากเป็นเวลากลางคืน จึงมองเห็นเส้นทางไม่ชัดนัก จากที่วิ่งเมื่อครู่ลินจิก็เปลี่ยนเป็นเดินพลางมองซ้ายมองขวาอย่างระมัดระวัง
จังหวะที่ออกจาก ‘เขตอาคมกักกัน’ ซึ่งมีลักษณะโปร่งแสง ก็เกิดแสงสว่างเป็นวงวาบออกมา ทำให้ร่างของเด็กหนุ่มดูคล้ายออกมาจากฟองสบู่ก้อนใหญ่
เพกัสเห็นลินจิก็ร้องฮี่ ๆ อย่างดีใจ
“คงไม่เจ็บหรอกนะ…”
เขาแบมือมองจุดแสงอย่างไม่ค่อยแน่ใจว่าจะเป็นอันตรายกับเพกัสหรือเปล่า จากนั้นก็พยักหน้าหนึ่งครั้ง ก่อนเงยหน้าขึ้นมา
“เพกัส… ขอโทษนะ”
ตอนที่ตัดสินใจได้ว่า จะใส่กุญแจแสงเข้าไปในหูของเพกัส เพกัสก็เดินเข้ามา
“อ้า…”
ใบหน้าและดวงตาสีเพลิงขนาดใหญ่ขยับเข้ามาใกล้ลินจิทันที เพกัสตวัดลิ้นเลียกุญแจแสงเข้าไปในปาก
“…”
สองตามองนิ่งอย่างทำอะไรไม่ถูก ตอนนั้นเขาเพิ่งสังเกตว่า ขนตาของม้านั้นงอนยาวชนิดที่หญิงสาวยังต้องอาย
“…เปียกหมดเลย”
ลินจิพึมพำ ยกฝ่ามือที่ถูกเพกัสเลียเมื่อครู่ขึ้นมาดูอย่างไม่รู้จะทำยังไง พอหันไปข้าง ๆ ก็เห็นผ้าคลุมสีดำของชุนที่ห้อยลงมาจากแผ่นหลัง
…ไหน ๆ ก็ต้องซักอยู่แล้ว
เมื่อคิดเช่นนั้นเขาจึงป้ายฝ่ามือไปที่ผ้าคลุมของชุน
“เหวอ!”
ไม่ทันไรเจ้าม้าอสูรตัวโตก็ซอยเท้าเร็วเข้าไปยังด้านในเขตอาคม เส้นแสงไฟสว่างวับไหวบนพื้น ส่วนชุนก็หลับปุ๋ยบนหลังม้าไม่มีทีท่าว่าจะตื่น เห็นแบบนั้นลินจิจึงรีบวิ่งตามทันที
“รอด้วยสิ เพกัส!”
ลินจิตะโกนเรียกเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ก่อนที่จะมีเสียงร้อง “ว๊าย!” ของโมะโมะดังขึ้นสั้น ๆ จากทางด้านหน้า ได้ยินแบบนั้นเขาจึงรีบเร่งฝีเท้าทันที
“อ๊ะ!”
เมื่อไปถึงก็เห็นโมโมะล้มก้นจ้ำเบ้าอยู่กลางสวนดอกไม้ยามค่ำคืน ถึงอย่างนั้นเปลวเพลิงบนตัวของเพกัสก็ส่องแสงสว่างทำให้ดอกหน้าวัวสีขาวอมเขียวเปลี่ยนเป็นสีส้ม เธอกำลังรับพิธีล้างบาปขนาดใหญ่จากเพกัสด้วยการถูกลิ้นม้าเลียไปที่ใบหน้ารัว ๆ
พริบตาที่ลินจิร้อนรนเพราะนึกว่าเธอถูกทำร้าย แต่ดูจากสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความรักนั่นแล้ว ลินจิก็หลุดหัวเราะออกมาอย่างสุดกลั้น ดูเหมือนว่าม้าอสูรสีขาว… จะถูกใจโมโมะเสียเหลือเกิน
โมโมะพยายามลุกขึ้นอย่างลำบากลำบนเพราะกระโปรงยาว ลินจิจึงตรงเข้าไปช่วย
“อ้า… ไม่เป็นไรนะครับคุณโมโมะ”
เขาบอกพลางยื่นมือไปฉุดโมโมะให้ลุกขึ้น
“ค่า ท่านเทพ”
เธอยิ้มเจื่อน คว้าผ้าคลุมของชุนที่กำลังหลับเช็ดหน้าปี๊ด ๆ แบบไม่เกรงอกเกรงใจ
“…”
ลินจิมองเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่พูด จำได้ว่า เมื่อครู่เขาก็ใช้สิ่งนั้นเช็ดมือเหมือนกัน
เมื่อโมโมะปล่อยมือ เพกัสก็ขยับตัว ตอนนั้นผ้าคลุมสีดำที่ห้อยต่องแต่งก็สะบัดพลิ้วตามแรงลม
ทั้งสองหันไปมองคนที่หลับปุ๋ยบนหลังเพกัสตาปริบ ๆ แล้วหันหน้ามองกัน จากนั้นก็ช่วยพยุงร่างสูงออกจากหลังม้าอสูร ส่วนเพกัสก็ย่อตัวลงนั่งอย่างแสนรู้ทันที
ลินจิเกรงว่าโมโมะจะเห็นรอยกางเกงขาดของชุน จึงรีบถอดผ้าคลุมหลังของชุนมามัดเอวให้เขาไว้ แล้วเอาตัวเข้าบัง
“แป๊บนึงนะครับ ช่วยหันหลังไปก่อนนะครับ”
“เอ๊ะ!”
ถึงจะแสดงท่าทางประหลาดใจกึ่งสงสัย แต่เธอก็ยอมหันหลังไปแต่โดยดี
“นานแล้วนะคะ”
“เรียบ…ร้อยครับ”
ลินจิส่งเสียงอึกอักเหมือนยกของหนัก โมโมะจึงหันมากะพริบตาปริบ ๆ
“…”
ลินจิพยายามแบกชุนขึ้นหลังอย่างไม่ค่อยจะไหวนัก พลางหันมองโมโมะด้วยแววตาขอความช่วยเหลือ
“นี่…มาช่วยกันหน่อยสิครับ”
ทว่า เธอก็ยืนนิ่ง ลินจิเริ่มรับน้ำหนักไม่ไหวจึงวางร่างของชุนลงนอนกองบนพื้น จากนั้นโมโมะก็ยกชายกระโปรงขึ้นมา ก้ามมาด้านหน้าสองก้าวอย่างไม่ถนัดเท่าไหร่ เห็นเช่นนั้นลินจิจึงเข้าใจ
…อ๋อ อย่างนี้นี่เอง เดินไม่ถนัดสินะ
พริบตานั้นทั่วร่างของชุนก็มีแสงสลัวสีขาวนวลล้อมรอบตัว ก่อนจะค่อย ๆ ลอยขึ้นมา
“อ๊ะ!”
“เดี๋ยวจัดการเองค่ะ”
ว่าแล้วเธอก็เดินนำ พร้อมกับร่างของชุนที่ลอยเคลื่อนไปด้านหน้าราวกับมีเปลล่องหนรองรับไว้
“อ้า…รอผมด้วยสิครับ”
ลินจิรีบวิ่งตามหลังไปทันที
ระหว่างที่เดินตามหลัง จู่ ๆ ดาบของชุนก็เปล่งแสงประหลาดสีเขียววาบขึ้นมา พอลินจิสังเกตดูดี ๆ แสงนั้นก็หายไปแล้ว จึงคิดว่าตัวเองคงตาฝาดไป
…สงสัยต้องพักแล้วเรา
“ชุนนี่จริง ๆ เลยน้า ใช้พลังเกินตัวอีกแล้วล่ะสิ แบบนี้ลำบากท่านเทพแย่เลยนะคะ”
โมโมะกล่าวด้วยน้ำเสียงสบายใจ พลางเดินไปเรื่อย ๆ
“อันที่จริง… คุณยูช่วยไว้น่ะครับ”
“เอ๊ะ! ยูเหรอ”
เธอหันถามอย่างสงสัย พอลินจิพยักหน้าให้ เธอก็หันกลับไปแล้วเดินต่อ
จังหวะนั้นเพกัสวิ่งกึกกักตามหลังมาเร็วไวจนแซงหน้าทั้งสาม
“ว๊าย!”
โมโมะพยายามฝืนตัวหลบเพกัสที่วิ่งผ่านไปทางด้านข้างจนเกือบล้มอีกครั้ง พริบตาเดียวเพกัสก็หยุดอยู่ตรงหน้าประตูของตำหนักแล้ว
“น่ากลัวจริง ๆ เลยนะคะ ตาแดงเชียว”
“เอ๋… คุณโมโมะไม่ได้เคยเห็นเพกัสมาก่อนหรอกเหรอครับ มีคนเล่าว่าเพกัสเป็นอสูรคู่ใจของเปี๊ยกโกะ คนนั้นเป็นสามีของคุณนี่ครับ”
“ข้าก็เพิ่งเคยเห็นนี่แหละค่ะ ดีแล้วที่ฝั่งนั้นเป็นม้า ตอนแรกข้าคิดว่าเป็นภรรยาอีกคนของเปี๊ยกโกะเสียอีก ฮะฮะ”
เธอพูดติดตลก ยิ้มอย่างสบายใจ แต่ลินจิกลับรู้สึกว่า น้ำเสียงนั้นช่างฟังดูเหงาเหลือเกิน
พอทั้งสองเดินเข้าไปในตำหนัก เพกัสก็ไม่ตามเข้าไป ราวกับมันรู้ว่าขอบคุณที่อยู่ของมันคือที่ไหน
เมื่อเข้ามาด้านในของตำหนัก ก็พบทางเดินเป็นเส้นตรงยาวทะลุไปถึงด้านหลัง แม้จะดูเหมือนแคบ แต่ก็สามารถกางแขนหมุนตัวได้อย่างสบาย ๆ สองฝั่งของทางเดินแบ่งออกเป็นห้องเล็กห้องใหญ่ และมีอีกหลายห้องที่ลินจิยังไม่เคยเข้าไปในนั้น
เมื่อก้าวผ่านประตูมาสามบานนับจากซ้ายและขวา โมโมะก็เข้าไปยังห้องด้านซ้ายพร้อมกับร่างของชุนที่ลอยอยู่เบื้องหน้า
ลินจิเดินตามเข้าไปในห้อง ก้าวแรกก็พบเตียงไม้ตั้งอยู่แทบจะติดประตู เขาจึงหยุดขาไว้แค่นั้น เมื่อกวาดสายตาก็พบว่า ริมผนังมีชั้นไม้พร้อมโหลแก้วน้อยใหญ่เรียงรายกันเป็นแนวยาว ในโหลแก้วมีรากไม้แช่ของเหลวสีน้ำตาลเข้มคล้ายเหล้า ลินจิจึงพอเดาออกว่าเป็นห้องยา
ตอนที่ร่างของชุนค่อย ๆ ลอยต่ำลงจนสัมผัสกับเตียงนุ่ม ๆ โมโมะก็ปลดดาบของชุนถือไว้ในมือ
“เอ๊ะ”
“ข้ารู้สึกแปลก ๆ นะคะ เลยว่าจะขอตรวจดูหน่อย”
เธอประกบสองมือกับฝักดาบ หันมายิ้มให้ตาหยี
“ครับ”
ลินจิพยักหน้าช้า ๆ อย่างพยายามจะเข้าใจ
จู่ ๆ ชุนขยับตัว ทั้งสองจึงหันไปมองทันที
“…อึก”
ปลายนิ้วของชุนค่อย ๆ สั่น จากนั้นเขาก็ดึงผ้าคลุมที่นัดเอวขึ้นมาเช็ดหน้า
“…”
ลินจิและโมโมะหันหน้ามองกันอย่างไม่ได้ตั้งใจ พอมองไปที่เตียงก็เห็นชุนซึ่งหลับอยู่มีสีหน้าเหยเกราวกับตกอยู่ฝันร้าย
“คงไม่เป็นอะไรมากมั้งครับ”
“นั่นสิคะ”
ทั้งสองเดินออกมาโดยปล่อยให้ชุนนอนฟักพื้นอยู่ที่ห้องยา ระหว่างที่ตรงไปด้านหน้าของตำหนัก โมโมะก็ใช้มือหนึ่งรวบกระโปรงขึ้น อีกมือก็ถือดาบของชุน
ตอนนั้นลินจิก็มองชายกระโปรงสีดำยาวลากพื้นด้านหน้าเพลิน ๆ คิดว่า… ชุนจะเป็นอย่างไรบ้างนะ แม้จะรู้ว่าฝั่งนั้นแค่หลับไปเฉย ๆ แต่เป็นไปได้เขาก็อยากจะนั่งเฝ้าอยู่ข้าง ๆ อีกอย่าง เสื้อผ้าก็ยังไม่ได้เปลี่ยนเลย
…หวาย แบบนี้มันเข้าข่ายตกหลุมรักจริง ๆ สินะ
สองมือขยี้ผม ส่ายหน้าไปมาโดยไม่รู้ตัว
“เอ๊ะ เป็นอะไรไปคะ”
“อ๋อ… เปล่าครับ”
ลินจิยิ้มเจื่อน วางมือหนึ่งลงแนบลำตัว อีกมือค้างไว้พลางเกาหัวดังแกรก ๆ
“ว่าแต่ยูมิกลับมาบ้างรึยังครับเนี่ย”
“ยูมิเหรอคะ…”
เธอกล่าวเว้นจังหวะค้างไว้ราวกับจะทวนคำถามเพื่อใช้ความคิด จากนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้โยก
“ยังไม่เห็นกลับมาเลยค่ะ”
น้ำเสียงฟังดูสบายใจ อย่างกับจะบอกว่า ยัยนั่นจะเป็นอะไรก็ช่าง
“เอ๊ะ! แต่ยูมิไปตั้งนานแล้วนะครับ”
ตอนที่ลินจิยืนพูดก็เริ่มรู้สึกเมื่อยขาขึ้นมา จึงกวาดสายตามองหาที่นั่ง
ด้านหน้าของตำหนักเป็นระเบียงกว้างแบบเปิดโล่ง มีโต๊ะอาหารทรงกลมตั้งอยู่ตรงกลาง และเก้าอี้ไม้สลักลวดลายสวยงามอยู่สี่ห้าตัว ลินจิลากเก้าอี้ออกมาตัวหนึ่งก่อนจะนั่งลง
“ยูมิคงไม่เป็นอะไรมั้งคะ บางทีเวลาของโลกอื่นอาจจะไม่เท่ากับที่นี่ก็ได้”
เธอตอบ พลางสำรวจดาบของชุน แต่ลินจิไม่ได้ต้องการคำตอบแบบนั้น ครั้งก่อนเขาวานยูมิให้ใช้เวทมิติเพื่อไปเอาข้าวของเครื่องใช้จากโลกของตนกลับมา แล้วเขาก็อยากได้มันเร็ว ๆ
จู่ ๆ โมโมะก็เรียก
“นี่ ท่านเทพคะ”
“อ๊ะ! อะไรครับ”
“เกิดอะไรขึ้นบ้าง ช่วยเล่าให้ข้าฟังหน่อยสิ”
ได้ยินโมโมะถาม ลินจิก็พอจะเข้าใจ เพราะเธอมีชีวิตอยู่ในเขตแดนกักกันมากว่าสามร้อยปี และไม่สามารถออกจากที่นี่ได้ จึงอยากรู้เรื่องราวของโลกภายนอก
“ครับ”
ลินจิพยักหน้าหนึ่งครั้ง จากนั้นก็เล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ฟังแทบทั้งหมด ทั้งเรื่องผลึกดวงดาว เรื่องของยูที่กลายเป็นชาย เอวินที่ถูกอุรามิครอบงำ เรื่องของเทพบุตรคิกิ และทุก ๆ เรื่องที่คิดว่าสำคัญ