ซัพที่35: ตื่น ตื้น ตื่น ตื๊นนน กระเป๋าวิเศษมาแล้วจ้า
ซัพที่35: ตื่น ตื้น ตื่น ตื๊นนน กระเป๋าวิเศษมาแล้วจ้า
วันเวลาผ่านไปถึงเจ็ดปี จินหลงมีอายุครบสิบห้าปี เช่นเดียวกับไป๋ฮวาที่มีอายุสิบปี วันนี้คือวันเกิดของเธอ วันแห่งคำสัญญาของพระเจ้า
ชีวิตที่ผ่านมาเจ็ดปี ไป๋ฮวาอาศัยอยู่กระท่อมเล็กๆ กลางป่า โดยมีกุ้ยเหรินวัยสิบสามปีคอยดูแล ทุกวันกุ้ยเหรินมักจะออกไปล่าสัตว์วางกับดักและหาอาหารเพื่อหาเลี้ยงชีพ ทั้งยังเดินทางเข้าไปในเมืองเพื่อขายของแลกเงิน แม้จะได้มาไม่มาก แต่ก็พออยู่พอกิน
กุ้ยเหรินนั่งมองไป๋ฮวาที่ทำกำลังตระเตรียมของเตรียมทำอาหารอยู่อย่างตาไม่กระพริบ เส้นผมสีขาวบริสุทธิ์ของเด็กหญิงยาวถึงเอว ดวงตาสีครามประกายแดงช่างน่าพิศวง ขนตาสีขาวเรียงเป็นแผงาม คิ้วขาวโค้งได้รูป ผิวนวลสีขาวซีดช่างดูโดดเด่นนัก หากไม่นับเสื้อผ้าที่มอมแมม น้องสาวของเธอช่างราวกับเทพธิดาที่ลงมาจากสวรรค์
“ท่านพี่...เลิกจ้องข้าเช่นนี้ได้แล้ว วันนี้ท่านไม่ออกไปในเมืองหรือ?” ไป๋ฮวาหรือหรงหรงถอนหายใจกับพฤติกรรมของพี่สาวเธอ
“ไม่ล่ะวันนี้เป็นครบรอบวันที่ข้าได้พบกับเจ้า ก็เปรียบเสมือนวันเกิดเจ้า ข้าจะออกไปไหนได้” ..ท่านพี่ หากท่านเป็นบุรุษข้าคงใจละลายตายไปแล้ว!
ไป๋ฮวามองใบหน้าคมของเด็กสาววัยสิบสามปีตรงหน้า ก่อนจะถอนหายใจ ..รอให้เธอได้ที่กันคิ้วมาก่อนเถอะ จะต้องกันคิ้วรกๆ นั้นให้เป็นทรงให้ได้!
บุคลิกลักษณะความมอมแมมของกุ้ยเหรินนั้นไม่ต่างจากบุรุษแม้แต่น้อย ทั้งการวางตัว การแต่งตัว หรือการพูดจา แม้เจ้าตัวจะให้เหตุผลว่าการปลอมเป็นชายนั้นจะปลอดภัยกว่าเป็นหญิงก็ตาม
“ข้าจะไปตักน้ำที่ลำธาร ฝากท่านดูหม้อด้วยแล้วกัน” ไป๋ฮวาทำท่าจะลุก ไปตักน้ำ ทว่ากุ้ยเหรินกลับรีบร้องห้าม
“ไม่ได้ๆๆ เจ้าออกไปด้านนอกก็มีแต่ผิวจะไหม้ ทั้งเรี่ยวแรงยังไม่มี ข้าไปเอง” กุ้ยเหรินรีบลุกขึ้นไปหยิบถังน้ำ มุ่งหน้าเข้าไปยังลำธาร ทิ้งให้ผู้เป็นน้องกลุ้มใจ
แมนขนาดนี้ ลางขึ้นคานมาแต่ไกลเลย
ไป๋ฮวาถอนหายใจ ก่อนจะมองขึ้นไปบนเพดานและรอบๆ ห้อง
“วันนี้เป็นวันครบรอบวันเกิดข้าแล้ว ไหนกระเป๋าที่ข้าขอ!” เด็กหญิงลุกขึ้นเท้าเอวร้องโวยวาย ใบหน้าน้อยๆ ถมึงทึงไม่พอใจ
พระเจ้าก็พระเจ้าเถอะ ให้ตายยังไงเธอก็ไม่มีวันให้อภัยกับสิ่งที่ทำกับเธอหรอก
ร่างชายชราค่อยๆ ปรากฏขึ้นมากลางห้อง พร้อมกระเป๋าผ้าหูรูดขนาดเล็กแบบสะพายข้าง ตัวถุงผ้าเป็นสีแดง ประดับลายดอกไม้สีทอง
“เจ้านี่ก็ใจร้อนเสียจริง ข้าบอกมิใช่หรือว่าให้จุดธูปเรียก” ไป๋ฮวามองพระเจ้าอย่างไม่ชอบใจ
“ท่านพูดเหมือนข้ามีเงินจะซื้อธูปงั้นแหละ ท่านให้ข้าเกิดมามีรูปลักษณ์เช่นนี้ไม่พอ ยังทำให้ข้ามาเป็นเด็กกำพร้าอีก โชคดีแค่ไหนที่ข้าได้พบกับท่านพี่” ไป๋ฮวาใส่ยับไม่เกรงกลัวฟ้าดิน
“การที่เจ้าได้เจอกุ้ยเหริน ล้วนเป็นโชคชะตา” เด็กหญิงเดาะลิ้น
“โชคชะตา? โชคชะตาที่ข้าไม่ได้ต้องการงั้นหรือ? ชาติที่แล้วท่านฆ่าข้า พรากข้าไปจากพี่ฉีหมิง ข้าก็ว่าแย่แล้ว หากท่านไม่รับปากเรื่องชีวิตพี่ฉีหมิง ป่านนี้ข้าไม่ยอมมาเกิดใหม่เช่นนี้หรอก แล้วนี่อะไร ให้ข้าเกิดมาเป็นโรคผิวเผือก ถูกหาว่าเป็นปีศาจร้าย จะออกไปช่วยท่านพี่ทำงานก็ไม่ได้ รังแต่จะเป็นภาระ” พระเจ้านิ่งฟัง ก่อนจะเอ่ยอย่างใจเย็น
“แม้ในวันนี้เจ้าไม่พอใจ แต่ในอนาคตเจ้าจะเข้าใจเอง ว่าข้าทำเช่นนี้ไปเพื่ออันใด” ความนิ่งของพระองค์มิได้ลดโทสะของไป๋ฮวาแม้แต่น้อย พระเจ้ายื่นถุงผ้าในมือให้กับไป๋ฮวา
“นี่คือหลุมมิติที่สามารถดึงของจากโลกเดิมออกมาได้ ตามที่เจ้าขอ” ไป๋ฮวาเปิดกระเป๋าออกดู พบว่ากระเป๋าใบนี้สามารถเปิดปากได้กว้างกว่าที่เธอคิดหลายเท่า ทั้งข้างในยังมีสีดำสนิทไร้ก้นกระเป๋า
“ปากถุงกว้างแค่นี้แล้วข้าจะเอามอเตอร์ไซค์ออกมาได้ยังไง?”
..เล่นมอเตอร์ไซค์ในยุคนี้เลยเหรอ?
พระเจ้านึกปวดหัว
“เพราะข้อจำกัดข้าจึงทำได้เพียงขนาดหนึ่งรอบโอบ ได้ขนาดนี้ก็นับว่าใหญ่มากแล้ว” พระเจ้าเหนื่อยอ่อน กว่าพระองค์จะสร้างของที่ละเมิดกฏเกณฑ์ของโลกได้ก็นับว่าเหนื่อยนัก
“แล้วของมีข้อจำกัดอะไรอีก” ไป๋ฮวาถามอย่างรู้ทัน พระเจ้าจึงต้องอธิบายสรรพคุณและข้อจำกัดทั้งหมด
“ไม่สามารถดึงสิ่งมีชีวิตออกมาได้ กระเป๋าใบนี้นอกจากเจ้าและเหออยู่ร์หาน ไม่มีใครใช้ได้ ทั้งยังไม่สามารถทำลายได้” ไป๋ฮวารูดปากถุงให้มีขนาดพอดี ก่อนจะล้วงมือเข้าไป แล้วเงยหน้าถามพระเจ้า
“อย่าคิดนะว่าข้าไม่รู้ว่าท่านได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องอะไร” พระเจ้าเหงื่อแตกและหลบสายตา สิ่งแรกที่ไป๋ฮวาหยิบออกมาจากกระเป๋าคือกระจกขนาดเหมาะมือ
ไป๋ฮวายกกระจกส่องแต่ล่ะมุมของใบหน้า เกิดมาชาตินี้เธอไม่เคยเห็นใบหน้าตัวเองชัดเจนขนาดนี้มาก่อน ปกติก็มีแต่มองผ่านน้ำที่สะท้อนเป็นภาพ
“หน้าไม่เห็นเหมือนชาติก่อนเลย” ไป๋ฮวาบ่น จะว่าใบหน้านี้งดงามก็ไม่ได้งดงามขนาดต้องตา ดูจะขี้โรคเสียมากกว่า เห็นแล้วรู้สึกป่วยเลย
“ย่อมเป็นเช่นนั้น พ่อแม่ในชาติก่อนกับชาตินี้ของเจ้าเป็นคนล่ะคน เจ้าเกิดมาย่อมมีใบหน้าที่แตกต่าง”
หรือต้องให้ข้าทวนเรื่องยีนและโครโมโซมให้เจ้าฟัง?
พระเจ้าคิดในใจ แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยไป
“แล้วฮองเฮาหลิว..ไม่สิ ข้าในชาติแรกมีใบหน้าเช่นไร?” ไป๋ฮวาหันไปถาม พระเจ้านิ่งคิดก่อนจะตอบว่า
“เรื่องนี้เจ้าควรไปถามอยู่ร์หานเองเสียมากกว่า”
“ข้าถามท่านไม่ได้ถามอยู่ร์หาน” ไป๋ฮวายอกย้อนทันใด จนทำให้พระเจ้าเริ่มไม่พอใจ
“หรงหรง เจ้าชักจะบังอาจมากเกินไปแล้วนะ” ไป๋ฮวายังคงนิ่ง
“ท่านจะฆ่าข้าอีกหรือไง?” เธอถามด้วยสายตาที่ชิงชัง พระเจ้าถอนหายใจ พยายามระงับโทสะ สิ่งที่ไป๋ฮวาต้องเจอนั้นหนักหนา หากแต่นี่เป็นสิ่งที่เธอต้องพบเจอ เพื่อนำพาโชคชะตาของใครบางคน
“ข้าไม่อยู่โต้เถียงกับเจ้าแล้ว แต่สักวัน เจ้าจะต้องขอโทษและขอบคุณข้า” ร่างของพระเจ้าค่อยๆ จางหายไป ทิ้งเด็กสาวหน้าบูดไว้เพียงคนเดียว
ไป๋ฮวาทรุดตัวลงนั่ง ก่อนจะหยิบผักและเครื่องปรุงในโลกเดิมออกมาจากกระเป๋า เพื่อปรุงอาหารเลิศรสให้กับกุ้ยเหรินได้ลิ้มลอง
เอาล่ะ! ได้เวลาแสดงฝีมือสักที
ไป๋ฮวาถลกแขนเสื้อที่รุ่มร่ามขึ้น ก่อนจะแล่กระต่ายที่กุ้ยเหรินหามาได้เป็นชิ้นเล็กพอดีคำ ทั้งยังหั่นหอมใหญ่ แครอท และมันฝรั่งเป็นชิ้นๆ เตรียมลงกระทะ
เด็กหญิงใส่เนื้อกระต่ายลงไปในจานกระเบื้อง พร้อมพริกไทยและเกลือ คลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วจึงทิ้งไว้เพื่อหยิบเตาแก๊สขนาดพกพา กระทะ และน้ำมันออกมาจากกระเป๋า
เธอเทเนื้อในชามลงไปผัดจนสุกทั่วเป็นสีขาวดูน่าทาน กลิ่นหอมของเนื้อลอยคลุ้งไปทั่วกระท่อมน้อย ไป๋ฮวาสูดกลิ่นมันอย่างชื่นใจ แล้วจึงนำเนื้อไปพักในจาน ใส่หอมใหญ่ แครอท และมันฝรั่งลงไปผัดจนสุกประมาณหนึ่งในกระทะ แล้วจึงเติมน้ำลงไปในกระทะ พร้อมเนื้อกระต่ายเมื่อครู่ คนให้เข้ากันปิดฝาแล้วจึงยกนาฬิกาจับเวลามาตั้งไว้ที่ยี่สิบนาที
เมื่อผักเริ่มนิ่มไป๋ฮวาจึงเทนมลงไป และนำเนยมาคลุกกับแป้ง แล้วเติมน้ำซุปลงไปเล็กน้อยเพื่อให้แป้งเนียน แล้วจึงใส่ลงไปในกระทะ เมื่อเข้ากันดีจึงชิมรสและปรุงรสชาตินิดหน่อย
โอ้ยยยย นี่แหละรสชาติที่รอคอยมาสิบปี!!
ไป๋ฮวาภาคภูมิใจในผลงานของตน แม้จะไม่ได้ทำอาหารมานาน แต่ดูท่ามือยังไม่ตกมาก
ประตูเปิดออกพร้อมกุ้ยเหรินที่เดินเข้ามา นางทำจมูกฟุดฟิดพร้อมกับกลืนน้ำลายอึกใหญ่
“ไป๋ฮวาเจ้าทำอะไรน่ะ เหตุใดจึงมีกลิ่นหอมเช่นนี้ ล..แล้ว..แล้วนั่นมันภาชนะอะไร!” กุ้ยเหรินดมกลิ่นหอม ทว่าเมื่อมองมาก็ต้องตะลึงกับภาชนะงามที่อยู่บนพื้น นางรีบวางถังน้ำลงแล้วเดินมาดูชามกระเบื้องทันที
“ก็แค่ภาชนะธรรมดาๆ น่ะ ไม่มีอะไรนักหรอก” กุ้ยเหรินรีบส่ายกับคำที่ไป๋ฮวาเอ่ยทันที
“ไม่ นี่ไม่ใช่ถ้วยชามธรรมดาๆ แน่ งานประณีตขนาดนี้ ทั้งยังลวดลายบนชามที่เหมือนกันราวกับจับวาง.. นี่ไม่ใช่ของที่ชาวบ้านอย่างเราจะมีได้เลย” กุ้ยเหรินตะลึง ไป๋ฮวากระพริบตาปริบๆ ก่อนจะดึงชามจำนวนหนึ่งออกมาจากกระเป๋า ทำเอากุ้ยเหริน
“งั้นท่านพี่ก็เอานี่ไปขายแล้วกัน” ไป๋ฮวาเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
“จ..เจ้า..เอ๋.. ท..ทำไมล่ะ ทำไมเจ้าเอาของออกมาจากถุงผ้าเล็กๆ นั่นได้ แล้ว..แล้วเจ้าไปเอาถุงนั้นมาจากไหน?!” กุ้ยเหรินเรียบเรียงเหตุการณ์ไม่ถูก เธอแค่ไปตักน้ำไม่นาน มันเกิดเรื่องอะไรกันเนี่ย!!
“นี่เป็นกระเป๋าวิเศษน่ะ เมื่อครู่มีชายเฒ่าผู้หนึ่งให้ข้ามา แลกกับน้ำหนึ่งแก้ว” ไป๋ฮวาสร้างเรื่อง
“น้ำหนึ่งแก้วกับกระเป๋าเนี่ยนะ?” กุ้ยเหรินเชื่อไม่ลง
“ข้าเองก็ไม่รู้ รู้แต่ชายคนนั้นเห็นข้าก็เรียกแต่เทพธิดา” ไป๋ฮวายกมือเอาผมทัดหูแบบสวยๆ
“งั้นก็อาจเป็นไปได้ ก็เจ้างดงามราวกับเทพธิดาเลยนี่” อ๊ายยยย คุณพี่ขา หนูเขินนนน
กุ้ยเหรินหัวเราะกับใบหน้าขึ้นสีของไป๋ฮวา เด็กหญิงผิวขาวตัวน้อยจึงต้องรีบเปลี่ยนมาตักซุปในพี่สาวตัวเองแทน
“แล้วนี่คืออะไรงั้นหรือ” กุ้ยเหรินเขยิบมาใกล้กระทะ มองวัตถุแปลกประหลาดด้วยความไม่เข้าใจ ทั้งยังเอื้อมมือจะแตะดู
“ห้ามแตะนะ!” ไป๋ฮวารีบร้องห้าม ทำเอาอีกฝ่ายสะดุ้งโหยง
“ทำไมล่ะ?” กุ้ยเหรินเงยหน้าถาม ไป๋ฮวาถอนหายใจ
“กระทะมันร้อน เดี๋ยวจะลวกมือท่านเอา” เธอตอบขณะยกชามอีกใบมาตักซุป แล้วจึงหยิบใบพาสลี่ย์ออกมาจากกระเป๋า เด็ดโปรยลงบนชาม
“นี่คืออะไรน่ะ?” กุ้ยเหรินมองใบพาสลี่ย์ด้วยความสนใจ
“ใบพาสลี่ย์ ใช้สำหรับประดับตกแต่งอาหาร ให้กลิ่นหอมอ่อนๆ แต่สำหรับข้ามันไม่ค่อยอร่อยหรอก” ไป๋ฮวาอธิบาย ก่อนส่งชามสตูว์ให้กุ้ยเหรินหนึ่งชาม พร้อมกับช้อนเหล็กหนึ่งคัน กุ้ยเหรินดูจะตกใจกับช้อนเหล็กนัก แต่ก็ถูกไป๋ฮวายกมือห้ามไม่ให้ถามอะไรต่อ
“ท่านลองกินดูสิ” เธอเอ่ย กุ้ยเหรินจึงใช้ช้อนตักไก่ในชามขึ้นมาดม กลิ่นของมันช่างหอมนัก ท้องน้อยๆ ของเธอเริ่มประท้วงให้ตักมันเข้าปาก เด็กหญิงวัยสิบสามปีไม่รีรอ รีบนำมันเข้าปาก
รสชาติละมุนลิ้นทำเอากุ้ยเหรินตะลึง เนื้อกระต่ายแม้จะเหนียวเล็กน้อย แต่ก็เป็นรสหวานของเนื้อ ทุกครั้งที่กัดลงไปรสชาติของเนื้อจะผสานกับน้ำซุปที่หวานมัน
“อร่อย!!” กุ้ยเหรินเอ่ยชมออกมาอย่างไม่ขาดปาก ทั้งยังรีบตักคำต่อๆ ไปเข้าปาก ไป๋ฮวายิ้มดีใจกับรอยยิ้มของพี่สาว
“ท่านพี่ ท่านค่อยๆ กินเถอะ ยังเหลืออีกเยอะนัก” แล้วก็ช่วยสำรวมท่าทางการกินด้วย!
ไป๋ฮวามองกุ้ยเหรินยิ้มๆ ก่อนจะตักอาหารในจานเข้าปาก
อา..นี่แหละ นี่แหละสวรรค์! ข้าไม่ต้องทนกินเนื้อจืดๆ คาวๆ อีกต่อไปแล้วว
“ขอเติมอีก!” เด็กสาวผิวเผือกลิ้มรสอาหารในจานได้ไม่นาน ก็ต้องหันมาเติมสตูว์ให้พี่สาว
“ไป๋ฮวา เจ้านี่เรียกว่าอะไรงั้นหรือ” กุ้ยเหรินถาม พลางใช้แขนเสื้อเช็ดปาก ท่าทางไม่สมหญิงของเธอทำให้ไป๋ฮวาต้องดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋าวิเศษ แล้วเช็ดปากให้กับพี่สาว
“ครีมสตูว์กระต่ายน่ะ แล้วก็ท่านพี่ ท่านหัดรักษามารยาทบ้าง อย่าไปกินอย่างนี้ที่ไหนเชียวนะ” ไป๋ฮวาเอ็ด
“ไม่เห็นเป็นอะไรเลย ผู้ชายเขาก็กินอย่างนี้ทุกคน” กุ้ยเหรินเถียง ไป๋ฮวากรอกตามองบน
“นั่นมันผู้ชาย แต่ท่านเป็นหญิง ต่อให้ท่านจะทำตัวเป็นชาย แต่ท่านก็เป็นหญิง อย่างน้อยเวลาอยู่กับข้าก็ไม่ต้องทำทีเหมือนชาย” กุ้ยเหรินถอนหายใจ ก่อนพองแก้มทำท่าแง่งอน
“ก็ได้ๆ เจ้าพอใจหรือยังล่ะ ข้าจะรักษามารยาท ข้าจะเป็นกุลสตรีต่อหน้าเจ้า” ไป๋ฮวาพยักหน้าพึงพอใจ ก่อนจะยื่นชามกลับไปให้กุ้ยเหริน นางรีบคว้ามาทันที ก่อนจะถูกดวงตาสีครามวาววับเป็นสีแดงดุเอา
“ท่านพี่!!” เด็กหญิงผิวเผือกพ่นลมหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนกับพี่สาวบุญธรรมที่สัญญาได้ไม่กี่วิก็ผิดคำพูด ดวงตาคู่น้อยเหลือบไปมองจานชามก่อนจะนึกในใจ
ถึงข้าจะขอพรว่า ขอหลุมมิติที่หยิบของออกมาจากโลกเดิมได้ แต่พระเจ้าก็คงไม่ให้ข้าหยิบของออกมาจากโลกเดิมได้จริงหรอก ไม่เช่นนั้นคงเป็นเรื่องปั่นป่วนกันไปหมด
ค่ำวันนั้น หลังจากที่กุ้ยเหรินหลับไป ไป๋ฮวาจึงลุกขึ้นมา แล้วล้วงเข้าไปในกระเป๋า เพื่อหยิบโทรศัพท์เครื่องเดิมในชาติก่อนของเธอออกมา แล้วจึงนอนกดโทรศัพท์อยู่ข้างๆ กระเป๋าที่เปิดอยู่ แม้เน็ตจะไม่แรงมาก แต่ก็พอใช้ได้ ไป๋ฮวาไล่หาเรื่องโรคผิวเผือกในอินเตอร์เน็ต ยิ่งได้อ่านเธอก็ยิ่งมั่นใจ ว่าโรคที่เธอเป็นคือโรคนี้
ในคราแรกไป๋ฮวาคิดจะย้อมผมให้เป็นสีดำ แต่ในตำรากลับบอกว่าห้ามย้อมผมโดยเด็ดขาด ทำให้เธอต้องจำใจหยิบวิกผมสีดำออกมามากมายเพื่อเลือกวิกที่คล้ายกับทรงผมปัจจุบัน ต่อมาจึงหยิบกล่องคอนเทคเลนส์สีดำอันใหม่ออกมาจากกระเป๋า แต่ยังไม่ใส่มัน
เช้าเมื่อไรค่อยทำทีเป็นว่าหายจากอาการผิดปกติ จะได้ออกไปช่วยท่านพี่ทำงาน!