บทที่ 9 มีดเสียง (1)
บทที่ 9 มีดเสียง (1)
เวทมนตร์สายจิตวิญญาณไม่เหมือนกับเวทมนตร์ประเภทอื่นๆ ก่อนอื่นต้องสร้างพลังจิตของตนให้แข็งแกร่ง แล้วจึงแสดงออกมาผ่านวิธีการเฉพาะ สามารถส่งผลกระทบต่อจิตวิญญาณของคู่ต่อสู้ในด้านต่างๆ หากพูดว่าเวทมนตร์กลุ่มธาตุมีไว้เพื่อทำลายร่างกายของคู่ต่อสู้ ถ้าอย่างนั้น เวทมนตร์พลังจิตก็มีไว้เพื่อทำลายวิญญาณของคู่ต่อสู้
การใช้เสียงพิณฝึกฝนพลังจิตของตนเอง แล้วจึงปลดปล่อยพลังจิตของตนเองผ่านเสียงพิณ ใช้คุณสมบัติพิเศษของเพลงพิณที่แตกต่างสร้างคลื่นพลังจิตที่แตกต่างเพื่อโจมตีหรือสนับสนุน นี่คือความมหัศจรรย์ของมนต์พิณ
ในป่าไผ่ที่เงียบสงัด บทเพลงอันทุ้มลึกนุ่มนวลและผ่อนคลายดังกังวานอย่างต่อเนื่อง เย่อินจู๋ที่อายุหกปี นอกจากการฝึกฝนพลังยุทธ์ก็คือการเรียนพิณ หัวใจพิณพิสุทธิ์ ทำให้เวลาที่เขาทำอะไรก็ตามล้วนไม่เกิดความฟุ้งซ่านใดๆ เพลงพิณ ‘ธารเขียว’ บรรเลงครั้งแล้วครั้งเล่า กาลเวลาที่เดินผ่านไปราวกับไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา ทั้งร่างดำดิ่งอยู่ท่ามกลางความมหัศจรรย์ของเพลงพิณอย่างสิ้นเชิง
เมื่อได้รับผลกระทบจากเสียงพิณ ในป่าไผ่เริ่มมีสัตว์เล็กชนิดต่างๆ เข้ามารวมตัวกัน แม้พวกมันแค่กล้ามองจากที่ไกลๆ แต่เห็นได้ชัดว่าเริ่มเคลิบเคลิ้มไปกับเพลงพิณของเย่อินจู๋แล้ว
“หือ? เจ้าเป็นใคร?” ตอนที่ฉินซางถือตอกไผ่ใส่อาหารกลับออกมาหน้ากระท่อมไม้ไผ่อีกครั้งจู่ๆ ก็อุทานออกมาเบาๆ เสียงพิณหยุดกึกทันที อินจู๋ลืมตาทั้งคู่ขึ้น สายตามองไปตามฉินซางอย่างสงสัยใคร่รู้
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ด้านข้างของอินจู๋ห่างออกไปห้าเมตร มีเด็กชายคนหนึ่งนั่งยองอยู่ตรงนั้น กำลังนั่งเหม่อลอยอยู่ตรงนั้น มองเย่อินจู๋ที่กำลังดีดพิณ เด็กชายคนนี้ดูเผินๆ น่าจะอายุใกล้เคียงกับเย่อินจู๋ เขางดงามเทียบอินจู๋ไม่ได้ แต่เค้าโครงบนใบหน้ากลับทำให้รู้สึกว่าแข็งกร้าว เขาเป็นแค่เด็กเท่านั้นเอง! สิ่งที่ทำให้ประหลาดใจที่สุดคือเขามีผมสีม่วงทั้งหัว ผมสีม่วงที่ดูพิเศษอย่างยิ่ง สีผมแบบนี้หาได้ยากยิ่งในหมู่มวลมนุษย์
พอได้ยินเสียงของฉินซาง เด็กชายก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา สายตาเหม่อลอยในตอนแรกฉายแววเป็นศัตรูอย่างแรงกล้า รอคอยฉินซาง สองหมัดกำแน่นพลางเม้มปาก แต่กลับไม่พูดอะไรสักคำ
อินจู๋วิ่งไปอยู่ข้างฉินซางอย่างตื่นเต้น รับตอกไผ่มาแล้วหัวเราะพลางกล่าวว่า “ปู่ฉิน ท่านดูสิ เสียงพิณของข้าเรียกคนมาได้ด้วย” เขาพูดพลางหยิบหน่อไม้สดที่ปอกเปลือกเรียบร้อยแล้วยื่นไปตรงหน้าเด็กชายผมม่วงคนนั้น “สวัสดี เชิญเจ้ากินเลย”
สายตาของเด็กชายผมม่วงเบนจากฉินซางมายังใบหน้าที่ระบายไปด้วยรอยยิ้มอันบริสุทธิ์ของอินจู๋ สีหน้าค่อยๆ เปลี่ยนไป สองหมัดที่กำแน่นคลายออกช้าๆ ก่อนรับหน่อไม้จากมือของอินจู่แล้วพยักหน้าให้เขา ไม่รอให้ฉินซางเอ่ยถามอีกครั้ง จู่ๆ ก็หันหลังวิ่งออกไป พริบตาเดียวมุดหายเข้าไปในป่าไผ่แล้ว
พอมองตามหลังเด็กชายผมม่วงจนลับหายไป ฉินซางก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ ด่านหลงทิศของสำนักไผ่ไม่ได้ผลแล้วหรืออย่างไร ดูไปแล้วเหมือนเด็กคนนั้นจะมีเจตนาเป็นศัตรูอย่างยิ่งกับเรา แต่พอมองอินจู๋กลับผ่อนคลายลง? หรือว่าถูกเสียงพิณของอินจู๋ดึงดูดมาจริงๆ? เขาเป็นแค่นักเวท จะให้ไล่ตามก็คงไม่มีทางไล่ทัน จึงทำได้แค่ปล่อยเด็กคนนั้นไป
กลางวันดีดพิณ กลางคืนฝึกฝนพลังยุทธ์ท่ามกลางเสียงพิณของฉินซาง นี่คือชีวิตอันเรียบง่ายของเย่อินจู๋ ทว่าตั้งแต่เด็กชายผมม่วงปรากฏตัวขึ้น ชีวิตอันเรียบง่ายของเขาก็เพิ่มเติมสีสันเข้ามาเล็กน้อย
ตอนเช้าของทุกวัน ตอนที่เย่อินจู๋เริ่มดีดพิณ เด็กชายผมม่วงคนนี้ก็จะปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบๆ นั่งอยู่ด้านข้างพลางนิ่งฟังเขาดีดพิณ มีผู้ฟังสักคนอย่างนี้ ช่วงเวลาฝึกพิณของอินจู๋ก็ดูเหมือนจะไม่โดดเดี่ยวอีกแล้ว
นับตั้งแต่เด็กชายผมม่วงปรากฏตัวครั้งแรกเป็นต้นมาก็ไม่เคยพูดจากับใครเลย ตอนที่มีอินจู๋อยู่แค่คนเดียวสีหน้าของเขาจะสงบนิ่งมาก แต่ขอเพียงแค่เป็นตอนที่ฉินซางอยู่ด้วยหรือพ่อแม่และปู่ของอินจู๋มาเยี่ยมเขา เด็กชายผมม่วงก็จะจากไปทันที
เย่ฉงเคยแอบตามเด็กชายผมม่วงไปเงียบๆ อยากดูสักหน่อยว่าเขามาจากที่ไหนกันแน่ แต่กลับรู้แค่ว่าเด็กชายผมม่วงคนนี้อาศัยอยู่ในทะเลโพรงมรกตเช่นเดียวกัน ห่างจากบริเวณที่อินจู๋ฝึกพิณไปไม่ถึงสองกิโลเมตร ดูไปแล้วเขาไม่ต่างอะไรจากเด็กทั่วไป หน่อไม้ในป่าไผ่คืออาหารของเขา เด็กหนุ่มผมม่วงผู้เดียวดายและเย็นชาค่อยๆ ได้รับการยอมรับจากทุกคน ถึงอย่างไรเขาก็ไม่พูดกับอินจู๋ ย่อมไม่ส่งผลกระทบต่อการฝีกฝนหัวใจพิณพิสุทธิ์ของอินจู๋ ดังนั้นฉินซางและครอบครัวของอินจู๋จึงยอมรับการมีอยู่ของเขา เวลาที่อินจู๋พักผ่อนก็มักจะพุดคุยกับเขา เอาเสื้อผ้าของตัวเองมาให้เขาใส่ เอาอาหารที่พ่อแม่ส่งมาให้เขากิน เด็กชายผมม่วงเพียงแค่รับไปเงียบๆ แต่ยังคงไม่พูดอะไรสักคำ ทว่าสายที่เขามองอินจู๋นับวันก็ยิ่งอ่อนโยนลงเรื่อยๆ
ฤดูใบไม้ผลิผ่านไปฤดูใบไม้ร่วงเวียนมา พริบตาเดียวก็ผ่านไปสิบปีแล้ว เด็กน้อยผู้งดงามได้เติบโตขึ้นเป็นเด็กหนุ่มผู้หล่อเหลา หน้าตาของอินจู๋คล้ายคลึงกับเย่ฉงผู้เป็นพ่อถึงหกในสิบส่วน แต่กลับได้รับความอ่อนโยนมาจากแม่ เขาที่อายุสิบหกปีมีส่วนสูงประมาณหนึ่งร้อยแปดสิบเซ็นติเมตร รูปร่างสมส่วน สวมเสื้อคลุมสีขาวที่ใส่เป็นประจำ แล้วยังมีเส้นผมสีดำที่ห้อยปรกลงมา มองอย่างไรก็ดูเป็นเด็กหนุ่มที่หล่อเหลา
“เจ้าม่วง เจ้าม่วง เจ้าอยู่ที่ไหน?” เย่อินจู๋ในเสื้อคลุมยาวสีขาวเดินหน้าไปพลางตะโกนเรียกเสียงดังไปพลาง น้ำเสียงก้องใสดังกังวานอยู่ในป่าไผ่ ประหนึ่งเสียงพิณล่องลอยเวียนวน
อินจู๋ร้องเรียกอยู่นานสองนานก็ไม่มีใครตอบ จึงต้องหยุดฝีเท้าอย่างช่วยไม่ได้ก่อนพึมพำกล่าวว่า “เจ้าม่วงไปไหนแล้วล่ะ? ทำไมไม่เจอตัวเลย” แววตาทอประกาย บนใบหน้าเผยรอยยิ้มบางๆ “เสร็จล่ะ” เขาพูดพลางนั่งลงขัดสมาธิกับพื้น แสงสีเงินบนนิ้วกลางข้างซ้ายสว่างวาบ ทันใดนั้น พิณโบราณตัวหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศตรงหน้าเขา ตัวพิณเรียบง่ายกลมกลึง ตัดจากไม้พอโลเนีย สีเหลือง เนื้อเบาเก่าแก่ สีเปลือกเกาลัดอ่อน ลวดลายท้องงู ปุ่มเปลือกหอย ช่องเสียงใหญ่เป็นวงกลม ช่องเสียงเล็กเป็นวงรี ช่องเสียงใหญ่ช่องรับเสียงนูนเล็กน้อย ขาห่านทำจากหินโมราสีแดงเข้ม
ขณะที่เขามองพิณโบราณตัวนี้ สายตาอ่อนโยนและแจ่มใสพลันฉายแววหลงใหลขึ้นมาเล็กน้อย “เพลง ‘ด่านสุริยันสามท่อน’ กำลังจะบรรเลงโดยพิณหยกดาวดึงส์ที่เรียบง่ายสมส่วนตัวนี้ ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะไม่ออกมา”
สองมือแปดนิ้วลูบสายพิณแผ่วเบา ทันใดนั้นเสียงพิณอันเศร้าสร้อยจับใจก็ลอยแว่วออกมา นี่คือบทเพลงแทนการลาจาก เมื่อเสียงพิณดังขึ้น ในเวลาเพียงชั่วพริบตาอินจู๋ก็ตกอยู่ในห้วงแห่งเสียงพิณอย่างสิ้นเชิง
ประกายแสงสีแดงเข้มโอบล้อมรอบตัวเขาช้าๆ ก่อเกิดเป็นคลื่นเสียงกระจายไปรอบด้านวงแล้ววงเล่า ทะเลโพรงมรกตไม่มีสัตว์ใหญ่ แต่คราวนี้บรรดานกที่โบยบินและสัตว์เล็กทุกตัวกลับมุ่งหน้ามายังทิศทางของอินจู๋โดยเร็วที่สุดเพื่อรวมตัวกัน เพียงครู่เดียวเสียงกู่ร้องหวนไห้ของบรรดาสัตว์ทั้งหลายก็ดังขึ้นไม่หยุดหย่อน ส่วนบริเวณรอบตัวอินจู๋ก็ค่อยๆ คึกคักขึ้นมา
‘ด่านสุริยันสามท่อน’ ได้ชื่อมาจากการใช้ท่วงทำนองเดียวบรรเลงซ้ำสามครั้ง ความหมายของเพลงเปี่ยมไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ที่ต้องลาจากกับผองเพื่อน เสียงพิณเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกอาลัย ในหัวของอินจู๋ปรากฏภาพทุกสิ่งทุกอย่างระหว่างที่ตัวเองอาศัยอยู่ในทะเลโพรงมรกตตลอดเวลาสิบหกปี ภายในดวงตาอดไม่ได้ที่จะทอแววโศกเศร้าจางๆ ทำให้บุคลิกสง่างามของเขาแลดูเศร้าซึมขึ้นมาเล็กน้อย
เพลง ‘ด่านสุริยันสามท่อน’ จบลงท่ามกลางความสะเทือนใจ สองมือของอินจู๋กดสายพิณให้เสียงก้องกังวานกระจายหายไปจนหมดสิ้น ก่อนกล่าวขึ้นอย่างเศร้าใจเล็กน้อยว่า “ขอโทษทีสหายทั้งหลาย ข้าต้องไปจริงๆ แล้ว แต่ข้าจะกลับมาหาพวกเจ้าแน่นอน ข้าก็ไม่อยากไปหรอก แต่ปู่ทั้งสองคนบอกว่าข้าจำเป็นต้องออกไปดูโลกข้างนอกสักหน่อย เพลงเพลงนี้ก็ถือว่าเป็นการบอกลาพวกเจ้าแล้วกันนะ”
เงาร่างสูงใหญ่ปรากฏขึ้นข้างหลังอินจู๋ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ พอฟังอินจู๋พูดแล้ว สีหน้าบนใบหน้าเขาก็อดแข็งทื่อขึ้นมาไม่ได้ ก่อนจะยกมือขวาของตัวเองขึ้นไปจับบ่าของอินจู๋โดยไม่รู้ตัว
……………………………………….