บทที่ 9 ครอบครองโลกทั้งใบ
บทที่ 9 ครอบครองโลกทั้งใบ
“โอ้ว~ ในที่สุด ‘พอนทัส’ ที่อ่อนแอที่สุดในประวัติศาสตร์กับขยะชิ้นใหม่ที่เธอเก็บมาได้ก็มาถึงแล้ว!”
สือเสี่ยวไป๋ที่อยู่หน้าประตูได้ยินเสียงแหลมเล็กที่เต็มไปด้วยน้ำเสียงเสียดสี แต่เพียงครู่เดียวก็ได้ยินเสียงใสดั่งระฆังของหลี่จือโต้กลับ
“หึ พอนทัสที่อ่อนแอที่สุด ก็ยังคงเป็นพอนทัสที่ขยะบางตัวเป็นไม่ได้ เลยทำได้แค่อิจฉาตาร้อน เอาแต่เห่าเป็นสุนัขจรจัด”
“อะไรนะ เธอด่าใครว่าเป็นสุนัขจรจัดห๊า ที่เธอได้เป็นพอนทัส ก็เพราะเป็นลูกศิษย์ของท่านอีเฉวียนไม่ใช่เหรอ ไม่เช่นนั้นดูจากลำดับผู้กล้าของเธอแล้วจะมาเป็นพอนทัสได้อย่างไร?”
“เหอะ ปัจจุบันอาจารย์อีเฉวียนก็รับฉันเป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียว แค่นี้ก็อธิบายทุกอย่างแล้ว ลำดับผู้กล้าก็แค่ปัญหามาก่อนมาหลัง ไม่นานฉันก็จะข้ามหน้าสุนัขจรจัดแบบเธอแล้ว”
......
เสียงแหลมเล็กนั้นกับเสียงหลี่จือผลัดกันยิงโต้ตอบไปมา อบอวลไปด้วยกลิ่นดินปืน
สือเสี่ยวไป๋ก้าวเข้ามาด้านในอย่างเชื่องช้า พร้อมตกตะลึงกับฉากด้านในอยู่ครู่หนึ่ง พื้นที่ในห้องนั้นกว้างขวางมาก ประดับตกแต่งด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกแปลกตา ที่นั่งขนาดมหึมาสองแถวตั้งอยู่ทางด้านซ้ายและขวาของห้อง ตั้งวางไว้เหมือนขั้นบันไดจากด้างล่างขึ้นไป ที่นั่งด้านซ้ายมีคนนั่งกระจัดกระจายอยู่ 3 คน
และในเวลานี้กลางห้องมีคนทั้งสี่ยืนอยู่ หลี่จือกำลังทำสงครามน้ำลายกับผู้หญิงชุดแดงคนหนึ่ง มีชายหนุ่มอีกสองคนยืนอยู่ถัดไป คนหนึ่งรูปร่างหล่อเหลา สองแขนกอดอกด้วยท่าทางเพลิดเพลินเหมือนกำลังดูละครสนุกๆ อยู่ ส่วนอีกคนรูปร่างแข็งแรงกำยำ วาดมือทั้งสองไปมาไม่หยุด หน้าตาแสดงออกถึงความรำคาญเป็นอย่างมาก
ด้านในของห้องมีเวทีอันหนึ่งคล้ายเวทีโพเดี้ยมในห้องเรียน บนเวทีมีผู้อาวุโสสามคนนั่งอยู่ ชายสูงอายุหนึ่ง ชายวัยกลางคนหนึ่ง และหญิงวัยกลางคนอีกหนึ่ง พวกเขาต่างมองไปอีกทางดูแล้วไม่มีท่าทีจะห้ามปรามการทะเลาะของคนทั้งสองเลยแม้แต่น้อย
สือเสี่ยวไป๋เดินไปหาหลี่จืออย่างช้าๆ ราวกับว่าไม่มีใครเห็นการมาเยือนของเขา หรือพูดอีกอย่างว่าเห็นแต่ไม่มีใครสนใจการมาของเขา
และในเวลานี้เอง หญิงชุดแดงพลันกล่าวเสียงแหลม “พอแล้ว ใครจะไปรู้ว่าเธอกับท่านอีเฉวียนอาจจะทำธุรกิจสกปรกอะไรด้วยกันอยู่ก็ได้? ใครจะไปรู้บางทีเธออาจขายตัวแลกกับการได้เป็นลูกศิษย์ท่านอีเฉวียนก็ได้?”
เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา ทำเอาคนทั้งลานเงียบไปหนึ่งวินาที
“เพี๊ยะ” เสียงฝ่ามือดังก้องกังวานขึ้น
“หุบปาก” เสียงสบถด่าทอหลายเสียงดังขึ้นพร้อมๆกัน
ผู้อาวุโสทั้งสามบนเวทีต่างพากันลุกขึ้นยืน
ชายวัยกลางคนกล่าวตำหนิ “มู่หงลี่ เธอรู้หรือไม่ว่าคนที่เอ่ยถึงนั้นเป็นใคร?”
หญิงวัยกลางคนกล่าวเสียงแหลม “ท่านอีเฉวียนเป็นคนที่เธอจะบังอาจวิจารณ์ได้อย่างนั้นหรือ?”
ชายสูงวัยกล่าวเสียงเคร่ง “ท่านอีเฉวียน ไม่ควรถูกสบประมาท”
หลี่จือที่สะบัดมือตบหน้าไปฉาดหนึ่งพลันระบายลมหายใจออกมา กล่าวเสียงเย็นชา “มู่หงลี่ กลับไปทบทวนให้ดีว่าตัวเองได้พูดอะไรออกไป
ใบหน้าขาวสวยของมู่หงลี่ประทับด้วยรอยฝ่ามือแดงจ้ำบวมเปล่ง นัยน์ตาใสคลอด้วยม่านน้ำตาชั้นหนึ่ง ก้มหน้ากล่าวเสียงสั่นเครือ “ฉัน...ฉันจะไปกล่าวขออภัยกับท่านอีเฉวียนด้วยตัวเอง”
จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมาจ้องยังหลี่จืออย่างเกลียดชัง กล่าวเสียงเย็นชา “แต่อย่างไรฉันก็ไม่มีทางยอมรับคุณสมบัติการเป็นพอนทัสของเธออย่างแน่นอน อีกอย่างอย่าได้ลืมการเดิมพันของเราเสียล่ะ”
มู่หงลี่กล่าวจบก็หันกายกลับ พลันเหลือบเห็นใบหน้าโง่เขลาของสือเสี่ยวไป๋ด้านหลังหลี่จือเข้า ก็พลอยเกลียดขี้หน้าเขาไปด้วย ถลึงตาร้ายกาจใส่เขาครั้งหนึ่ง แล้วจึงเดินกลับไปยังที่นั่งด้านขวาของห้องอย่างรวดเร็ว
หนุ่มหล่อส่ายหน้าอย่างค่อนข้างจะเสียดายแล้วเดินกลับไปยังด้านขวาของห้องเช่นเดียวกัน ตามมาด้วยชายหนุ่มร่างกำยำผู้นั้นก็พลอยส่ายหน้าติดตามไปเช่นกัน
“สาวน้อย เธอเดิมพันอะไรกับมารสาวชุดแดงอย่างนั้นหรือ?” สือเสี่ยวไป๋ขยับมาข้างกายหลี่จือพร้อมถามเสียงกระซิบ
“ไม่มีอะไร ก็แค่...การเดิมพันเล็กๆที่พูดพล่อยๆ” รอยยิ้มไม่เป็นธรรมชาติผุดขึ้นบนใบหน้าหลี่จือ พลางชี้ไปยังที่นั่งด้านซ้ายกล่าวว่า “นายไปนั่งตรงนั้นก่อนแปปนึง ทั้งสามคนนั่นเป็นเด็กใหม่เหมือนกับนายที่วันนี้จะต้องเข้าร่วมการทดสอบวัดระดับเด็กใหม่”
“อ้อ” สือเสี่ยวไป๋พยักหน้ารับคำ สาวเท้าเดินไปทางด้านซ้าย
หลี่จือมองเงาแผ่นหลังสือเสี่ยวไป๋ ปากขยับเหมือนคิดจะเอ่ยสิ่งใด แต่กลับไม่ยอมเอ่ยออกมา
และในตอนนั้นเอง สือเสี่ยวไป๋ที่เดินไกลไปพลันหยุดฝีเท้าลง พลางเอ่ยกล่าวโดยไม่หันหน้ามามอง
“สาวน้อย ข้าน่าเชื่อถืออย่างม๊ากมาก...ถึงมากที่สุดเลยเนาะ”
สือเสี่ยวไป๋พูดจบ ก็รีบสาวเท้าไปยังที่นั่งด้านซ้าย
“เฮอะ”
หลี่จือปล่อยเสียงหัวเราะเย้ยหยัน หันกายเดินไปยังที่นั่งด้านขวา ใบหน้าผุดรอยยิ้มน่าหลงใหล
......
สือเสี่ยวไป๋สับสนงุนงงเป็นที่สุด พอนทัสคืออะไร หลี่จือกับมารสาวชุดแดงทะเลาะกันเรื่องใด บรรยากาศแปลกประหลาดในห้องนี้มันเกิดปัญหาอะไรขึ้นกันแน่ สือเสี่ยวไป๋สับสนไปหมด
สือเสี่ยวไป๋คิดอยากจะถามใครสักคน เขากวาดสายตาดูเด็กใหม่สามคนที่เหลือบนที่นั่ง คนหนึ่งเป็นหนุ่มน้อยผมทองวัย12-13 อีกคนเป็นเด็กหนุ่มอายุราว18-19 ส่วนอีกคนเป็นเด็กสาวน่ารักอายุประมาณ 14-15
สัญชาตญาณสือเสี่ยวไป๋บอกให้เดินไปหาชายหนุ่มผมทอง แต่ก็ได้รับสายตาเหยียดหยามกลับมาในทันที เมื่อหันหน้าไปมองเด็กหนุ่มอีกคน เขาชูนิ้วกลางกลับมา พอจะเดินไปยังเด็กสาวน่ารัก เด็กคนนั้นก็ทำน่ายักษ์ใส่เขาเสียนี่
“พวกมนุษย์โง่เขลา กล้าเสียมารยาทกับข้าถึงเพียงนี้”
สือเสี่ยวไป๋แอบถอนหายใจ แล้วหาที่นั่งตามสบายแล้วนั่งลงไป สายตาจดจ้องไปยังคนทั้งสี่ที่ดูท่าไม่น่าจะประนีประนอมกันได้ทางที่นั่งด้านขวา
“ฝั่งซ้ายสี่คน ฝั่งขวาก็สี่คน หรือว่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกันงั้นหรือ?”
สือเสี่ยวไป๋ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สักพักก็รู้สึกหงุดหงิดรำคาญขึ้นมา “ไม่สนใจแล้ว ข้าจะใช้กลยุทธ์ทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาใช้ดินต้าน[1]”
เมื่อคนทั้งสองฝั่งต่างนั่งลงเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสบนเวทีก็ลุกขึ้นยืนอีกครั้งแล้วก้าวมาข้างหน้าสองสามก้าว ทำเสียงกระแอมไอ ครู่เดียวคนทั้งหมดก็มองไปยังเขา
“หลี่จือแห่งวังทักษิณ มู่หงลี่ จ้าวซง ฟางชิงซาน พวกเธอทั้งสี่แบ่งออกเป็นหัวหน้าเด็กใหม่ของหน่วย [ ผู้ทำลาย ] [ ผู้สร้าง ] [ ผู้คุมกฏ ] [ ผู้ไร้กฎ ] ทุกการกระทำและทุกคำพูดของพวกเธอจะมีผลกระทบต่อศักดิ์ศรีของหน่วยงานทั้งสี่โดยตรง ดังนั้น ในการเสนอชื่อเด็กใหม่ประจำปีพวกเธอจึงไม่ควรปล่อยปะละเลย”
ผู้อาวุโสกล่าวอย่างมีเหตุผลไม่หยุด ทันใดนั้นมองไปยังฝั่งขวาแล้วเปลี่ยนเรื่องพูดว่า “หลี่จือแห่งวังทักษิณ เด็กใหม่ที่เธอเสนอชื่อเมื่อปีก่อนทำให้องค์กรผิดหวังอย่างมาก ในปีนี้เธอไม่เพียงเป็นหัวหน้าเด็กใหม่แห่งหน่วย [ ผู้ทำลาย ] ทั้งยังเป็น พอนทัสแห่งมหาสมุทร หวังว่าเธอจะดูแลอย่างใกล้ชิดและจริงจัง อย่าให้องค์กรต้องผิดหวังอีก”
หลี่จือส่งเสียง “ชิ” ท่าทางอึดอัดใจ มู่หงลี่กลับทำปากหัวเราะเยาะใส่
ผู้อาวุโสกล่าวต่อ “กฎเดิม วันนี้หลังจากทำการจัดลำดับเด็กใหม่แล้ว จะทำการประกาศภายในองค์กร หน่วยที่ได้อันดับหนึ่งจะได้รับคะแนนบวกเพิ่ม อันดับสุดท้ายจะถูกหักคะแนน เพื่อเป็นกำลังใจในการแข่งขัน [ ไกอา ] จะมอบรางวัลให้กับผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด และลงโทษผู้ที่อ่อนแอที่สุดเช่นกัน”
เมื่อสือเสี่ยวไป๋ได้ฟังคำประกาศของผู้อาวุโสก็จมดิ่งไปในห้วงความคิด พลันเหลือบเห็นว่าหนุ่มผมทองกำลังเดินมาทางตน สือเสี่ยวไป๋ซ่อนความระแวดระวังโดยพลัน
แต่หนุ่มผมทองกลับหยุดเดินกลางทาง สายตาเหยียดหยามยิ่งทวีความเข้มข้นมากขึ้น พลางกล่าวเสียงเย้ยหยันกับสือเสี่ยวไป๋ว่า “ที่แท้ก็เป็นแค่คนธรรมดาที่ไม่มีพลังจิตเลยแม้แต่นิด ดูไปแล้วหลี่จือแห่งวังทักษิณคงจะเป็นผู้หญิงที่ไม่ได้เรื่องเหมือนกับข่าวลือจริงๆ”
แววตาสือเสี่ยวไป๋แข็งกร้าวขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ได้กล่าวตอบโต้ใดๆ
“พี่หงลี่ส่งฉันมาเอาชนะของเสียแบบนาย ดูจะเป็นการใช้คนเสียของจริงๆ”
หนุ่มผมทองเผยรอยยิ้มร้ายกาจ ยกนิ้วโป้งชี้เข้าหาตนเองพลางกล่าวเสียงดัง “เหล่าจือ[2]คือผู้มีพลังจิตพิเศษที่เป็นหนึ่งในหมื่น”
เวลาที่เอ่ยถึง “พลังจิตพิเศษ” ท่าทางโอหังของหนุ่มผมทองนั้นเหมือนดั่งว่าเขาได้ครอบครองโลกทั้งใบไปแล้ว
[1] ทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาใช้ดินต้าน เป็นสุภาษิตจีน แปลว่า ไม่ว่าจะมาวิธีไหนก็สามารถรับมือได้
[2] เหล่าจือ เป็นคำสรรพนามเรียกตัวเองโดยดูหมิ่นฝ่ายตรงข้าม โดยการเรียกตัวเองว่าเป็นพ่อของคู่สนทนา