บทที่ 8 พิณไผ่ประสาน (4)
บทที่ 8 พิณไผ่ประสาน (4)
ตั้งแต่วันนั้นที่ฉินซางโดนเย่หลีหยอกเล่นเป็นต้นมา เย่ฉงก็ปฏิบัติกับพ่อของตัวเองในแบบที่เรียกได้ว่าหมอบกราบแทบพื้นด้วยความศรัทธา เขาหัวเราะหึๆ ก่อนจะรีบไปพาเหมยอิงที่อุ้มเย่อินจู๋เอาไว้เข้ามาขอบคุณพร้อมกัน
ฉินซางตะลึงงัน เพิ่งเข้าใจว่าที่แท้ตัวเองก็โดนหลอกเข้าให้อีกแล้ว แต่ก็ดันจนปัญญากับเย่หลีอยู่ดี จึงชี้หน้าเขาแล้วกล่าวว่า “ที่แท้เจ้าก็เดาออกว่าข้าจะใช้เพลงบ่มปราณสงบจิต หนอยไอ้เจ้านี่! ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้วว่าเฒ่าสารพัดพิษหมายถึงอะไร”
เพลงบ่มปราณสงบจิตมีประโยชน์ต่อนักรบอย่างมหาศาล แค่ไม่ต้องกังวลว่าความเร็วของการไหลเวียนพลังยุทธ์จะทำให้ธาตุไฟแตกและช่วยขจัดความฟุ้งซ่านในใจก็เป็นสิ่งที่นักรบทุกคนต่างใฝ่หาแม้แต่ในฝัน ยิ่งกว่านั้นเสียงพิณยังกระตุ้นปราณธาตุระหว่างฟ้ากับดิน ส่งผลให้เกิดการเสริมสร้างรากฐานบ่มเพาะลมปราณให้กับผู้รับฟัง และสามารถทำให้ระดับการฝึกฝนของนักรบก้าวหน้ารวดเร็วยิ่งขึ้น ในฐานะเจ้าสำนักพิณ เพลงบ่มปราณสงบจิตที่ฉินซางบรรเลงไม่ใช่เพลงที่ใครๆ ก็ฟังได้
เรื่องราวก็เป็นเช่นนี้ ฉินซางผู้เป็นนายกสมาคมเวทมนตร์อาร์คาเดียคนใหม่ได้พักอาศัยอยู่ในทะเลโพรงมรกต ส่วนเจ้าอินจู๋ตัวน้อยก็ค่อยๆ เติบโตขึ้นท่ามกลางเสียงแห่งธรรมชาติอันไพเราะดุจสายลมฤดูวสันต์โชยพัดใบไม้ และธารน้ำฤดูสารทชะล้างก้อนหินนั้น...
หกปีต่อมา
เมื่อแสงอาทิตย์แรกส่องเข้ามาในกระท่อมไม้ไผ่พร้อมกับเสียงพิณอันทุ้มลึกและนุ่มนวล เย่อินจู๋ก็ค่อยๆ รู้สึกตัวตื่นจากอาการครุ่นคิด ความรู้สึกสุขสบายราวโล่งโปร่งไปทั้งร่างกายทำให้เขาอดโอดครวญออกมาไม่ได้
เย่อินจู๋ที่อายุหกปีงดงามเหมือนเด็กผู้หญิง ผมสีดำสยายไปด้านหลัง ดวงตากลมโตสีดำทั้งคู่เปล่งประกายแวววาว แม้เสื้อคลุมสีขาวที่สวมอยู่บนตัวจะแลดูพองโตเล็กน้อย แต่กลับไม่มีผลอะไรต่อบุคลิกอันงดงามดั่งรวมพลังชีวิตทั้งมวลบนโลก ระหว่างที่ยกมือย่างเท้าก็แผ่ลมปราณงามสง่าออกมาตลอดเวลา ต่อให้เป็นชนชั้นสูงวัยผู้ใหญ่ก็ไม่แน่ว่าจะเทียบเขาได้ แม้เขาจะยังเป็นเด็ก แต่ขณะที่นั่งอยู่ตรงนั้น หน้าตาสงบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง สีหน้าสุขุมและเยือกเย็นนั้นช่างน่าตกตะลึงจริงๆ กระแสอากาศสีแดงครามอ่อนจางที่โอบล้อมอยู่รอบตัวค่อยๆ สลายไป เห็นได้ชัดว่าแสงสีครามเข้มกว่าเล็กน้อย แต่แสงสีแดงกลับแก่กว่านิดหน่อย
“จริงสิ! ปู่ฉิน เมื่อวานตอนที่ปู่มาหาข้ายังบอกด้วยว่าเหมือนข้าจะขึ้นไปถึงไผ่เขียวขั้นสามแล้ว” อินจู๋น้อยลุกพรวดขึ้นมาจากพื้นอย่างตื่นเต้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความเยาว์วัยและความไร้เดียงสา ก่อนวิ่งไปอยู่ข้างๆ ฉินซางแล้วเอ่ยขอร้องว่า “ปู่ฉิน วันนี้ท่านน่าจะสอนเพลงใหม่ให้ข้าได้แล้วใช่หรือเปล่า ข้าเรียนกับท่านมาตั้งหนึ่งปี ท่านสอนข้าอยู่แค่เพลงเดียว”
ฉินซางคลี่ยิ่มบางๆ แล้วกล่าวว่า “ยังไม่ถึงเวลา อินจู๋ เจ้าต้องเข้าใจว่าเชี่ยวชาญอย่างหนึ่งจึงกระจ่างร้อยอย่าง เรียนบทเพลงมากมายไม่มีประโยชน์อะไร เจ้าต้องบรรลุความงดงามของหัวใจพิณอย่างแท้จริงเท่านั้นถึงจะก้าวหน้าต่อไปได้”
เวลาหกปีผ่านไป ฉินซางได้ทุ่มเทหยาดเหงื่อแรงกายทั้งหมดให้กับเย่อินจู๋ ทุกวันเขาใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งวันเฝ้าอยู้ข้างกายเย่อินจู๋พลางดีดพิณให้เขาฟัง ขณะที่เสียงพิณชโลมหล่อเลี้ยงจิตใจ บุคลิกสง่างามและมีชีวิตชีวาของเย่อินจู๋ก็ยิ่งฉายชัดขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่อายุสามปี เย่อินจู๋ติดตามเย่หลีผู้เป็นปู่ของเขาไปฝึกพลังยุทธ์ไผ่ ตลอดเวลาหนึ่งปีเย่หลีใช้พลังยุทธ์อันมากมายมหาศาลของตนช่วยหลานชายระบายเส้นลมปราณ ทำให้เย่อินจู๋จับทางได้อย่างง่ายดายในระหว่างการฝึกฝนระยะแรก ตั้งแต่เขาอายุได้ห้าปี ฉินซางสอนมนต์พิณลับให้กับเขาอย่างเป็นทางการ จนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาหนึ่งปีแล้ว แต่ในหนึ่งปีนี้ฉินซางกลับสอนแค่ท่านิ้วขั้นพื้นฐานที่สุดของการบรรเลงพิณให้แก่เย่อินจู๋ และเพลง ‘ธารเขียว’ ที่ง่ายที่สุดเพลงเดียวเท่านั้น
เย่อินจู๋กล่าวอย่างไม่พอใจว่า “แต่ข้าเล่นเป็นแล้วนะ!”
ฉินซางยิ้มอย่างไม่ใส่ใจก่อนเอ่ยว่า “เจ้าเล่นเป็นแล้วจริงรึ? อย่างนั้นก็ดี เจ้าเล่นตามข้า” ฉินซางยืดเหยียดร่างกายเล็กน้อยแล้วอุ้มพิณวสันตอัสนีขึ้นมา ก่อนพาเย่อินจู๋เดินออกจากกระท่อมไม้ไผ่
ครอบครัวของเย่หลีเคารพคำสัญญา ตั้งแต่อินจู๋เริ่มติดตามฉินซางมาเรียนพิณเป็นต้นมา พวกเขาก็มาหาเย่อินจู๋แค่เดือนละครั้ง แน่นอนว่าบางครั้งก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะแอบดู
ออกมาจากกระท่อมไม้ไผ่ก็จะเป็นป่าไผ่ผืนใหญ่ ฉินซางหยุดฝีเท้าแล้วกล่าวว่า “อินจู๋ เสียงพิณสามประเภทและความหมายของมันคืออะไร?”
เย่อินจู๋เคยชินกับการทดสอบของฉินซางแล้วอย่างเห็นได้ชัด จึงตอบโดยไม่ลังเลว่า “เสียงสามประเภทแบ่งเป็นเสียงปล่อย เสียงกด และเสียงลอย เสียงปล่อยก็คือเสียงที่เกิดจากมือขวาที่ดีดสายเปิด เสียงจะราบเรียบมีพลังและนุ่มนวล เสียงกดคือมือซ้ายกดสายไว้บนหน้าพิณ มือขวาดีดสายเกิดเป็นเสียง เสียงจะอ่อนหวานไพเราะและอิ่มเอิบ เสียงลอยคือมือซ้ายแตะสายพิณเบาๆ มือขวาดีดสายเกิดเป็นเสียงพร้อมกัน เสียงจะใสกังวาน เสียงสามประเภทผสมผสานกันจะเกิดเป็นบทเพลง”
ฉินซางพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ถูกต้อง การบรรเลงพิณ เกือบจะเป็นสิ่งที่ยากที่สุดในบรรดาเครื่องดนตรีทั้งหมด แค่เสียงลอยขั้นพื้นฐานที่สุดก็มีมากถึงเก้าสิบเอ็ดแบบจากหน้าที่ของเจ็ดสายสิบสามปุ่ม แล้วยังผสานกับเสียงปล่อยและเสียงกด จำนวนและความพิสดารของท่าผสานเยอะเสียจนนับไม่ถ้วน หากเจ้าไม่ฝึกท่าพื้นฐานให้ชำนาญ ภายหน้าจะเกิดผลสำเร็จได้อย่างไรกัน?”
อินจู๋พยักหน้าอย่างน่าเอ็นดูแล้วกล่าวว่า “ปู่ฉิน ข้าสำนึกผิดแล้ว ข้าจะฝึกท่าพื้นฐานต่อไปก็แล้วกัน”
ฉินซางหัวเราะเบาๆ แม้ปากเขากำลังตำหนิเย่อินจู๋ แต่ในใจกลับพอใจลูกศิษย์คนนี้มาก ถึงเย่อินจู๋จะตามเขามาเรียนพิณแค่หนึ่งปี แต่ในระยะเวลาห้าปีตั้งแต่เขาเพิ่งอายุครบเดือนจนอายุห้าปี ตลอดช่วงเวลาที่เติบโตขึ้นท่ามกลางเสียงพิณ เรื่องความคุ้นเคยกับเสียงพิณเรียกได้ว่าไม่ด้อยไปกว่าตนสักเท่าไหร่ ส่วนพรสวรรค์ด้านการเรียนพิณของเขาก็ยิ่งสูงอย่างไม่เคยมีมาก่อน อายุยังน้อยแต่เรียนรู้เสียงพิณสามแบบได้อย่างลึกซึ้ง ย่อมต้องเป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะอย่างแน่นอน
ฉินซางยกพิณวสันตอัสนีในมือส่งให้เย่อินจู๋ ให้เขานั่งลงข้างหน้าโต๊ะไม้ไผ่กลางป่าไผ่แล้วเอ่ยว่า “เอาย่างนี้แล้วกัน ถ้าเจ้าสามารถใช้เพลง ‘ธารเขียว’ เรียกสัตว์ทุกตัวในป่ามารวมตัวกันใกล้ๆ เจ้า นับเจ้าเป็นเพื่อนที่สนิทสนมที่สุดได้ ข้าจะสอนเพลงใหม่ เอาล่ะ เจ้าเริ่มฝึกเถอะ ข้าจะไปเอาอาหารเช้ามาให้เจ้า”
เย่อินจู๋พยักหน้า วางพิณวสันตอัสนีไว้บนโต๊ะไม้ไผ่ข้างหน้าให้เรียบร้อย จัดเสื้อผ้านั่งยืดตรง ตอนที่แปดนิ้วสองมือของเขาเริ่มแตะลงบนสายพิณ บุคลิกของเขาก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง แม้ความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาบนใบหน้าจะยังคงปรากฏอยู่ แต่ความสุขุมและสง่างามที่ไม่สมวัยกลับเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย แปดนิ้วสองมือกระดกขึ้น แล้วเพลง ‘ธารเขียว’ ก็ดังแว่วขึ้นมา
เสียงพิณนุ่มนวลไพเราะ แต่ฉินซางที่อยู่ข้างๆ กลับขมวดคิ้วเล็กน้อย “ใจสัมพันธ์กับจิต จิตสัมพันธ์กับพิณ หากเจ้าไม่สามารถเกิดความรู้สึกร่วมกับเพลงพิณ ถ้าอย่างนั้น เสียงพิณของเจ้าก็จะไม่มีวันกระตุ้นจิตวิญญาณของสัตว์ตัวใดได้”
เย่อินจู๋เงยหน้าขึ้นมองฉินซางแวบหนึ่ง มือไม่ได้หยุดเคลื่อนไหวแต่อย่างใด ทว่าไม่นานเขาก็หลับตาทั้งคู่ของตัวเองลง ใบหน้าเล็กอันงดงามเผยให้เห็นรอยยิ้มบางๆ แม้เสียงพิณยังคงเป็นเพลง ‘ธารเขียว’ แต่ลมปราณในขณะนี้กลับเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย ทั้งร่างประหนึ่งดำดิ่งอยู่ท่ามกลางภูเขาครามลำธารเขียว แสงสีแดงอ่อนแผ่ออกมาจากตัวเขา ลอยแผ่ไปทั่วบริเวณ
เมื่อได้เห็นภาพนี้ ฉินซางก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ ก่อนอุทานในใจเงียบๆ เย่หลีเอ๋ย! เจ้ารู้แต่ว่ามนต์พิณของสำนักพิณเราแกร่งกล้าที่สุดในบรรดาเวทมนตร์ทั้งหมด แต่เจ้ารู้เสียที่ไหนกันว่าความหนักหนาสาหัสของการฝึกฝนเวทมนตร์สายจิตวิญญาณโดยเฉพาะนักเทวคีตอย่างพวกเรา เป็นเรื่องที่เจ้าไม่อาจจินตนาการได้อย่างเด็ดขาด
……………………………………….