บทที่ 8 ชั้นต้องพึ่งนายแล้วหล่ะ
บทที่ 8 ชั้นต้องพึ่งนายแล้วหล่ะ
คืนนั้นสือเสี่ยวไป๋ตามหลีจื่อและอีเฉวียนไปยังบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่ง ให้พูดคือหลีจื่อได้ซื้อที่พักอาศัยในเมืองนี้ไว้ หลังจากทานมื้อเย็นง่ายๆ แล้ว สือเสี่ยวไป๋ก็ตรงเข้านอน ระหว่างนั้นหลีจื่อไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องราวที่เกี่ยวกับ [ ไกอา ] มากนัก พูดแค่ว่าพรุ่งนี้จะพาเขาไปยังฐานของไกอา
สือเสี่ยวไป๋นอนลงที่เตียงไม่นานก็ผล็อยหลับไป เช้าวันรุ่งขึ้นถูกปลุกด้วยเท้าของหลีจื่อ กินมื้อเช้าอย่างมึนงง เสร็จแล้วก็เจอบันไดขึ้นเฮลิคอปเตอร์จอดรออยู่ที่หน้าบ้านแล้ว
สือเสี่ยวไป๋ได้สติอีกทีก็พบว่าตัวเองกำลังนั่งอยู่บนเฮลิคอปเตอร์เรียบร้อย ฝั่งตรงข้ามเขามีหลีจื่อนั่งอยู่ แต่กลับไม่พบอีเฉวียน
“ลุงหัวล้านหล่ะ?” สือเสี่ยวไป๋หันหน้ามองเมฆสีขาวบนท้องฟ้าที่ลอยอยู่ใกล้ๆ นอกหน้าต่าง แล้วพึมพำว่า “โลกใบน้อยเอ๋ย จงสั่นสะท้านใต้เท้าข้าเถอะ!”
หลีจื่อกลอกตามองบน ตอบอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “อาจารย์อีเฉวียนมีธุระแยกตัวไปก่อน อีกเดี๋ยวพอถึงฐานไกอาแล้ว นายอย่าได้เอาแต่เรียกตัวเองว่า ‘ข้าๆ’ ไม่ใช่ทุกคนจะใจดีเหมือนชั้นไปซะหมดนะ”
ในส่วนที่หลีจื่อชมตัวเองว่าใจดีนั้นสือเสี่ยวไป๋ไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ แต่ก็กลัวศีรษะจะได้รับแรงกระแทกรุนแรงอีก เขาเอ่ยเสียงเบา “ข้า...”
“หืม?” หลีจื่อส่งสายตาอำมหิต
“เฮอะ!” สือเสี่ยวไป๋เลียนแบบท่าทางการพูดของหลีจื่อ แล้วก็ถูกตีไม่ยั้ง ได้แต่ยกมือกุมหัวป้อยๆ พลางกระเง้ากระงอดพูดขึ้นว่า “ยอมแล้ว ยอมแล้ว คราวหลังหม่อมฉันจะไม่แทนตัวเองว่าข้าอีกแล้ว...โอ๊ย!”
หลังจากนั้นไม่นาน หลังจากสือเสี่ยวไป๋ที่ถูกประทุษร้ายไปหลายรอบ ในที่สุดก็ยอมจำนนภายใต้ความรุนแรงของหลีจื่อ พูดอย่างไม่เต็มใจว่า “สาวน้อย เธอจะต้องเป็นปีศาจที่เทพแห่งความมืดส่งมาแน่นอน...”
“หึหึ!” หลีจื่อกำหมัดแน่น ใบหน้ายิ้มแย้ม คิดไม่ถึงว่าการรังแกสือเสี่ยวไป๋เป็นเรื่องสนุกขนาดนี้
......
เฮลิคอปเตอร์บินมาตลอดเช้า ในที่สุดก็ถึงเวลาร่อนลง สือเสี่ยวไป๋ได้เห็นรูปร่างฐานไกอาทั้งหมดจากบนเฮลิคอปเตอร์ เหล็กหลายชั้นประกอบรวมกันเป็นตึกสูงใหญ่ เหมือนภูเขาน้ำแข็งลูกหนึ่งตั้งสูงตระหง่าน แสงอาทิตย์สาดส่องสะท้อนประกายแวววาว ทางเดินเหล็กไขว้กันไปมา แตกต่างจากตึกสูงสีเงินทั่วไป ทางเดินทำมาจากเหล็กสีดำ มองลงไปจากบนฟ้าจะเหมือนกับว่าเป็นแม่น้ำลึกสีดำสายหนึ่ง
“ยินดีต้อนรับสู่ฐานไกอา ณ ไอรอนทาวน์” หลีจื่อกะพริบตาอย่างน่ารัก
สือเสี่ยวไป๋ยิ้มแหย “ที่นี่คือดินแดนแห่งแรกบนโลกใบนี้ที่ข้าจะใช้เป็นฐานของทีมผู้กล้าเสี่ยวไป๋ ก็ถือว่าผ่านล่ะนะ...โอ๊ย!”
หลีจื่อเก็บหมัดกลับมา และมองลงไปไอรอนทาวน์ที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ท่าทางเหม่อลอยจิตใจไม่อยู่กับตัว
เมื่อลงจากเฮลิคอปเตอร์แล้ว สือเสี่ยวไป๋ก็ลงเหยียบย่างสู่ไอรอนทาวน์อย่างระมัดระวัง สัมผัสแรกนอกจากเหล็กจะมีความแข็งแล้วยังมีความยืดหยุ่นอยู่ด้วย อีกอย่างที่ใต้ฝ่าเท้าก็ไม่ได้รู้สึกร้อนอย่างที่คาดไว้ รู้สึกได้แม้กระทั่งไอเย็นที่ระเหยอยู่บนพื้น เวลากระโดดบนพื้นเหล็กแทบจะไม่มีเสียงดังปึงปังเลย
“พื้นพวกนี้ใช้เปลือกของสัตว์อวกาศ ‘ด้วงยักษ์ไอรอนสตาร์’ ทำขึ้นมา แข็งมากกว่าโลหะทั่วไป อีกทั้งคุณสมบัติในการคลายร้อนและลดเสียงดีมาก” หลีจื่อเห็นสือเสี่ยวไป๋ทำตัวเป็นยายหลิวชมสวนใหญ่[1] ก็อธิบายออกมาโดยไม่รู้ตัว
สือเสี่ยวไป๋แปลกใจอยู่นิดๆ แต่ก็จำถ้อยความของหลีจื่อไว้ในใจเงียบๆ
ตลอดทางที่ทั้งสองเดินมา ได้เจอชายหญิงมากหน้าหลายตานั่งรถผ่านไป ส่วนใหญ่จะหยุดทัก “คุณหนูหลีจื่อ” แล้วส่งสายตาที่อธิบายไม่ได้มองมาทางเสี่ยวไป๋แวบนึง ก่อนจากไป
“คุณหนูครับที่ไอรอนทาวน์นี้เป็นคนมีชื่อเสียงทีเดียวเชียวหล่ะ” หลีจื่อยักคิ้วมองสือเสี่ยวไป๋ครั้งหนึ่ง
สือเสี่ยวไป๋ยิ้มแหยตอบกลับไป สมองแวบนึกถึงสายตาของคนเหล่านั้นเมื่อครู่ รู้สึกว่าในความไม่เป็นมิตรนั้นยังแฝงแววล้อเลียนอยู่ด้วย
เดินมาพักใหญ่ ในที่สุดหลีจื่อก็หยุดเท้า ชี้ไปยังตึกสูงด้านหน้า พลางกล่าว “ถึงแล้ว”
สือเสี่ยวไป๋มองไป เห็นตึกสูงข้างหน้าเตี้ยกว่าตึกอื่นๆ เล็กน้อย แต่มีวงแหวนล้อมรอบอยู่รอบหนึ่ง
หน้าประตูมีผู้ชายใส่สูทวัยกลางคนยืนตัวตรงอยู่
“พวกเขามาถึงกันครบแล้วหรือยัง?” หลีจื่อเอ่ยถามผู้ชายวัยกลางคนนั้นเมื่อเราเดินถึงหน้าประตู
“ครบทุกคนแล้วครับ ขาดแต่เพียงท่านและคุณชายท่านนี้” ชายวัยกลางคนตอบ
หลีจื่อพยักหน้า เดินนำเข้าประตูใหญ่ไป สือเสี่ยวไป๋รีบรุดเดินตาม ตอนที่กำลังเดินผ่านประตูกลับได้ยินเสียงชายกลางคนคนนั้นพูดกับเขาเบาๆ ว่า “รักษาตัวด้วย”
สือเสี่ยวไป๋รู้สึกแปลกใจ ตอบกลับอย่างไม่จริงจังไปว่า “ตอนนั้นมีคนคนหนึ่งบอกข้าให้รักษาตัวด้วย[2] ผลก็คือสามปีหลังจากนั้นไม่ได้ผอมลงเลย คุณลุงไม่ต้องมาโม้หรอก”
สือเสี่ยวไป๋พูดจบก็เดินเข้าตึกไปโดยไม่สนใจชายวัยกลางคนที่กำลังตะลึงงันอีก
พอถึงด้านใน สายตาสือเสี่ยวไป๋ก็ถูกเแสงแวววาวของกำแพงโลหะดึงดูดไว้ เมื่อแหงนหน้าขึ้นมองก็เห็นกรอบรูปขนาดใหญ่มากมายเรียงกันอยู่ หน้าตาทุกคนในภาพขึงขังเอาเรื่อง
“เขาเหล่านี้คือราชาเด็กใหม่ในประวัติศาตร์ของ [ ไกอา ]” หลีจื่ออธิบายอยู่ด้านหน้า
“ราชา...เด็กใหม่?” สือเสี่ยวไป๋เร่งฝีเท้าตามไป
“ทุกปี [ ไกอา ] จะทำการรับเด็กใหม่กลุ่มหนึ่ง หลังจากฝึกฝนไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง ก็จะจัดการประลองขึ้น หาผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดและแต่งตั้งเป็นราชาเด็กใหม่ รูปของพวกเขาจะถูกนำมาแขวนไว้ที่นี่” หลีจื่ออธิบายอย่างใจเย็น
“ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาเด็กใหม่ มนุษย์ผู้เทียบเท่าราชา!” สือเสี่ยวไป๋นัยต์ตาเป็นประกาย พูดอย่างตื่นเต้น “ฉายาราชาเด็กใหม่นี้มีขึ้นเพื่อข้าสือเสี่ยวไป๋โดยเฉพาะ ก้าวแรกของการเดินทางของข้า ต้องเป็นเจ้าแล้วหล่ะ! ราชาเด็กใหม่!”
หลีจื่อไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี จู่ๆ ก็มีแผนการในใจ สายตาของหลีจื่อจึงเปลี่ยนไปทันที พูดอย่างเจ้าเล่ห์ว่า “หนุ่มน้อย ข้าก็คิดว่าราชาเด็กใหม่ต้องเป็นของนายแต่เพียงผู้เดียว พยายามเข้านะ ข้าจะคอยดู!”
สือเสี่ยวไป๋ ปรายตามองอย่างเย็นชา “อย่าทำอย่างนี้ จะอ้วก...โอ๊ย!”
หลีจื่อส่งเสียง หึ พร้อมชักกำปั้นกลับขึ้นมา เดินต่อเข้าไปด้านใน สือเสี่ยวไป๋ลูบหัวป้อยๆ ปากก็พึมพำไม่ได้ศัพท์ เดินตามไปช้าๆ
ทั้งสองเดินอีกครู่หนึ่ง หลีจื่อก็มาหยุดหน้าประตูโลหะบานใหญ่ สูดหายใจเข้าลึกเฮือกหนึ่ง
“ใช่แล้ว เหมือนว่าจะยังไม่ได้บอกนายว่าวันนี้เรามาที่นี่เพื่ออะไร” หลีจื่อเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“ที่แท้การมาที่นี่ในวันนี้ก็มีจุดประสงค์นี่เอง” สือเสี่ยวไป๋เหมือนจะเข้าใจขึ้นมาทันที รีบยกมือขึ้นมาตั้งท่าเตรียมพร้อมรับการโจมตี พูดอย่างฮึกเหิมว่า “สาวน้อยในที่สุด เจ้าก็จะเผยตัวตนปีศาจสาวที่แท้จริงแล้วใช่ไหม?”
หลีจื่อไม่ได้กรอกตาบนเหมือนที่แล้วๆมา แต่กลับถอนหายใจกล่าวว่า “ที่พานายมาที่นี่ในวันนี้ ถ้าในนามคือมาทำการทดสอบวัดระดับเด็กใหม่ แต่ที่จริงแล้วเป็นกับดักที่พวกชั่ววางไว้สำหรับข้า ขอโทษนะเสี่ยวไป๋ที่ทำให้นายลำบากไปด้วย แต่ว่าข้า...ต้องพึ่งนายแล้วหล่ะ”
สือเสี่ยวไป๋ไม่ทันจะได้พูดอะไร หลีจื่อก็ผลักประตูโลหะบานใหญ่นั้นเข้าไปแล้ว
หลังจากนั้นก็มีเสียงแหลมดังมาจากด้านใน ลอยเข้าหูสือเสี่ยวไป๋อย่างชัดเจน
“โอ้ว~ ในที่สุด ‘พอนทัส[3]’ ที่อ่อนแอที่สุดในประวัติศาสตร์กับขยะชิ้นใหม่ที่เธอเก็บมาได้ก็มาถึงแล้ว!”
[1] ยายหลิวชมสวน เป็นสำนวนจีน หมายถึงบ้านนอกเข้ากรุง
[2] รักษาตัวด้วย หรือ 保重 หากแปลตรงตัวตามคำจะแปลว่า รักษาน้ำหนัก ซึ่งมีความหมายจริงๆว่า รักษาตัว,ดูแลตัวเองดีดี เป็นการเล่นคำของผู้แต่งนั่นเอง
[3] พอนทัส (Pontus) ในตำนานเทพเจ้ากรีกกล่าวว่าพอนทัสเป็นบุตรชายของไกอา