บทที่ 8 การเปลี่ยนแปลง
บทที่ 8 การเปลี่ยนแปลง
ที่พักชั่วคราวที่หลิงม่อเลือกนั้นเป็นเกสต์เฮ้าส์แห่งหนึ่ง ห้องพักนับว่าสะอาดสะอ้านดี กลิ่นคาวเลือดก็ไม่แรงนัก และที่สำคัญคือสถานที่ตั้งไม่เลวเลย เขาตั้งใจหาน้ำยาฆ่าเชื้อโรคสามสี่ขวดมาเทที่หน้าประตู เท่านี้ก็แทบจะไม่มีซอมบี้สังเกตเห็นที่นี่แล้ว
อย่างไรก็ตามวิธีนี้ค่อนข้างจะได้ผลในเขตที่มีซอมบี้ไม่มาก แต่ถ้าเป็นเขตตัวเมืองที่มีซอมบี้กระจายอยู่ทั่วอาจจะกลายเป็นดึงดูดความสนใจของพวกซอมบี้แทน...
หลังจากกินอะไรนิดหน่อยและตรวจตราประตูหน้าต่างอย่างละเอียดเสร็จแล้ว หลิงม่อถึงค่อยนั่งลงตรงหน้าเย่เลี่ยนแล้วหยิบก้อนเหนียวหนืดก้อนนั้นออกมาจากอก
ไม่รู้เป็นเพราะโดนลมนานเกินไปหรือเปล่า เจ้าก้อนเหนียวหนืดที่เดิมทีส่งกลิ่นฉุนบางๆ กลับกลายเป็นฉุนจมูกยิ่งกว่าเดิม หลิงม่อเพิ่งจะหยิบออกมา มันก็พลันปลุกกระตุ้นให้ดวงตาของเย่เลี่ยนเป็นสีแดง หากไม่ใช่เพราะหลิงม่อกับเย่เลี่ยนมีสายสัมพันธ์ทางจิตที่แน่นหนาเป็นพิเศษแล้วล่ะก็ เธออาจจะอยากต่อต้านไปแล้วก็ได้
แต่กลิ่นแบบนี้เป็นอะไรที่ทรมานสำหรับหลิงม่อ การที่เขายังไม่ได้รีบยัดใส่ปากเย่เลี่ยน นั่นก็เพราะเขาพบว่าสีของก้อนเหนียวหนืดก้อนนี้ดูแปลกๆ พิกล มันคล้ายกับก้อนเลือดจริงยังไงยังงั้น อีกทั้งดูสดใหม่มาก ไม่นึกเลยว่าเจ้าเชื้อไวรัสจะสามารถรักษาความสดได้ด้วย...
เวลานี้ความต้องการที่มาจากสัญชาตญาณของเย่เลี่ยนรุนแรงเป็นอย่างมาก หลิงม่อเองก็ไม่ได้กระตุ้นอะไรเธออีก ทว่ายื่นเจ้าก้อนเหนียวหนืดนั้นไปที่ปากของเธอ
ริมฝีปากของเย่เลี่ยนเย็นเฉียบ ตอนที่เธออ้าปากกลืนก้อนเหนียวหนืดนี้เข้าไป เรียวลิ้นอุ่นก็กวาดผ่านนิ้วมือของหลิงม่อเบาๆ ทำให้หัวใจเขาวูบไหวทันที เมื่อมองดูเย่เลี่ยนที่แววตาค่อยๆ สงบนิ่งลง หลิงม่อก็ถึงกับเกิดอารมณ์ฮึกเหิมอยากจะจูบเธอ...
แต่ขณะที่หลิงม่อค่อยๆ ประคองใบหน้าของเธอ จู่ๆ เย่เลี่ยนที่สีหน้าไร้ซึ่งความรู้สึกก็หลับตาลงฉับพลัน ส่วนคิ้วก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
สิ่งนี้ทำให้หลิงม่อตกใจมาก เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นสีหน้าของเย่เลี่ยนหลังจากที่เธอกลายเป็นซอมบี้ แม้ว่าเย่เลี่ยนจะหลับตาแน่น หากแต่รังสีอันตรายที่แผ่ออกมาจากตัวเธอ กลับทำให้หลิงม่อรู้สึกว่าระดับอุณหภูมิรอบด้านนั้นดูเหมือนจะลดต่ำลง
พร้อมกันนั้นความรู้สึกหนาวร้อนสลับกันก็โหมเข้าใส่หลิงม่อทั่วร่าง เขาสั่นระริกไปทั้งตัว จากนั้นก็รู้สึกว่าความเจ็บปวดแล่นเข้าสู่ทุกรูขุมขนในร่างกาย สมองเองก็คล้ายกับจะระเบิดออกมา
“อ้าก...”
หลิงม่ออดไม่ได้ที่จะส่งเสียงร้องเจ็บครวญคราง แล้วขดตัวงอลงทันที ส่วนเย่เลี่ยนที่ถูกเขาปล่อยออกก็ล้มไปข้างหลังและนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง
ความเจ็บปวดยากเกินจะบรรยายส่งผ่านมาจากทุกอณูเซลล์ในร่างกายของหลิงม่อ เขารู้สึกว่าร่างกายตัวเองเหมือนกำลังถูกฉีกออกทีละนิดๆ และค่อยๆ กลับมารวมกันใหม่ นี่ขนาดแค่ผลกระทบจากสายสัมพันธ์ทางจิตยังทำให้เขาเจ็บปวดทรมานขนาดนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเย่เลี่ยนที่ต้องแบกรับโดยตรงเลย
หลิงม่อนั่งคุกเข่าตาแดงก่ำอยู่บนเตียง เนื้อตัวสั่นเทาอย่างควบคุมไม่อยู่ แต่สองตาของเขากลับจับจ้องไปที่เย่เลี่ยนตลอดเวลา
ขนาดเย่เลี่ยนยังทนได้เลย แล้วทำไมผู้ชายอกสามศอกอย่างเขาจะทำไม่ได้...
ผ่านไปครึ่งชั่วโมงเต็มๆ ในที่สุดความเจ็บปวดก็ค่อยๆ ทุเลาลง แต่ในความรู้สึกของหลิงม่อนั้นเหมือนกับผ่านไปสามวันสามคืน
ดีที่ความรู้สึกสดชื่นที่ตามมาช่วยบรรเทาอาการที่ตกค้างอันเนื่องมาจากความเจ็บปวดได้เป็นอย่างมาก แล้วเขาก็รู้สึกได้ว่าการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ที่สะสมมาตลอดนั้นได้รับการหล่อหลอมรวมกันผ่านความเจ็บปวดในครั้งนี้ เขาเหมือนกับได้เกิดใหม่ทั้งตัว ทั้งพละกำลังที่เก็บซ่อนอยู่ในกล้ามเนื้อ รวมถึงสมองที่ปลอดโปร่งแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งหมดนี้ล้วนทำให้หลิงม่อตื่นเต้นไม่หยุด
เขาเองก็ได้รับวิวัฒนาการบางอย่างเช่นเดียวกันกับซอมบี้กลายพันธุ์...แม้ว่าภายนอกจะดูไม่ออก แต่หลิงม่อกลับรู้สึกได้อย่างแจ่มชัด ไม่รู้ว่ามโนไปเองหรือเปล่า ชายหนุ่มคิดว่าเพราะเขาสามารถคงสติให้ชัดเจนและทนต่อความเจ็บปวดนี้ได้ จึงได้รับวิวัฒนาการทางด้านจิตใจมากกว่าทางด้านร่างกายเสียอีก
ผลสุดท้ายจะเป็นแบบที่คิดหรือไม่ คงได้แต่ไปค้นหาคำตอบในการต่อสู้เอาเอง
ส่วนเย่เลี่ยนนั้นไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลยตลอดทั้งคืน ในระหว่างที่สลบไสลไม่ได้สติ เธอก็ยังคงขมวดคิ้ว อีกทั้งตัวสั่นอยู่ตลอด หลิงม่อเองก็เฝ้าอยู่ข้างกายเธอไม่ไปไหน ในใจเขาทั้งรู้สึกสงสารและเปี่ยมไปด้วยความรอคอย หลังจากกินก้อนเหนียวหนืดในสมองของซอมบี้กลายพันธุ์เข้าไปแล้ว เย่เลี่ยนจะพัฒนากลายเป็นแบบไหนนะ...
“มึนหัวจัง เผลอหลับไปจนได้...”
ด้วยความที่ร่างกายเหนื่อยล้าสุดขีด ทำให้ในที่สุดหลิงม่อก็ผล็อยหลับไปหลังจากที่เฝ้ามาทั้งคืน แต่เพราะความสามารถพิเศษที่ได้มาจากการฝึกฝนในระหว่างที่เกิดเหตุโลกาวินาศ จึงทำให้หลิงม่อตื่นขึ้นมาหลังจากผ่านไปไม่กี่นาที
วิธีการนอนหลับแบบพิเศษนี้ บรรดาผู้ที่รอดชีวิตจากเหตุโลกาวินาศก็คงทำได้เหมือนกัน อาจจะเรียกได้ว่าเป็นสัญชาตญาณในการระวังตัวสูง แม้ในยามหลับก็ต้องคอยตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา แต่การได้นอนหลับลึกแค่ไม่กี่นาทีก็สามารถทำให้เส้นประสาทที่ตึงเครียดผ่อนคลายลง
แต่ในฐานะที่เป็นผู้ควบคุมหุ่นซอมบี้ หลิงม่อจะต้องรักษาสายสัมพันธ์ทางจิตระหว่างตัวเองและหุ่นซอมบี้เอาไว้ ดังนั้นจึงเข้าสู่ภาวะหลับลึกน้อยครั้งมาก และครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกเลย...
หลังจากลืมตาตื่นขึ้นด้วยความกังวล หลิงม่อก็พบกับความจริงที่น่าตกใจ...เย่เลี่ยนหายไปแล้ว!
แค่เพียงไม่กี่นาที เย่เลี่ยนก็หลุดจากการควบคุมของเขาแล้วงั้นเหรอ?! แต่หลังจากที่สงบจิตสงบใจลงแล้ว หลิงม่อก็พลันพบว่าเรื่องราวไม่ได้เป็นแบบนั้น หลังจากที่ได้ผ่านการวิวัฒนาการแล้ว พลังจิตของหลิงม่อก็แข็งแกร่งขึ้นมาก จากการควบคุมแบบตั้งอกตั้งใจกลายเป็นการควบคุมแบบตามอำเภอใจ เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เฉพาะตัวจริงๆ
แม้ว่าตอนนี้เย่เลี่ยนจะไม่ได้อยู่ตรงหน้า แต่หลิงม่อก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าจิตของพวกเขายังคงเชื่อมกันอยู่
นับตั้งแต่ที่ถูกเขาเข้าควบคุม นอกจากเวลาต่อสู้และออกไปข้างนอกแล้ว เย่เลี่ยนก็แทบจะไม่ได้ไปไหนมาไหนเองเลย แล้วทำไมวันนี้จู่ๆ ถึง...
พอคิดมาถึงตรงนี้ หลิงม่อผู้ขี้สงสัยก็รีบเปลี่ยนการมองไปเป็นในมุมของเย่เลี่ยน...
โชคดีที่เย่เลี่ยนยังอยู่ในเกสต์เฮ้าส์ แต่การแสดงออกของเธอดูแปลกๆ ไป ถ้าเป็นเวลาปกติ นอกจากการโจมตีและกินอาหารแล้ว เย่เลี่ยนก็ไม่เคยแสดงอากัปกิริยาที่มีความเป็นตัวเองแบบนี้ แต่ตอนนี้เธอกลับเดินเล่นอยู่ในเกสต์เฮ้าส์
นอกจากนี้เธอก็มักจะหยุดยืนในบางสถานที่และเหม่อลอยอยู่เงียบๆ พักหนึ่ง
เกิดอะไรขึ้นกันนะ หลิงม่อรีบวิ่งพรวดพราดออกจากห้อง จากนั้นไม่นานก็เจอตัวเย่เลี่ยนที่ระเบียงทางเดินชั้นล่าง
แวบแรกที่เห็นเย่เลี่ยน หลิงม่อก็ตกใจจนเกือบส่งเสียงร้องออกมา แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ขณะที่เย่เลี่ยนที่ยืนอยู่ภายใต้แสงแดดหันมามองเขาด้วยสีหน้างงงวยเล็กน้อย แค่การแสดงความรู้สึกเล็กๆ น้อยๆ นี้ก็ทำให้หลิงม่อรู้สึกสั่นเทาไปทั้งตัวทันที อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้
“เย่เลี่ยน!” หลิงม่อรีบพุ่งเข้าไปยืนอยู่ตรงหน้าเย่เลี่ยน สองมือคว้าจับไหล่เธอไว้และร้องด้วยความดีใจระคนประหลาดใจ
คิดไม่ถึงว่าเธอจะฟื้นคืนสติกลับมาได้เร็วขนาดนี้...
ไม่ใช่สิ...หลังจากเขย่าตัวเย่เลี่ยนอยู่สามสี่ครั้ง จู่ๆ หลิงม่อก็รู้สึกเหมือนถูกน้ำเย็นราดหัว ภายในดวงตาของเย่เลี่ยน เขามองเห็นแค่เพียงความงุนงงสับสนที่ฉายแวบขึ้นมาเป็นพักๆ และความเฉยเมยเหมือนเช่นปกติ
บางทีวิวัฒนาการของเชื้อไวรัสอาจจะทำให้สติสัมปชัญญะของเย่เลี่ยนที่ถูกกักขังไว้ได้ผ่อนคลายลง แต่ยังไม่ถึงขั้นฟื้นคืนกลับมาเป็นปกติ แล้วก็อาจเป็นไปได้ว่าวิวัฒนาการของเชื้อไวรัสทำให้เย่เลี่ยนที่กำลังอยู่ในภาวะจิตใจว่างเปล่าเกิดการรับรู้แบบใหม่ขึ้น...
“เย่เลี่ยน?” หลังจากพยายามร้องเรียกอยู่อีกสามสี่ครั้ง ในที่สุดหลิงม่อก็ยอมรับความจริงที่ว่าเย่เลี่ยนยังไม่กลับคืนมาเป็นปกติ
แต่อย่างน้อยเย่เลี่ยนก็แสดงความรู้สึกให้เห็นบ้าง แล้วก็เริ่มเดินไปไหนมาไหนเองแล้ว ไม่ว่านี่จะเป็นเค้าลางถึงการกลับมาเป็นปกติของเย่เลี่ยน หรือว่าวิวัฒนาการใหม่ของเชื้อไวรัส แต่อย่างน้อยก็บ่งบอกว่าสิ่งที่หลิงม่อรอคอยเริ่มจะมีหวังบ้างแล้ว
.........................................................................