ตอนที่แล้วบทที่ 6 วังหลวงคือคลังสมบัติเชียวนะ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 8 จิ้งจอกน้อยบ้านตระกูลเถี่ย

บทที่ 7 เรียกท่านแม่ครั้งแรก


บทที่ 7 เรียกท่านแม่ครั้งแรก

 

หวังโหรวฮวาเติมน้ำใส่โอ่งใบหนึ่งจนเต็ม แต่น้ำที่เติมลงไปนั้นไม่ได้มาจากบ่อเถียนสุ่ย มันเป็นน้ำแร่ภูเขาที่องครักษ์บนกำแพงเมืองเขตพระราชฐานช่วยตักมาให้

 

สิ่งที่หวังโหรวฮวาพอจะตอบแทนได้ก็คือ ช่วยทหารองครักษ์ที่ไม่มีครอบครัวอยู่ในเมืองหลวงซักและปะชุนเสื้อผ้า แม้นางจะพร่ำบอกว่าไม่ต้องการเงิน แต่ว่าพวกเขาก็ไม่ยอมให้นางต้องเหนื่อยเปล่า มักจะมีเหรียญอีแปะสามถึงห้าเหรียญใส่ตะกร้าหย่อนลงมาพร้อมกับเสื้อผ้าที่ต้องการให้นางจัดการซักปะชุนทุกครั้งไป

 

หวังโหรวฮวายังได้ยินมาว่า ผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายในวังหลวงหลบหนีโรคระบาดไปที่เขาชุ่ยเวยกันหมดแล้ว อย่างน้อยต้องรอให้อากาศหนาวเย็นลงก่อนถึงจะกลับมา

 

สถานการณ์โรคระบาดในเมืองหลวงนับวันจะรุนแรงมากยิ่งขึ้น แม้จะเป็นช่วงกลางวันก็ตาม แต่บนท้องถนนกลับไม่เห็นคนสัญจรไปมาเลยสักคน หรือต่อให้เจอบ้างก็ล้วนมีสีหน้าร้อนรนกระวนกระวาย...

 

ครอบครัวของผู้มีฐานะมั่งคั่งร่ำรวยพากันเดินทางออกนอกเมือง ส่วนผู้คนที่เหลืออยู่ต่างมีเหตุผลที่ไม่อาจไปจากที่นี่ได้ ทุกคนอดทนรอให้สายลมแห่งฤดูใบไม้ร่วงมาเยือนอย่างยากลำบาก

 

หวังโหรวฮวาทำอะไรระมัดระวังยิ่งกว่าเดิม นางไม่เคยเดินออกนอกระยะสิบก้าวจากกำแพงเมืองเขตพระราชฐาน อีกทั้งบริเวณนี้รายล้อมไปด้วยที่พำนักเชื้อพระวงศ์ตระกูลจ้าว ทำให้พวกนางแม่ลูกมีแนวป้องกันชั้นดีที่ได้มาโดยสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวย พื้นที่ละแวกใกล้เคียงบ้านของนางจึงไม่มีใครล้มลงขาดใจตาย

 

เรื่องนี้นับว่าจวนไคเฟิงก็มีความดีความชอบอยู่ด้วย รอบกำแพงเขตพระราชฐานเป็นเขตเฝ้าระวังระดับสูงที่มีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด เวลานี้ไม่ต้องกล่าวถึงในรัศมีสิบก้าว ต่อให้ในรัศมีสิบจั้งก็ไม่อนุญาตให้ใครย่างกรายเข้ามา

 

ในที่สุดก็หาสาเหตุของโรคระบาดครั้งนี้พบแล้ว กล่าวได้ว่าจวนไคเฟิงเป็นหน่วยงานของทางการที่มีประสิทธิภาพสูงจริงๆ สาเหตุของโรคระบาดเป็นเพียงแค่อาการท้องเสียอย่างรุนแรง(โรคบิด)เท่านั้น ไม่ใช่โรคระบาดร้ายแรงที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว(อหิวาต์) ทำให้ผู้คนทั้งหลายถอนหายใจด้วยความโล่งอก

 

ถ้าหากเป็นโรคระบาดร้ายแรง สวรรค์คงรู้ว่าเมืองหลวงจะมีคนตายอีกเท่าใด...

 

หลังจากรู้ว่าสาเหตุมาจากอาการท้องเสียรุนแรง วันหนึ่งเถี่ยซินหยวนก็โดนหวังโหรวฮวาจับอาบน้ำผสมเกลือวันละสามครั้ง แน่นอนว่าเจ้าจิ้งจอกน้อยก็ได้รับการดูแลเช่นนี้ด้วย ทุกวันยามอาทิตย์ตกดินเมื่อหวังโหรวฮวาอาบน้ำให้เถี่ยซินหยวนกับเจ้าจิ้งจอก บรรดาองครักษ์บนกำแพงต่างมองดูแล้วหัวเราะเฮฮาชอบใจ

 

นอกจากนี้ในบ้านยังมีกลิ่นเปรี้ยวจางๆ ซึ่งเป็นกลิ่นจากน้ำส้มสายชูที่หวังโหรวฮวาใช้รมจนทั่วบ้านวันละสามรอบหลงเหลืออยู่

 

ส่วนมุ้งกันยุงหลังใหม่เอี่ยมอ่องก็กินพื้นที่ในบ้านไปเกือบครึ่ง และหวังโหรวฮวาไม่ยอมให้เถี่ยซินหยวนออกมานอกมุ้งเลยแม้แต่น้อย แต่ละวันนางจะต้องตรวจดูรอบมุ้งอย่างละเอียดรอบหนึ่ง เมื่อพบว่าไม่มียุงเล็ดลอดเข้ามาเลยสักตัว จิตใจถึงรู้สึกสงบลงได้

 

แม้เถี่ยซินหยวนอยากออกไปดูดงเห็ดพิษชนิดนั้นมากเพียงใด แต่เขาก็หาโอกาสไม่ได้สักนิด ถ้าหากเขากล้าคลานออกนอกมุ้ง หวังโหรวฮวาก็จะจับมาตีก้นแรงๆ เสียสองสามครั้ง

 

ในที่สุดสายลมฤดูใบไม้ร่วงก็มาเยือนแล้ว...

 

ผลไม้ที่หวังโหรวฮวาปลูกเอาไว้หน้าบ้านก็แตกยอดสีเขียวอ่อนออกมาแล้วเช่นกัน ยอดอ่อนที่เพิ่งโผล่พ้นดินคงไม่มีทางทนสายลมหนาวเหน็บที่กำลังจะพัดมาได้แน่ ทำให้หวังโหรวฮวาที่ตั้งใจปลูกไม้ผลไว้ให้บุตรชายกินสักต้นรู้สึกผิดหวังอย่างมาก

 

ทว่าก็มีข้อดีอยู่อย่างหนึ่งนั่นก็คือ โรคระบาดที่เกิดขึ้นค่อยๆ หายไปแล้ว...

 

หวังโหรวฮวามองเห็นด้วยตาตัวเองว่า ถนนตรงหน้าไม่มีรถเข็นขนร่างคนตายออกไปนอกเมืองสามวันแล้ว นางจึงรู้สึกสบายใจอย่างแท้จริง

 

ทันทีที่รู้สึกมั่นใจกับสถานการณ์ภายนอกแล้ว นางก็ขังบุตรชายและลูกจิ้งจอกเอาไว้ในบ้าน จากนั้นรีบร้อนเข็นรถขนของไปที่ถนนหม่าสิง

 

หวังโหรวฮวาที่เคยทำนาเลี้ยงชีพรู้ดีว่า ฤดูใบไม้ร่วงเป็นช่วงเวลาอันมีค่าในการกักตุนเสบียงอาหาร โดยเฉพาะช่วงเวลาที่เกิดภัยแล้งเช่นนี้ ไม่นานราคาอาหารจะพุ่งสูงขึ้นแน่นอน ไม่มีใครเข้าใจดีไปกว่าหญิงชาวนาอย่างนางอีกแล้วว่าเสบียงอาหารมีความสำคัญกับทุกครอบครัวมากเพียงใด

 

หลังจากผ่านการฝึกฝนอย่างต่อเนื่องตลอดสี่เดือน เถี่ยซินหยวนที่มีอายุครบเก้าเดือนสามารถยืนบนพื้นได้อย่างมั่นคงแล้ว ในวันนี้นอกจากเรื่องที่เขายังวิ่งไม่ได้ เวลาเดินไปมาไม่ต้องให้หวังโหรวฮวาช่วยประคองแล้ว

 

เถี่ยซินหยวนนอนหมอบอยู่ตรงซอกประตู เมื่อมองเห็นมารดาเดินจากไปไกลแล้ว เขาก็โบกมือให้เจ้าจิ้งจอก ทางฝ่ายเจ้าจิ้งจอกก็มุดออกไปทางช่องว่างใต้ประตูอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นปีนตะกายประตูขึ้นไป ใช้ปากดันไม้กลอนขัดประตูออก แล้วใช้กรงเล็บผลักประตูให้เปิดออกมา

 

ตลอดสี่เดือนที่ผ่านมาเถี่ยซินหยวนเพียงแค่ตัวโตกว่าเดิมเล็กน้อย แต่เจ้าจิ้งจอกกลับเติบโตขึ้นเป็นจิ้งจอกที่งดงามใกล้โตเต็มวัยตัวหนึ่ง รอให้มันผลัดขนสีเหลืองอ่อนทิ้งไป และหลังเข้าสู่ฤดูหนาวมีขนงอกขึ้นมาใหม่ มันก็จะเติบโตกลายเป็นจิ้งจอกขนขาวเหลือบเงินตัวหนึ่งอย่างสมบูรณ์

 

ใช้เวลาเพียงไม่นานก็มาถึงบริเวณที่เป็นดงเห็ด เถี่ยซินหยวนรู้สึกผิดหวังอย่างยิ่งกับภาพตรงหน้า แม้ว่าจะมีเห็ดฟางขึ้นอยู่นับไม่ถ้วน แต่เห็ดราอะมานิตามัสคาเรียก็แห้งเหี่ยวเสียแล้ว จริงอยู่ที่มีสปอร์สีดำกระจายอยู่ทั่วไป แต่กลับไม่มีเห็ดที่เบ่งบานเต็มที่เลยสักดอก

 

เจ้าจิ้งจอกน้อยกินเห็ดฟางอย่างเอร็ดอร่อย บางครั้งยังคาบมาวางไว้ข้างกายเถี่ยซินหยวนด้วย มันรู้สึกประหลาดใจนักว่าของอร่อยขนาดนี้ทำไมเถี่ยซินหยวนไม่กิน

 

ประโยคที่ว่าเห็ดจากดินแดนทางเหนือสามารถทนกับลมหนาวได้ไม่เป็นความจริงเลยสักนิด

 

สายลมโชยพัดมาแต่ไกล ใบไม้แห้งที่กองอยู่เต็มไปหมดลอยขึ้นตามแรงลมปะทะกับกำแพงสูงแล้วร่วงลงสู่พื้นดิน ครู่หนึ่งก็มีใบไม้แห้งคลุมเท้าของเถี่ยซินหยวนจนเกือบมิดอย่างรวดเร็ว

 

เวลานี้หัวใจของเขาอ้างว้างและหนาวเหน็บไม่ต่างจากสายลมที่พัดมา ...เห็ดนั่นเป็นของดีแค่ไหนรู้ไหม มันเหมาะให้เด็กตัวน้อยๆ อย่างเขาใช้ป้องกันตัวเป็นที่สุดเลยนะ เหตุใดไม่ยืนหยัดงอกงามให้นานกว่านี้สักหน่อยเล่า?...

 

ทันใดนั้นเองเจ้าจิ้งจอกน้อยเหมือนจะสะดุ้งตกใจกับอะไรบางอย่าง เพียงพริบตามันก็กระโดดมาอยู่ข้างกายเถี่ยซินหยวน แอบหลบอยู่ตรงขาของเขา หันหน้าไปทางใบไม้แห้งกองหนึ่งพลางส่งเสียงครางหงิงๆ

 

ตัวอะไรบางอย่างรูปร่างกลมๆ พร้อมขนหนามแหลมคมสีน้ำตาลอมเทากลิ้งออกมาจากกองใบไม้ เถี่ยซินหยวนเหลือบมองก็เห็นว่าเป็นเพียงเม่นตัวหนึ่งเท่านั้น แต่แล้วดวงตาของเขาพลันส่องประกายวาววับ เพราะกลางกองใบไม้ที่เจ้าเม่นกลิ้งหลุนๆ ออกมา มีเห็ดสีแดงสดหลายดอกงอกงามอยู่

 

เถี่ยซินหยวนร้อนใจจนทนไม่ไหว เขาใช้รองเท้าหัวเสือที่ตนสวมอยู่ถีบเจ้าเม่นกระเด็นไป แล้วหยิบกระบอกไม้ไผ่ที่มารดาทำไว้ให้เล่นออกมา เขาเก็บเห็ดเหล่านั้นเข้าไปอย่างระมัดระวัง หลังจากปิดปากกระบอกแน่นหนาแล้ว เขาถึงสัมผัสได้ชัดเจน ดูเหมือนสวรรค์ดีต่อเขาไม่น้อยเลย

 

แม้เห็ดพิษที่เหลือจะกลายสภาพเป็นสปอร์ไปหมดก็ไม่เป็นปัญหา รอถึงฤดูใบไม้ผลิในปีหน้า เมื่อพวกมันโดนสายฝนรินรดจนชุ่มฉ่ำ จะต้องงอกงามขึ้นมาอีกครั้งแน่นอน

 

ขณะเดินเลียบไปตามแนวกำแพงเพื่อมุ่งหน้ากลับบ้าน เถี่ยซินหยวนไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเลยสักนิด หลังจากย่างเท้าเข้าประตูบ้านไปแล้ว เขาก็ให้เจ้าจิ้งจอกลงสลักประตูเรียบร้อยเสียก่อน มันถึงค่อยมุดเข้ามาทางช่องว่างใต้ประตู

 

ภายในบ้านมืดทึบอับแสงยิ่ง มารดาเขาเสียสละไม่ออกแบบให้บ้านมีหน้าต่างโดยไม่จำเป็น เพื่อรักษาความอบอุ่นในบ้านเอาไว้ แต่เหนือประตูบ้านยังมีรอยแยกเล็กน้อยให้แสงลอดเข้ามาได้ บ้านหลังน้อยของพวกเขาแม่ลูกหันหลังให้ทิศเหนือและหันหน้าไปทางทิศใต้ เช่นเดียวกับพระราชวังอันยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม

 

ในเวลานี้ยังมีแสงสว่างสาดส่องเข้ามาจากช่องว่างเหนือประตูบ้าน แสงนั้นกระทบกับใบหน้าเล็กๆ ที่แสดงความพึงพอใจและฮึกเหิมลำพองของเถี่ยซินหยวน เจ้าจิ้งจอกส่งเสียงร้องครั้งหนึ่งก่อนจะมุดเข้าไปอยู่ในตะกร้าใต้เตียง แล้วยื่นหน้าออกมาเฝ้ามองเถี่ยซินหยวนฉีกเห็ดพิษนั้นเป็นชิ้นๆ และนำไปอังไฟในกระถาง

 

หลังเวลาผ่านไปนานพอสมควร เถี่ยซินหยวนก็ดึงผ้าปิดจมูกของตนลง แล้วสูดอากาศบริสุทธิ์จากภายนอกที่เล็ดลอดเข้ามาทางประตูจนเต็มปอด จากนั้นจึงหันไปมองซากเห็ดแห้งๆ สีเหลืองเกรียมเล็กน้อยที่วางอยู่บนแผ่นกระเบื้องเหนือกระถางไฟ ก่อนจะหัวเราะเสียงดังด้วยความสะใจยกใหญ่

 

หากต้องการบดเจ้าเห็ดพวกนี้ให้ละเอียดเป็นผง เถี่ยซินหยวนที่อายุยังน้อยไม่มีทางทำได้แน่ เขาจึงค่อยๆ เก็บเห็ดที่อังไฟแล้วลงกระบอกไม้ไผ่ จากนั้นส่งสัญญาณให้เจ้าจิ้งจอกเอาไปซ่อนไว้ เขาเป็นกังวลว่าท่านแม่จะพบเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ และนางอาจนำเห็ดที่ส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปต้มน้ำแกงให้เขากิน

 

จิ้งจอกตัวนี้ซุกซ่อนของเก่งนัก ไม่มีใครทราบเลยว่ามันจะเอาของไปซ่อนไว้ที่ไหน

 

หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เถี่ยซินหยวนรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเหลือเกิน เขาปีนขึ้นไปบนเตียงยกพื้นไม่สูงนัก ยังไม่ทันถอดรองเท้าหัวเสือออกเสียด้วยซ้ำก็นอนหลับครอกๆ ไปเสียก่อน

 

ในความฝันเขาเห็นหยางไฮว๋อวี้ถือทวนเล่มยาวทั่วร่างเต็มไปด้วยบาดแผล ตรงเข้าปะทะกับเหล่าองครักษ์สวมชุดเกราะราวพยัคฆ์ร้ายคลุ้มคลั่ง สุดท้ายโดนทวนขององครักษ์แทงเข้าที่ขาถึงได้คุกเข่าลงกับพื้น ปากยังเปล่งวาจาเหลวไหลเพ้อเจ้อต้องการเข่นฆ่าผู้คน

 

ขณะเดียวกันนั้นเปาเจิ่งกำลังนั่งอยู่ในศาล ปากก็เอ่ยพิพากษาคดี มือก็จับพู่กันเขียนคำตัดสินลงไป เพียงไม่นานหลังจัดการเอกสารม้วนใหญ่จนเสร็จสิ้น เขาก็โยนพู่กันทิ้งก่อนจะหัวเราะเสียงดังแล้วเดินอาดๆ จากไป โดยทิ้งราษฎรไว้ในศาลมากมายนับไม่ถ้วน เสียงเรียกร้องความเป็นธรรมดังสะเทือนเลือนลั่นจนกระเบื้องหลังคาแทบจะถล่มลงมา...

 

“เจ้าหยวน ตื่นสิ เจ้าหยวน ตื่นสิลูก...”

 

มีเสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างไร้ที่มาที่ไป ทำให้เถี่ยซินหยวนส่งเสียงเรียกทั้งที่ยังสะลึมสะลือว่า “แม่!” ทันใดนั้นก็สะดุ้งตัวสั่นแล้วลุกขึ้นนั่ง

 

ทว่าเขากลับเห็นหวังโหรวฮวามองมาที่ตัวเองอย่างตกตะลึง ในดวงตาเปี่ยมด้วยความตื่นเต้นยินดีเกินพรรณนา เถี่ยซินหยวนถอนหายใจแผ่วเบาเฮือกหนึ่ง แล้วหลับตาลงยอมรับชะตากรรม

 

หลังจากนั้นก็เป็นไปอย่างที่คิดไว้ มารดาอุ้มร่างเล็กๆ ของเขาขึ้นมา จับหมุนลอยไปในอากาศอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากของนางราวสายฝนพร่างพรม รัวหอมใบหน้า ศีรษะ หน้าท้องและบั้นท้ายกลมๆ ของเขา...

 

“เจ้าหยวนของข้าพูดได้แล้ว”

 

“เจ้าหยวนของข้าเรียกแม่ได้แล้ว”

 

“เจ้าหยวนของข้าฉลาดที่สุดจริงๆ ด้วย เจ้าลูกหมาบ้านพี่ห้าของตระกูลเถี่ยอายุสองขวบยังเรียกใครไม่เป็นเลย ชอบเรียกพ่อผิดเพี้ยนไปอยู่เรื่อย”

 

“ฮ่าๆๆ ลูกชายของข้าฉลาดที่สุดจริงๆ ด้วย...”

 

“พี่ชี ท่านเห็นไหม? ท่านได้ยินแล้วใช่ไหม? ลูกชายของเราพูดได้แล้ว...”

 

ความปลื้มปิติกับความเจ็บปวดเสียใจของหวังโหรวฮวาแปรเปลี่ยนไปมารวดเร็วนัก เถี่ยซินหยวนสัมผัสได้ถึงหยดน้ำตาอุ่นร้อนไหลลงกระทบใบหน้า อดถอนใจขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้ ก่อนจะยื่นมือไปโอบกอดหญิงผู้นี้เอาไว้ เขาและนางต้องพึ่งพาอาศัยกันเพื่อความอยู่รอด อีกทั้งในชาตินี้สายใยที่เชื่อมโยงชีวิตพวกเขาทั้งสองคน เกรงว่าไม่ใช่เพียงสายเลือดเท่านั้น แต่ยังมีความผูกพันอันลึกซึ้งด้วย ความรู้สึกดังกล่าวเป็นดั่งเส้นเชือกผูกมัดสองชีวิตที่โดดเดี่ยวให้อยู่ด้วยกันอย่างแน่นหนา

 

ในค่ำคืนนี้หวังโหรวฮวารู้สึกตื่นเต้นจนไม่อาจข่มตาหลับได้ นางพยายามหลอกล่อให้เถี่ยซินหยวนพูดไม่ยอมหยุด เถี่ยซินหยวนก็ฝืนทนยอมเรียก ‘แม่’ ให้นางฟังนับสิบๆ ครั้ง จากนั้นเขาก็ไม่อาจต้านทานการจู่โจมจากปีศาจนิทราได้อีก จึงผล็อยหลับไปในที่สุด

 

เมื่อท้องฟ้าเริ่มปรากฏแสงสว่างสีขาวจางๆ เพียงเล็กน้อย หวังโหรวฮวาที่ไม่ได้นอนมาทั้งคืนก็ออกมาจากบ้าน แล้วตะโกนบอกองครักษ์ที่ยืนประจำตำแหน่งอยู่บนกำแพงด้วยความดีใจว่า “พี่จางงง เจ้าหยวนของข้าพูดได้แล้ว!!”

 

ทหารองครักษ์บนกำแพงขยี้ตาที่ยังสะลึมสะลือไม่หาย ก่อนจะอ้าปากหาวแล้วเอ่ยว่า “แม่สาวแซ่เถี่ย ลูกชายของเจ้าพูดได้ไม่ใช่เรื่องแปลกสักหน่อย เจ้าที่มายืนตะโกนโหวกเหวกแต่เช้าตรู่ต่างหากเล่า ทำให้ข้ารู้สึกประหลาดใจ”

 

“เจ้าหยวนของข้าพูดได้แล้ว เมื่อคืนนี้เขาเรียกข้าว่าแม่ตั้งหลายสิบครั้งเชียวนะ”

 

องครักษ์ผู้นั้นหัวเราะเสียงดังก่อนเอ่ยว่า “ลูกชายเรียกข้าว่าพ่อมาสิบกว่าปี ถึงเวลาต้องตีสั่งสอนข้าก็ยังต้องทำมิใช่รึ?

 

ในเมื่อลูกรักของเจ้าพูดได้ ก็แปลว่าเขาโตแล้วสินะ ถึงเวลาสมควรโดนตีสั่งสอนแล้ว เมื่อวานนี้ยังเห็นเขาวิ่งเล่นซุกซนแถวริมกำแพงอยู่เลย ฮ่าๆๆ ...”

 

“วิ่งเล่น? เป็นไปไม่ได้หรอก ข้าลงกลอนประตูเอาไว้แล้ว”

 

องครักษ์แซ่จางหัวเราะหึๆ แล้วกล่าวว่า “ลูกชายเจ้าเป็นปีศาจน้อยที่เฉลียวฉลาดยิ่ง ข้าว่าลูกจิ้งจอกที่เจ้าเลี้ยงเอาไว้คงใกล้กลายร่างเป็นปีศาจจิ้งจอกแล้วสิ ถึงช่วยลูกชายเจ้าเปิดประตูได้

 

หึๆ มีลูกชายร้ายกาจเช่นนี้ แม่สาวแซ่เถี่ย ภายหน้าเจ้าได้โมโหไม่เว้นวันแน่!”

 

สีหน้าของหวังโหรวฮวาเปลี่ยนไปในพริบตา นางหันกายกลับเข้าไปในบ้าน คว้าตัวเจ้าลูกจิ้งจอกออกมาจากใต้เตียง ก่อนจะจ้องหน้ามันอย่างดุร้ายแล้วเอ่ยว่า “เจ้าเปิดประตูให้เจ้าหยวนจริงรึ?”

 

----------------------------

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด