บทที่ 33 บุรุษผู้สร้างแรงกดดันให้กับทุกสรรพสิ่ง
บทที่ 33 บุรุษผู้สร้างแรงกดดันให้กับทุกสรรพสิ่ง
ท้องฟ้ายามนี้ปั่นป่วนจนแยกแยะไม่ออกแล้วว่าเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าเคยสว่างเจิดจ้าไปด้วยแสงอาทิตย์ เหล่านักเรียนจากสถาบันฝึกปราณลำดับที่หนึ่งต่างต้องผจญกับกองทัพมารจำนวนมหาศาลที่แห่ทะลักออกมาจากหลุมไหนก็ไม่ทราบ พวกเขาต่างทุ่มเทแรงกายทั้งหมดเพื่อรับมือกับกองทัพมารเหล่านั้นอย่างเต็มความสามารถ แต่เพราะส่วนใหญ่ไม่เคยต่อสู้กับมารมาก่อนจึงทำให้ขาดประสบการณ์และเพลี่ยงพล้ำได้ง่าย
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ประชากรนักเรียนของสถาบันต้องบาดเจ็บล้มตายไปเป็นจำนวนมหาศาล...
โลกในยุคปัจจุบันเป็นยุคที่ทุกคนต่างรับรู้ถึงตัวตนของมาร พวกเขาต่างถูกปลูกฝังให้ฝึกฝนวิชาต่อสู้และพลังปราณเพื่อต่อสู้กับพวกมัน แต่พอนับเข้าจริง ๆ แล้วกลับมีเพียงจำนวนสิบเปอร์เซ็นต์จากทั้งหมดของประชากรมนุษย์ปัจจุบันเท่านั้นที่เคยพบเห็นและต่อสู้กับพวกมันมาก่อน
โลกที่รับรู้ว่าไม่สงบสุขแต่ก็ยังสงบสุขมาเนิ่นนานทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ไม่มีความตั้งใจจริงแท้ในการฝึกฝน พอวันหนึ่งต้องมาเผชิญหน้ากับมารตัวจริงจึงทำให้ไม่รู้จักวิธีรับมือไม่ว่าจะทั้งการปรับอารมณ์และกระบวนท่า บุคคลที่พอจะรับมือกับมารได้จึงมีเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้น
ซิลเฟร์กับบาลล์คือสองคนในหมู่นักเรียนจำนวนทั้งหมดที่สามารถสังหารเหล่ามารไปได้มากที่สุด พวกเขายืนหยัดต่อสู้กับพวกมันเป็นแนวหน้าเหนือบรรดานักเรียนทั้งหมดทั้งปวง หากไม่มีพวกเขาอยู่เกรงว่าสถานที่แห่งนี้อาจจะถูกทำลายย่อยยับไปแล้วก็เป็นได้
แผ่นหลังของชายหนุ่มทั้งสองคนกระทบกันเอง พวกเขาหันหลังให้กันและมองดูเหล่าศัตรูที่ลอยเข้ามาล้อมรอบพวกเขาจากทุกทิศทาง แม้จะกำจัดพวกมันไปเป็นพันแต่ก็ให้ความรู้สึกเหมือนจำนวนมันไม่ได้ลดหลั่นลงเลยสักนิด ทั้งที่พวกเขาเริ่มเหนื่อยล้าขึ้นมากเต็มทนแล้ว
“เอาไง กำลังเสริมจากจักรวรรดิยังไม่มาอีกเหรอ” บาลล์เป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน
“กองกำลังหลักของจักรวรรดิค่อนข้างอยู่ห่างจากที่นี่ แต่คิดว่าคงอีกไม่นานก็ใกล้จะถึงแล้ว” ซิลเฟร์ตอบกลับไป
เขามองดูนักเรียนทั้งหลายที่ต่อสู้กับมารบนพื้นดินด้านล่าง พอได้เห็นการต่อสู้ที่เหมือนฝ่ายมารจะได้เปรียบอยู่ฝ่ายเดียวแล้วก็ทำให้ซิลเฟร์รู้สึกท้อใจขึ้นมา
“ไม่มีใครพอจะสู้กับพวกมันได้เลยหรือไงกัน แล้วนี่เจ้าบ้านั่นมัวทำอะไรอยู่” เจ้าบ้าที่ซิลเฟร์เอ่ยถึงไม่ใช่ใครนอกเสียจากตัวของสไปค์ เพราะสาเหตุที่เขามาต่อสู้บนอากาศนี่ก็เพราะวางใจให้สไปค์กับฟลอร์เลนคอยดูแลภาคพื้นดินหรอกนะ แต่สถานการณ์ที่มารกำลังเพ่นพ่านไปทั่วพื้นนี่มันอะไรกัน
ขณะที่พูดอยู่ก็มีมารตัวหนึ่งบินพุ่งเข้ามาหมายจะจัดการซิลเฟร์ทีเผลอ แต่เพียงแค่มันเข้ามาในระยะห่างจากตัวไม่ถึงห้าเมตร ร่างของมันก็สลายกลายเป็นฝุ่นผงไปในพริบตาเดียว แม้จะทำทีเหมือนเปิดช่องว่างแต่ความจริงแล้วบุรุษผู้เป็นถึงเจ้าตำหนักวายุผู้นี้ยังคงมีประสาทสัมผัสเฉียบคม ไม่มีทางโดนโจมตีทีเผลอได้ง่าย ๆ
บาลล์เองก็ไม่ต่างกัน เขาผู้เป็นถึงเจ้าตำหนักอัสนีเริ่มโชว์พลังปราณมังกรที่ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดในหมู่ปราณขึ้นมา เขากางฝ่ามือออกก่อนจะควบคุมดินฟ้าอากาศรอบข้าง สายลมแปรปรวนหนักหน่วง ก้อนเมฆสีครึ้มส่งเสียงร้องสนั่นหวั่นไหว ไม่นานนักก็มีสายฟ้าฟาดลงมาใส่ร่างของมารเหล่านั้นจนแหลกสลายไปไม่ต่ำกว่าพันตน
“นี่ข้าทำแบบนี้ไปหลายรอบละนะ แต่จำนวนมันทำไมเหมือนไม่ลดลงเลยวะเฮ้ย!”
“พวกมันมีมากกว่าที่คิดเอาไว้ บางทีอาจจะต้องหาจุดเชื่อมต่อระหว่างมิติของมันกับของเราแล้วปิดมันซะ”
“จุดเชื่อมต่อ? เจ้ารู้ได้ยังไงว่ามีของแบบนั้นด้วย”
“อาจารย์ข้าเคยเล่าให้ฟัง พวกมันอาศัยอยู่ในมิติที่สร้างขึ้นโดยเฉพาะ และเคลื่อนไหวผ่านรูโหว่ที่เชื่อมต่อระหว่างโลกของพวกมันกับโลกของพวกเราอยู่เสมอ” พูดพลางต่อสู้ไปพลาง บาลล์ทำหน้าเหมือนจะเข้าใจในสิ่งที่ซิลเฟร์ต้องการจะสื่อ
“โอเคเข้าใจแล้ว จุดเชื่อมต่อสินะ งั้นแยกย้ายกันหาเถอะ!” กล่าวจบร่างของบาลล์ก็หายไปทันที ซิลเฟร์ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อก็ต้องพบว่าตนเองถูกปล่อยทิ้งให้ต่อสู้อยู่ที่นี่เพียงลำพัง
ไอ้เจ้าบ้านั่น...หายไปดื้อ ๆ แบบนี้เลย
ครืน!
แต่ทันใดนั้นซิลเฟร์ก็สัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่แผ่พุ่งออกมาจากบนพื้นดิน แรงกดดันอันหนักหน่วงและน่าสะพรึงกลัวจนทำให้เขาขนลุกขึ้นมาแบบนี้ บอกตามตรงว่าไม่เคยเจอมาก่อน แม้จะเป็นมีลาร์ผู้เป็นอาจารย์ก็ไม่เคยสร้างแรงกดดันที่ชวนขนหัวลุกแบบนี้กับเขาได้
แรงกดดันนี้มาจากใครกัน สไปค์? เจ้าหมอนั่นสามารถปล่อยแรงกดดันได้ขนาดนี้เลย?
ความสงสัยทำให้เขานึกอยากจะลงไปบนพื้นเพื่อมองเห็นให้ได้ด้วยตาตัวเอง แต่เมื่อเจอกับฝูงมารจำนวนมากแล้ว ความคิดนั้นก็ต้องหยุดไป ในใจก็เริ่มรำคาญพวกปลาซิวปลาสร้อยพวกนี้ที่ไม่ได้สร้างความบันเทิงให้กับตัวเขาเลยสักนิด พอคิดได้ดังนั้นแล้วก็หงุดหงิดจนนึกอยากจะกวาดพวกมันในทีเดียวขึ้นมา
“ปราณพยัคฆ์ระดับเจ็ด”
พลังปราณรูปร่างคล้ายเสือยักษ์ลอยตัวขึ้นมาจากด้านหลังทันที
“หมัดวายุทลายพิภพ!”
เขาหมุนตัวอย่างรวดเร็วโดยใช้ขาเป็นศูนย์ถ่วงเหมือนกับลูกข่าง สายลมถูกรวบรวมเข้ามาหาเขาที่เป็นจุดศูนย์กลาง เหล่ามารบนเวหาจำนวนมากเริ่มรู้สึกว่าร่างกายตนเองกำลังถูกดูดเข้าไปในวงพายุที่กำลังก่อตัวขึ้น ซิลเฟร์ส่งเสียงกู่ร้องไล่ระดับจากเสียงเบาขึ้นมาเรื่อย ๆ จนกลายเป็นดังลั่น เขาหมุนควงหมัดที่เป็นสุดยอดวิชาอย่างรวดเร็วและรุนแรง ท้ายที่สุดหมัดนั้นก็กวาดทำลายร่างของพวกมารไปจนไม่เหลือเศษชิ้นเนื้อ!
เมื่อหยุดการควบคุมวิชายุทธ์แล้ว ชายหนุ่มก็พ่นลมหายใจออกมาหนักหน่วง วิชาที่พึ่งใช้ไปเมื่อครู่กินแรงมากกว่าที่คิด แต่มันก็คุ้มค่าเมื่อสามารถกำจัดมารไปได้หลายพันตัวด้วยกัน
ในขณะที่จำนวนมารชุดใหม่กำลังเสริมทัพเข้ามา ซิลเฟร์รีบฉวยจังหวะนั้นพุ่งตัวลงไปยังพื้นผิวดินที่อยู่เบื้องล่าง ไม่นานนักเท้าของเขาก็สัมผัสเข้ากับพื้น และภาพแรกที่เห็นก็คือชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่งที่ดูเด่นเป็นสง่าเหลือเกิน ผิวกายสีเผือกที่เต็มไปด้วยรอยตะปุ่มตะป่ำหลายแห่ง ร่างกายที่ดูหนาแน่นแข็งแรงกำยำ แม้จะมีกล้ามเนื้อที่มองจากภายนอกแล้วเทียบกับไกร่าไม่ได้ แต่ในเชิงความรู้สึกที่สัมผัสผ่านสายตากลับรู้สึกได้ว่าพลังของไกร่าไม่อาจเทียบเคียงได้เลย
ดวงเนตรสีแดงก่ำของมันจับจ้องมาทางซิลเฟร์ผู้เป็นฝ่ายมาเยือนกะทันหัน ทันใดนั้นมันก็อ้าริมฝีปากออกเผยให้เห็นเขี้ยวแหลมคมที่ดูคล้ายจะฉีกกระชากเนื้อหนังเขาได้ทุกเวลา
“พลังนี่มันอะไร...”
พอสัมผัสได้ถึงพลังปราณที่เปล่งออกมาจากร่างกายของมารตนนั้นก็ทำเอารู้สึกอดสั่นขวัญแขวนไม่ได้ นี่มันเป็นอะไรที่เขาไม่เคยพบเคยเจอมาก่อนในชีวิต
เขาหันไปมองทางสไปค์ และพบว่าชายผู้นั้นมีสภาพสีหน้าไม่ต่างไปจากตัวเขาในตอนนี้เลย
“ช่างเป็นเกียรติจริง ๆ การที่ข้าผู้เป็นราชันย์ตัดสินใจปรากฏตัวกลางที่สาธารณะแบบนี้ถึงกับทำให้ยอดฝีมือของมวลมนุษย์ปรากฏตัวขึ้นเพื่อต้อนรับกันอย่างคับคั่ง” อัชลี่ย์เปล่งเสียงออกมาผ่านลำคอเบา ๆ แต่กลับรู้สึกเหมือนเสียงนั้นดังก้องไปทั่วโสตประสาท
พอได้ฟังมันพูดแบบนั้นแล้ว ซิลเฟร์ถึงพึ่งจะรู้สึกตัวว่ามีบุคคลอื่นนอกเหนือจากตัวเขาปรากฏตัวขึ้นมา ณ ที่แห่งนี้ด้วย เมื่อเพ่งสายตามองไปยังกลุ่มคนที่มาใหม่ก็พบว่าจำนวนทั้งหมดสี่คนด้วยกัน และแต่ละคนล้วนแล้วแต่เป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตากันทั้งนั้น
“ไม่ได้เจอกันนานจริง ๆ อัชลี่ย์” ผู้พูดออกมาเป็นคนแรกคือผู้ได้รับสมญานามว่า กระจก และยังเป็นหัวหน้าของกลุ่มนักรบปราณที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวรรดิอย่างกลุ่มสี่สรรพสิ่ง ซึ่งก็คือมีลาร์ผู้มีศักดิ์เป็นอาจารย์ของซิลเฟร์และสไปค์
“หน้าตาน่าเกลียดเหมือนเคย” คนที่สองคือหญิงสาวที่มีท่าทีคล้ายชนชั้นสูง เธอไว้เรือนผมยาวแทบจะถึงต้นขา แววตาเหลือบมองจากเบื้องบน นี่ก็คือหญิงสาวที่มีสมญานามว่า บุปผา มีชื่อเรียกสั้น ๆ ว่าโซเรน
“แต่พลังไม่ได้น่าเกลียดนะ” ชายหนุ่มอีกคนตอบกลับโซเรนเหมือนอ่านบรรยากาศไม่ออกว่าจริง ๆ แล้วเธอตั้งใจเหยียดหยันราชันย์มารอยู่ เขาคนนั้นชื่อว่าเอโนล่า ผู้ได้รับสมญานาม จันทรา
“อ๊ะ สไปค์! เฮ้ ๆ ข้ามาช่วยเจ้าแล้วนะจ๊ะ!” เรนเดลผู้มีสมญานาม วารี โบกมือทักทายสไปค์โดยไม่สนใจใครทั้งสิ้น
ทุกการกระทำและคำพูดล้วนอยู่ภายในขอบเขตสายตาของอัชลี่ย์ด้วยกันหมด ราชันย์มารผู้ที่ในอดีตเคยสร้างความหวาดกลัวไปทั่วทุกแดนดินถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย
“พวกเจ้ากล้าดียังไงถึงได้บังอาจยืนค้ำหัวข้า?”
ปรากฏแรงกดดันมหาศาลกดร่างของนักรบปราณระดับสูงทั้งสี่ลงมา พวกเขาไม่อาจฝืนต้านทานแรงกดดันอันมหาศาลนี้ได้จึงต้องจำใจยอมทิ้งตัวลงมาให้เท้าสัมผัสพื้น สาเหตุมันเกิดจากการที่พวกเขาทั้งสี่ปรากฏตัวบนเวหาแท้ ๆ จึงทำให้อัชลี่ย์รู้สึกไม่ชอบใจสักเท่าไรนัก
“เฮอะ บ้าพลังแล้วก็อำนาจเหมือนเคย!” โซเรนกล่าวอย่างหัวเสีย
ผู้ที่ได้รับแรงกดดันจากอัชลี่ย์ไม่ได้มีแค่กลุ่มสี่สรรพสิ่งเท่านั้น แต่สไปค์กับซิลเฟร์ที่อยู่ใกล้ ๆ ก็โดนผลกระทบนี้เข้าไปเต็ม ๆ เช่นกัน
‘นี่น่ะเหรอ พลังของราชันย์มาร!’
ซิลเฟร์คิดในใจ ความมั่นใจที่เขามีอยู่แทบจะดับสูญเมื่อยืนอยู่เบื้องหน้าราชันย์ผู้นี้
อัชลี่ย์แสยะยิ้มก่อนจะหันไปจ้องที่แววตาของฟลอร์เลนซึ่งยังคงแสดงอารมณ์อ่อนไหวออกมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว ราชันย์มารเอื้อมมือเข้าไปจับปลายคางของเธอก่อนจะยกขึ้นเพื่อให้หน้าเธอเงยมองเขา ระยะห่างที่ใกล้เพียงปลายจมูกสัมผัสนั้นทำให้อารมณ์ของสไปค์พลุ่งพล่านขึ้นมา เขาไม่สนแล้วว่าเจ้านี่จะเป็นราชันย์หรืออะไรที่ไหน และไม่สนด้วยว่าฟลอร์เลนจะเป็นมารจริง ๆ หรือไม่
ที่เขาสนที่สุดตอนนี้คือ แกอย่าได้ทำอะไรบ้า ๆ กับผู้หญิงคนนั้น!
สไปค์พุ่งตัวเข้าประชิดอัชลี่ย์ทันที และโดยไม่รอช้าก็ปล่อย กระบวนท่ารุก เข้าจู่โจมใส่อีกฝ่ายอย่างสุดแรง!
ตูม!!!
พลังจู่โจมอันหนักหน่วงทำเอาอัชลี่ย์ถึงกับกระเด็นไปไกล สไปค์อาศัยจังหวะนั้นตรงเข้าไปอุ้มร่างของฟลอร์เลนขึ้นมาแล้วกระโดดเข้ามาหาอัชลี่ย์ที่เหมือนจะยืนรออยู่ก่อนแล้ว ทั้งคู่เหมือนสนทนากันได้โดยไม่ต้องพูดอะไรออกมา สไปค์ยื่นกระจกเงามารคืนให้กับมีลาร์ ส่วนมีลาร์ก็ใช้พลังของกระจกสร้างเกราะคุ้มกันภัยให้กับฟลอร์เลนอย่างแน่นหนา
“เจ้าดูแลเธอไป ทางนี้พวกข้าจะจัดการต่อเอง”
“ครับ!”
สไปค์ขานรับ สาเหตุที่มีลาร์ตัดสินใจสร้างโล่นี้ขึ้นเพื่อปกปักษ์ฟลอร์เลนเป็นเพราะว่าเขาเห็นท่าไม่ดีขึ้นมา บางทีถ้าหากฟลอร์เลนเป็นอะไรไปมันอาจจะเป็นชนวนต้นเหตุให้สไปค์ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ก็เป็นได้
อัชลี่ย์ขยับกายลุกขึ้นจากกองเศษซากอาคารที่ล้มทับเขาอยู่ เขาใช้มือทั้งสองปัดเศษฝุ่นเศษดินที่ติดตามร่างกาย สายตาทั้งคู่ก็จับจ้องมาทางนี้ไม่วางตา ทุกคนในที่นี้มีความรู้สึกว่าทั่วทั้งร่างของมันเหมือนกำลังส่งเสียงกรีดร้อง มันไม่ได้กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด แต่กำลังกรีดร้องเพื่อเรียกเอาบางสิ่งบางอย่างออกมาจากภายในร่างกายของมันเอง
ออร่าแสงสีดำทมิฬผุดออกมาจากร่างกายของมัน สร้างความหวาดหวั่นให้กับทุกผู้คนในที่แห่งนี้โดยเฉพาะกับกลุ่มสี่สรรพสิ่งทั้งหมดที่ล้วนแต่เคยเห็นภาพนี้มาก่อนแล้วเมื่อยี่สิบปีก่อน
“จงหายไปซะ”
อัชลี่ย์เอ่ยเสียงเยียบเย็น ปราณสีดำทมิฬไหลหลั่งทะลักออกจากร่างกาย พื้นที่รอบข้างของมันล้วนแต่ผุกร่อนพังสลายเมื่อสัมผัสเข้ากับเนื้อปราณที่มันแผ่ขยายออกมาเป็นวงกว้าง
“มีลาร์!”
“เข้าใจแล้ว!”
มีลาร์ขานรับเสียงของเรนเดลก่อนจะกระโดดขึ้นไปลอยตัวบนท้องฟ้า ในมือเขาถือกระจกเงามารที่ในตอนนี้เปล่งประกายแสงออกมา กระจกบานนั้นกลายสภาพเป็นก้อนแสงก่อนจะขยายขนาดขึ้นกว้างแล้วครอบคลุมพื้นที่แห่งนี้จนหมด ราวกับเป็นพื้นที่ที่ตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง
พลังปราณระดับเก้า โลกจำลองเสมือนจริง!
พลังของมีลาร์ครอบคลุมพื้นที่แห่งนี้เอาไว้จนมิด และจะไม่มีสิ่งใดเล็ดลอดผ่านเข้าออกได้เป็นอันขาด รวมถึงความเสียหายที่เกิดภายในพื้นที่ก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิมเมื่อคลายพลังออกอีกครั้ง
โซเรนเป็นผู้เริ่มต้นจู่โจมก่อนเป็นคนแรก ในมือทั้งสองของเธอแบกปืนใหญ่ขนาดใหญ่กว่าลำตัวอยู่หนึ่งกระบอก มันเป็นปืนใหญ่สีชมพูที่มีความสามารถในการสร้างกระสุนจากพลังปราณของผู้ใช้ ยิ่งผู้ใช้มีพลังปราณกล้าแข็งเพียงใดก็ยิ่งสามารถสร้างกระสุนที่มีพลังสูงส่งขึ้นมากเท่านั้น
พลังปราณระดับเก้า!
อานุภาคแห่งพลังรวมตัวขึ้นภายในกระบอกปืนใหญ่ ละอองแสงแห่งพลังเข้ามารวมตัว ณ ปลายกระบอกปืนก่อนจะลั่นไกออกไปอย่างรุนแรง ก่อเกิดเป็นกระสุนพลังที่แข็งแกร่งไร้เทียมทาน กวาดเอาทุกสิ่งที่ขวางหน้าให้สลายหายไป
อัชลี่ย์แสยะยิ้มกางแผ่นอกอันหนาแน่นออกมา ตั้งใจจะรับกระสุนพลังนั้นไว้เต็มกำลัง ออร่าปราณสีดำทมิฬไหลหลั่งกลับคืนสู่ร่างกายเป็นจุดเดียว
“ปราณไร้ลักษณ์ระดับเก้า เคล็ดสยบมังกร”