บทที่ 26 : ร้านชา
บทที่ 26 : ร้านชา
“ผมนึกว่าเราจะไปเดินเที่ยวกัน” ฮอรัสเอ่ยเสียงต่ำในลำคอโดยไม่มองคู่สนธนา เพียงแค่นั่งหลังตรงอย่างเรียบร้อยบนเก้าอี้ไม้ เข้าชุดเดียวกันกับโต๊ะสีน้ำตาลขาสั้นของซุ้มน้ำชาขนาดไม่ใหญ่ มีฉากเป็นผ่าลินินผืนบางกั้นหน้าซุ้ม กันฝุ่นและให้ความเป็นส่วนตัว
แต่อาจจะเป็นเพราะไม่ใช่ทุกคนที่ชื่นชอบสัมผัสชา อีกทั้งในวันนี้ก็ยังมีการตั้งโต๊ะใหญ่เลี้ยงอาหารเครื่องดื่มอยู่ห่างไปเพียงลานกลางแจ้งไม่กี่ล็อกเท่านั้น ทำให้บรรยากาศภายในผืนผ้าลินินนั้นค่อนข้างเงียบ มีคนคนจับจองเก้าอี้เพียงแค่สามตัวเท่านั้น ผิดกับด้านนอกซึ่งแน่นขนัด มีผู้คนเดินผ่านไปมากันอย่างคึกคักแม้ฟ้าจะมืดเริ่มมืดแล้ว
“ฉันหมดอารมณ์เที่ยวแล้ว” ครึ่งเอลฟ์เอ่ยเบาๆ แทนคำตอบขณะใช้ลมหายใจเป่าไอร้อนจากชาอบสูตรพิเศษผสมสมุนไพรช้าๆ แล้วค่อยๆ ละเมียดจิบอย่างรู้ค่า ดื่มด่ำรสสัมผัสและกลิ่นกรุ่นของธรรมชาติ เพื่อผ่อนคลายความรู้สึกต่างๆ ในหัว
“ผมก็เหมือนกัน” หุ่นสงคราม ได้ยินเช่นนั้นก็ตอบกลับอย่างเรียบเฉย ทว่าทำเอาเอเดลถึงกับชะงักจนเกือบสำลัก ทำชาร้อนๆ หกใส่มือตัวเอง
“หะ ว่าไงนะ” เธอวางแก้วลงบนโต๊ะข้างกาน้ำทันที แล้วหันขวับทวนสิ่งที่อีกฝ่ายพูด เพราะสำหรับคนทั่วไปมันก็คงไม่แปลกอะไร แต่สำหรับฮอรัสนั้น สิ่งที่เขาเอ่ยมาไม่ใช่ว่ามันคือการแสดงออกทางอารมณ์หรอกหรือ เพราะเขากำลังบอกว่าเขาเองก็ไม่มี ‘อารมณ์’ อยากจะออกไปวุ่นวายกับงานเทศกาลเช่นกัน
“การพูดเออออ พลอยเห็นด้วยในเรื่องเล็กน้อย บางสถานการณ์ช่วยทำให้บทสนทนาเป็นธรรมชาติ” ฮอรัสแทนที่จะทวนสิ่งที่เขาพูดอีกครั้ง กลับอธิบายสิ่งที่ได้รับการสอนมาเมื่อไม่นานนี้ออกมาตรงๆ เพราะแค่เขาอ่านสีหน้าและท่าทางของเอเดลก็มองออกว่าสิ่งที่เธอต้องการจริงๆ คืออะไร
และคำตอบนั้นก็ทำให้เธอทำคิ้วเบี้ยวไปชั่วครู่ ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ กลับให้ไปความสนใจกับถ้วยชาของตัวเองเหมือนอย่างเคย
“แม่เป็นคนสอนล่ะสิ” สาวเจ้ากล่าวไม่ใส่ใจ ขณะเริ่มตั้งถ้วยกาใหม่ เปิดฝากากชาเก่าแล้วรินน้ำร้อนจากที่สูงเกิดเสียงคล้ายน้ำฝนไหลผ่านยอดไม้ ลงไปกระทบใบชาซึ่งคลายตัวอย่างดีแล้วจากการลวกและชงในกาแรก ตามตำรับชาแบบเอลฟ์ที่ว่าชาน้ำสองนั้นเลิศที่สุด
“เปล่า คุณนักวิเคราะห์เป็นคนสอน”
“หืม.. ไอน์เป็นสอนหรอกหรอ” เอเดลแสดงท่าทางสนใจขึ้นมาเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้จริงจังนัก ก่อนจะละไปคลี่ห่อกระดาษที่วางอยู่ข้างๆ ชุดชงชา เผยให้เห็นดอกไม้และสมุนไพรหมักตากแห้งจากสวนของมารดา
เธอใช้นิ้วคีบส่วนผสมเหล่านั้นลงไปลอยบนถ้วยพักชาแล้วจึงปิดฝาเทเอาเฉพาะน้ำที่แช่ดีแล้วลงบนถ้วยเล็กๆ สำหรับดื่ม ก่อนจะค่อยๆ ละเมียดชาต่อ ปล่อยผ่านบรรยากาศในม่านลินินให้สงบลงเหมือนตัดขาดจากความวุ่นวายภายนอก ไม่พูดคุยอะไรกันอยู่นานหลายนาที จนกระทั่งฮอรัสเริ่มเป็นฝ่ายพูดก่อน
“ทำไมคุณเอเดลถึงต้องปิดเรื่องที่จะต่อสู้กับผมเป็นความลับด้วย” เขาเอ่ยคำถามเปิดประเด็นขึ้นมาท่ามกลางความเงียบและแสงสลัวจากตะเกียงคริสตัล เรียกความสนใจให้เอเดลต้องวางแก้วแล้วหันมามอง
เธอทำหน้าตาเหมือนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเผยยิ้มออกมาเล็กน้อย เป็นยิ้มที่ดูไปก็คล้ายกันกับของผู้เป็นมารดา
“ก็จะได้เก็บเอาไว้ให้ทุกคนประหลาดใจไง” เธอว่า พร้อมกับมองหน้านิ่งเฉยของฮอรัส ที่พอได้ฟังเช่นนั้นก็แสดงอาการอันคุ้นเคยอย่างการเอียงศีรษะเล็กๆ บ่งบอกความสงสัยออกมา
“ประหลาดใจ?”
“ใช่ ประหลาดใจที่ฉันจะคว่ำนายได้ไงล่ะ” เอเดลปะทะหน้าเปื้อนยิ้มมุมปากกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงมาดมั่น แต่ไม่สื่อความจริงจัง เป็นเพียงแค่การหยอกล้อ ลองเชิงอีกฝ่ายเฉยๆ
ด้วยว่าความหมายจริงๆ ของการสร้างความประหลาดใจนั้นคงไม่ใช่การเอาชนะหุ่นสงครามอยู่แล้ว แต่เป็นการแสดงความสามารถของเธอที่ไม่เคยมีใครได้เห็นมาก่อนแม้แต่เอลีอาเองก็ตาม
เพราะลำพังตัวเธอเองรู้ดีว่าเรื่องจะเอาชนะหุ่นสงครามอย่างฮอรัสในการต่อสู้นั้นเป็นไปได้ยากเหลือเกิน แม้แต่กับนักผจญภัยระดับอัญมณีจากสภาที่ทำงานประสานร่วมกันสามคนได้อย่างสมบูรณ์แบบยังไม่สามารถหักเอาฮอรัสลงได้เลย แล้วตัวเธอเพียงคนเดียว แถมระดับก็ยังตามอยู่จะไปทำอะไรได้
“อะไรเล่า ไอ้ท่าทางแบบนั้นมันอะไรหะ” เอเดลเปลี่ยนรอยยิ้มหยอกล้อเป็นการมุ่นคิ้วเล็กๆ เมื่อเห็นฮอรัสจ้องมองมาด้วยใบหน้าเรียบเฉยๆ เหมือนอย่างเคย
จริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้มีอะไรผิดแปลกไปจากปกติ เพียงแต่ในความรู้สึกมันไม่เหมือนเดิม ด้วยบริบทที่ทำให้การปั้นหน้านิ่งมองตากลายเป็นกริยาที่ดูผิดที่ผิดทาง เหมือนฮอรัสกำลังพูดผ่านสีหน้าว่า ‘เพ้อเจ้อ’
“...งั้นผมจะลดระดับการเข้าปะทะเป็นรูปแบบหุ่นซ้อมรบ กำหนดขีดจำกัดความเร็วการเคลื่อนไหวไม่เกินหนึ่งในสามสิบส่วน” ฮอรัสพูดอย่างเฉยชาโดยไม่จำเป็นต้องปั้นแต่ง
สื่อความหมายอย่างชัดเจน ว่าว่าทางเดียวที่เอเดลจะสามารถสร้าง ‘ความประหลาดใจ’ จากการเอาชนะเขาได้ คือเขาต้องลดความสามารถของตัวเองลงมา และนั่นทำให้ปมคิ้วที่มุ่นเข้าหากันเป็นการหยอกอำตอนแรกนั้นกลายเป็นความขุ่นมัวขึ้นมาจริงๆ
“พูดเรื่องบ้าอะไรของนายหะ ใครขอให้อ่อนข้อ” เอเดลเท้าแขนลงบนโต๊ะ แล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่หนักหน่วงกว่าเดิม แต่ก็ไม่ได้กระแทกกระทั้นรุนแรงอะไรมากนักเพราะเธอก็ยังพอจะเข้าใจได้
“แต่คุณเอเดลไม่สามารถ 'คว่ำ' ผมได้ในการเข้าปะทะเต็มรูปแบบ... จากทักษะของคุณเอเดลที่ผ่านมา ผมประมวลแล้วมีโอกาสที่คุณจะสามารถเอาชนะผมได้ต่ำกว่าหนึ่งส่วนสิบล้าน ความเร็วลูกธนูของคุณเอเดลตามผมไม่ทัน”
“จะ เจ้าบ้านี่! ฉันจะฆ่านายเดี๋ยวนี้แหละถ้าไม่หยุดพูด” สาวเจ้าตวาดในลำคอ พร้อมใช้คำพูดข่มขู่อีกฝ่ายออกไปอย่างเกินจริง บ่งบอกว่าถึงโกรธแต่ก็ไม่ได้เป็นจริงเป็นจังอะไร
ด้วยยังพอเข้าใจได้ว่าสิ่งที่ฮอรัสพูดออกมานั้นถึงอย่างไรก็คือความจริง แม้จะไม่ทั้งหมด เพราะสิ่งที่เขาประมวลนั้นเป็นข้อมูลเก่าก่อนที่เธอจะพัฒนาขึ้นมาอย่างก้าวกระโดด แต่กระนั้นเธอยังไม่อาจต่อกรกับหุ่นสงครามได้อยู่ดี สิ่งที่ตวาดไปจึงเป็นอารมณ์ของคนที่ถูกจี้ใจดำเสียมากกว่า
จนกระทั่งฮอรัสเริ่มพูดต่อนั้นเองทุกอย่างถึงได้เปลี่ยนไป
“คุณเอเดลฆ่าผมไม่ได้ ไม่เคยมีใครทำได้ และคุณไอน์บอกผมว่าผมสามารถเลือกขัดคำสั่งที่ผมเห็นว่าไม่เหมาะสมได้โดยไม่ถือเป็นการผิดกฎร้ายแรง ซึ่งผมเห็นว่าการสั่งให้ผมหยุดพูดนั้นเป็นคำสั่งที่ไม่เหมาะสมเพราะผมจำเป็นต้องชี้แจงความเสี่ยง” ฮอรัสกล่าวเรียบ แต่ใช้สายตาสีดำสนิทไร้ก้นบึ้งจ้องมองอีกฝ่าย พลางพูดถึงเรื่องคำสั่งที่เขาเพิ่งจะได้เรียนรู้มาไม่นานนี้ ก่อนจะเริ่มเข้าเรื่องสิ่งที่เป็นเหตุผลหลัก
“การเข้าปะทะเต็มรูปแบบมีโอกาสจะเกิดความผิดพลาดเป็นอุบัติเหตุจนทำให้คุณเอเดลบาดเจ็บได้มากถึงหนึ่งในสิบ เป็นความเสี่ยงที่มากเกินกว่าที่ผมจะยอมรับได้ภายใต้คำสั่งของคุณเอลีอาที่ว่าห้ามทำร้ายร่างกายคุณอย่างเด็ดขาด” ฮอรัสกล่าวตามสิ่งที่เขาคิด
เพราะไม่ว่าอย่างไรต่อให้เรียนรู้ว่าสามารถเลือกที่จะขัดคำสั่งบางอย่างได้ แต่การลำดับความสำคัญนั้นก็ถูกจัดเรียงเอาไว้แล้ว โดยเฉพาะคำสั่งที่ห้ามทำร้ายผู้อื่นโดยเฉพาะเอลีอานั้นถือเป็นคำสั่งที่สมเหตุสมผลและตรงกับกฎเหล็กดั้งเดิมที่ถูกฝังไว้โดยผู้สร้าง นั่นคือเขาจะไม่ทำร้ายมนุษย์ เว้นแต่เป็นการปกป้องตนเอง ซึ่งในนิยามใหม่มันครอบคลุมไปถึงเผ่าพันธุ์ชั้นสูงอื่นๆ ในสภาเอกภาพทั้งเอลฟ์ จิ้งจอก เผ่าเกล็ดและชาวช่างด้วย ทว่านั่นเองคือเหตุผลที่ทำให้เอเดลถึงกับเผลอกำหมัด
“นี่นาย... นายตั้งใจจะต่อสู้กับฉันโดยที่จะไม่ทำให้ฉันบาดเจ็บเนี่ยนะ” จากเสียงกระทบกระแทกก่อนหน้า กลับกลายเป็นเสียงอ่อนกดในลำคอ บ่งบอกอารมณ์ที่ก่อตัวในจิตใจของครึ่งเอลฟ์สาว
เมื่อบทสนทนานั้นแปรเปลี่ยนไปจากที่เป็นเพียงความประชดประชันแกมหยอก ตอกย้ำความจริงพอให้เข้าใจได้ บัดนี้มันเปลี่ยนไปกลายเป็นความรู้สึกของการถูกเหยียดหยามอย่างร้ายแรงในฐานะคู่ต่อสู้
“นั่นคือภารกิจ” ฮอรัสตอบกลับเรียบง่าย เหมือนไม่เข้าใจว่าเขาพูดอะไรออกไป
“งั้นสินะ.. มันคือภารกิจสินะ” เอเดลกัดฟันพูดเสียงเบาในลำคอ พลางข่มกลั้นอารมณ์ของตัวเองด้วยการพยายามควบคุมลมหายใจ
เพราะถึงจะไม่บ่อยนักที่เธอจะโกรธใคร แต่เมื่อมันเกิดขึ้น เธอก็มักจะแสดงออกอย่างเยือกเย็นมากกว่าโมโหร้ายเสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกันเพียงแต่บางอย่างดูจะผิดปกติไปโดยเฉพาะบรรยากาศรอบๆ ที่ใช่แค่เปลี่ยนไปอึมครึมอย่างนามธรรม แต่สามารถสัมผัสความเปลี่ยนแปลงได้โดยตรงผ่านทางผิวกายว่าบัดนี้อากาศเย็นขึ้นมาอย่างประหลาดทั้งที่ลมก็ไม่ได้พัดผ่านเข้ามาแต่อย่างใด
และแน่นอนว่าฮอรัสเองก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติดังกล่าวผ่านทางส่วนประสาทรับความเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิที่บ่งชี้ข้อเท็จจริงความหนาวจู่ๆ ก็แทรกเข้ามานั้นเป็นของจริง
ตอนนั้นเองที่เอเดลตัดสินใจลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วหยิบเหรียญทองในกระเป๋าคาดเอวของตัวเองขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะเป็นค่าชา ก่อนจะหันไปพูดกับหุ่นสงครามด้วยเสียงเย็นเยียบผ่านริมฝีปากอวบอิ่มที่บัดนี้เริ่มมีรอยแห่งแตกจากเกล็ดน้ำแข็ง “ถ้านายอยากจะทำตัวเป็นเป้าซ้อมยิงในการต่อสู้ก็เชิญ แต่ฉันจะคว่ำนายให้ได้... เจอกันในสนามฮอรัส”
เอเดลเอ่ยต่อหน้าของหุ่นสงครามแล้วเดินออกนอกซุ้มน้ำชาไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมา ทิ้งให้ฮอรัสนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมพลางหันไปมองเหรียญทองที่เอเดลวางทิ้งเอาไว้ เพราะตอนนี้มันแปรเปลี่ยนกลายเป็นสีขาวไปแล้ว เพราะเกล็ดน้ำแข็งที่เกาะกินอย่างเฉียบพลัน เย็นจัดขนาดแช่แข็งละอองความชื้นในอากาศบริเวณใกล้ๆ นั้นจนเห็นไอเย็นเบาบางลอยต่ำ
บ่งบอกว่าเอเดลได้ก้าวข้ามผ่านกำแพงหยกของมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดามาสู่ระดับชั้นของอัญมณีเป็นการแน่นอนแล้ว และสิ่งที่นางได้มานั้นคงยากจะรู้ว่าคืออะไรหรือต้องสูญเสียอะไรไปบ้างจนกว่าการประลองจะเริ่มขึ้น
“ดูท่าเจ้าคงไม่เก่งเรื่องผู้หญิงล่ะสินะ พ่อหนุ่ม” เสียงแหบแห้งดังขึ้นไม่ไกลจากโต๊ะชาใกล้ๆ กัน
ตรงนั้นเองที่ชายชราตัวสูงผมขาวหงอกนั่งจิบชาพลางเตรียมกล้องยาสูบไปด้วยอย่างเพลินมือ แต่จากอาการที่เงอะๆ เงินๆ ในการหยิบใบยาสูบมายัดใส่กล้อง บวกกับไม้เท้ายาที่วางอยู่ใกล้ๆ กันก็ทำให้ดูรู้ทันทีว่าชายแก่คนนี้ตาบอด และก็อาจจะเพราะความตาบอดนั้นเองเขาถึงคิดว่าฮอรัสเป็นเพียงชายหนุ่ม
ส่วนฮอรัสนั้นตอนนี้ไม่ได้สนใจอะไรมากไปกว่าการทดสอบรอบที่สอง และความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับเอเดล เขาจึงลุกขึ้นตั้งใจจะออกไปตามสาวเจ้า แต่ก็ต้องหยุดเสียก่อนตอนที่ชายแก่ผู้นั้นกล่าวขึ้นต่อ
“ผู้หญิงบางคนก็ไม่ชอบให้ใครมาปกป้อง ทำเหมือนนางอ่อนแอหรอกนะ เจ้ารู้มั้ย” ชายแก่ว่า พร้อมกับยกกล้องยาสูบขึ้นคาบปาก “เจ้าคงไม่ถือเรื่องควันหรอกนะ”
ชายชราถึงพูดเช่นนั้นแต่ไม่ได้ต้องการคำตอบ เพราะเขาจัดการใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้ถูกันบนตัวยาสูบเบาๆ ไฟก็พลันติดขึ้นมาได้อย่างอัศจรรย์เป็นการบ่งบอกตัวตนของชายแก่ ว่าเขารู้วิชาเวทมนตร์
ไอควันกลิ่นประหลาดลอยฉุย อบอวลคล้ายดอกไม้แห้งติดไฟในหน้าแล้งจะเหม็นก็ไม่เหม็น จะหอมก็ไม่หอมบางคนชอบบางคนเกลียด แต่สำหรับฮอรัสมันก็เป็นเพียงแค่ควันไฟทั่วไปเท่านั้นเพราะประสาทรับสัมผัสกลิ่นของเขาไม่ได้ดีเด่อะไรนักเมื่อเทียบกับสัมผัสอย่างอื่นๆ
“นางคงเป็นผู้หญิงประเภทที่เข้มแข็งดูแลตัวเองได้ล่ะสิ ให้ข้าเดานะ นางคงเป็นนักผจญภัยด้วยใช่มั้ย” ชายชรากล่าวเสร็จก็สูดควันผ่านกล้องยาสูบเข้ามาอมไว้ในปากอย่างแรงจนไฟระอุแดงขึ้นมาให้รับรสชาติของยอดยาสูบที่น้อยคนจะเคยได้สัมผัส แล้วเมื่อดื่มด่ำจนพอใจจึงสูดเข้าปอดไปเล็กน้อย แล้วค่อยพ่นออกมาจนหมด
“คุณรู้ได้ยังไง” ฮอรัสถามกลับ พลางสังเกตการณ์ทำของอีกฝ่ายด้วยความสนใจ เพราะในยุคสงครามไม่มีใครกล้าสูบยาสูบกันในค่ายทหารหรือสมรภูมิแน่นอน มันจึงถือเป็นหนึ่งในของแปลกใหม่ของเขาเช่นกัน
“ฮะฮ่า ข้าตาบอดแต่ไม่ได้หูหนวก... ไงก็เถอะ แม่สาวนักผจญภัยของเจ้าคนนั้นข้าว่านางคงไม่ต้องการความเห็นใจจากเจ้าหรอก การที่เจ้าตั้งใจอ่อนข้อ ไม่เอาจริงในการประลองแบบนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับเจ้าดูถูกนาง เจ้าว่าเจ้าจะไม่ทำร้ายร่างกายนาง แต่เจ้ากลับทำร้ายจิตใจของนางแทนเช่นนี้มันเหมาะสมแล้วรึ... เอาไปตรึกตรองดูซะนะพ่อหนุ่ม” ชายชรากล่าวสอนด้วยเสียงแหบแห้ง แล้วกลับไปสูบยาสูบของตัวเองพลางจิบชาต่อเงียบๆ
ฮอรัสได้ฟังสิ่งที่ชายแก่พูดก็นิ่งคิดไปครู่หนึ่งถึงสิ่งที่ตัวเองอาจประมวลพลาดไปไม่ได้คิดถึง ก่อนที่เสียงระฆังจะดังขึ้นเป็นสัญญาณเตือนว่าใกล้ได้เวลาของการทดสอบรอบที่สองแล้ว ให้คนที่ต้องการชมรีบเดินทางเข้าไปจับจองที่นั่งกันก่อนจะเต็ม รวมทั้งขณะเดียวกันก็เป็นสัญญาณเตือนนักผจญภัยฝึกหัดว่าใกล้ได้เวลารายงานตัว
พอได้ยินเสียงนั้นฮอรัสจึงละจากชายชราไปอย่างเงียบเฉียบ แล้วมุ่งหน้ากลับไปที่สมาคมทันทีปล่อยเฒ่าตาบอดเอาไว้คนเดียวโดยไม่กล่าวลาใดๆ ให้รู้เลย
ทว่าดูเหมือนจะไม่มีผลอะไร เพราะสุดท้ายชายชราคนดังกล่าวก็รู้อยู่ดีว่าฮอรัสนั้นไม่อยู่แล้ว
“ได้จับศรแค่วันเดียวก็เข้าถึงจิตวิญญาณภูติเหมันต์ได้แล้วหรือนี่... น่าสนใจๆ” ชายชราเอ่ยออกมาเป็นเสียงของหญิงสาวอันคุ้นหู ขณะใช้ดวงตาที่ควรจะมืดบอดจ้องมองไอเย็นจากเกล็ดน้ำแข็งบนเหรียญทองด้วยความสนใจ และดูเขาจะรู้เรื่องธนูคันใหม่ของเอเดลดีราวกับเป็นคนวาดอักขระเวทเองกับมือ
ชายชราละความสนใจออกมาในที่สุด ก่อนจะหันไปคว้าไม้เท้าของตัวเองมาใช้คลำทางเดินออกจากร้าน ทว่าโดยที่ไม่มีใครเห็น ในชั่วพริบตาที่มือของชายชราคว้าจับถูกไม้เท้านั้น มันก็พลันแปรเปลี่ยนกลายเป็นคทาแก้วสวยสดส่องประกายเป็นเอกลักษณ์นามคทาเอเลโต้ ก่อนจะกลับคืนไปกลายเป็นไม้เท้าคลำทางอำพรางร่างแท้จริงของตัวมันและเจ้าของเอาไว้อย่างแนบเนียน