บทที่ 26 : ผู้ตามล่า
บทที่ 26 : ผู้ตามล่า
...เพรสทีจ…
กิลเลนเมื่อนึกถึงชื่อนี้ก็มีสีหน้าเศร้าหมองลง ชายหนุ่มหวนคิดไปถึงตอนภารกิจครั้งนั้น ภารกิจที่เขาสูญเสียเพื่อนคนสำคัญไป เขาไม่อาจช่วยเหลือทั้งสามเอาไว้ได้ และนั่นเป็นสาเหตุให้ซีโรเซียต้องเสียคู่หูไป เธอต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวบนยานดิกนิตีเพียงลำพัง เมื่อเรื่องราวทั้งหมดถูกรื้อฟื้นขึ้นมา ในหัวใจของเขาก็เจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก
ดูเหมือนอคาลาจะรู้ว่าชายหนุ่มคิดอะไรในขณะที่รถเคลื่อนออกไปด้วยความเร็ว จิตใจของกิลเลนไม่ได้จดจ่ออยู่กับเส้นทางเลยสักนิด เขาบึ่งโฮเวอร์ไบค์มุ่งสู่ซากยานเพรสทีจ ระยะทางลดลงเรื่อย ๆ จนจุดทั้งสองห่างกันไม่เท่าไหร่ แต่ดูเหมือนกิลเลนจะยังไม่เบาความเร็วลงเลย
“จะถึงแล้ว” อคาลากระซิบข้างหูเขา กิลเลนจึงรู้สึกตัว เขาหักเลี้ยวโฮเวอร์ไบค์ทันทีเมื่อเห็นเป้าหมาย
พื้นที่รกร้างและเต็มไปด้วยต้นไม้ที่แห้งตาย กลางพื้นที่ที่เป็นเนินเขาสูงต่ำ มีซากของยานเพรสทีจถูกทิ้งไว้ ยานที่ตกเมื่อไม่กี่เดือนก่อนยังคงมีสภาพเช่นเดิมเหมือนที่เขามาทำภารกิจครั้งนั้น กิลเลนยังคงเห็นร่องรอยการต่อสู้ได้แม้จะมองจากตรงนี้ก็ตาม
กิลเลนจอดโฮเวอร์ไบค์ไว้ไม่ไกลจากมัน บากะอินุกระโจนลงตามอคาลาและกิลเลนที่เดินตรงไปยังทางเข้าของยาน มีหญ้าหน้าตาประหลาดขึ้นประปราย แต่ภายในยังคงสภาพเดิมอยู่ทำให้กิลเลนคิดว่าน่าจะยังพอมีพลังงานสำรองอยู่แน่ ๆ
บากะอินุเดินนำหน้าไปพร้อมกับภาพโฮโลแกรมของอินุจิโยะ แสงสว่างจากจอนั้นทำให้เขาสามารถเห็นพื้นที่ภายในได้ อคาลาเป็นฝ่ายตามไป แต่เธอก็ต้องชะงักเมื่อเห็นกิลเลนยังคงยืนนิ่งอยู่หน้าทางเข้านั้น
“กิลเลน” หญิงสาวเอ่ยเรียก เธอเดินกลับมาที่ด้านนอกอีกครั้ง เมื่อเห็นใบหน้าที่เศร้าหมองของกิลเลนเธอก็เข้าใจได้ในทันที “นายยังคิดถึงเรื่องนั้นอยู่ใช่ไหม”
ไร้ซึ่งเสียงตอบรับ เขาหันมาหาเธอและพยักหน้าให้
“เราจะสำรวจแค่ชั้นบนเท่านั้นแหละ เราจะไม่ลงไปชั้นลึกกว่านี้” อคาลาอธิบาย หญิงสาวขยับมาใกล้กิลเลนที่ยังคงยืนอยู่แบบนั้น เธอถือวิสาสะจับมือของเขาและยิ้มให้ กิลเลนสะดุ้งเล็กน้อยที่เธอทำแบบนั้นแต่ก็ไม่ได้สะบัดมือเธอออก กลับกันเขารู้สึกดีขึ้นเมื่อได้จับมือของเธอ
“ไม่เป็นไรหรอก” เธอกระซิบบอกเขา กิลเลนอ้ำอึ้ง จนในที่สุดเขาก็ถอนหายใจออกมาและยอมสารภาพ
“ฉันก็แค่กลัว กลัวว่าจะต้องเสียใครไปอีก” กิลเลนมองไปที่บากะอินุก่อนจะเบนสายตากลับมาหยุดที่อคาลา ความฝันที่ว่าบลูเบนจะตะปบร่างของเธอย้อนกลับมา ความรู้สึกเจ็บปวดจากภารกิจที่ยานนี่ซ้อนทับกับมัน จนทำให้ชายหนุ่มรู้สึกแย่และกดดันกว่าเดิม “ถ้าตอนนั้นฉันเชื่อเธอล่ะก็...”
“เราไม่เป็นไรจริง ๆ แวนเดียร์ทำอะไรเราไม่ได้หรอก” เธอชี้มาที่ร่างของตนเอง “เอาล่ะเข้าไปกันเถอะ”
กิลเลนยังคงกำมือของเธอแน่นคล้ายกับจะส่งความรู้สึกบางอย่างไปถึงเธอโดยไม่ได้พูด
“นายทำได้ดีที่สุดแล้วในตอนนั้น อย่าโทษตัวเองเลย”
กิลเลนสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ เขารวบรวมความกล้าและเดินเข้าไปพร้อมกับอคาลา ชั้นบนของยานที่ไม่ได้ถูกระเบิดทิ้งตามแผนการยังคงมีสภาพเช่นเดิม กิลเลนเดินเลี่ยงลิฟต์ที่จะลงไปชั้นลึกลงไป เขาหลับตาลงอย่างเจ็บปวด เปลวเพลิงของจีคและเดซี ร่างของเนวิลที่บาดเจ็บสาหัสตามมาหลอกหลอนเขาอีกครั้ง
อคาลายังคงกุมมือเขาเอาไว้ เธอส่งรอยยิ้มกลับมาเมื่อกิลเลนหันมองเธอ จนในที่สุดชายหนุ่มก็เป็นฝ่ายปล่อยมือ
“ฉันโอเคแล้ว” กิลเลนบอก เขาเดินไปหาบากะอินุที่ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว อคาลายังคงมองเเผ่นหลังของเขาไปด้วยความกังวล แต่หวังว่าชายหนุ่มจะไม่โทษตัวเองและใช้ชีวิตด้วยความรู้สึกผิดไปตลอด…
“โฮ่ง” บากะอินุเห่าใส่ซากเหล็กที่กองอยู่กับผนังยาน รอบ ๆ มีเศษเหล็กและของในยานถูกทำลายจนกระจัดกระจายเต็มไปหมด
“ยังพอมีพลังงานหลงเหลืออยู่เจ้าค่ะนายท่าน” ร่างโฮโลแกรมของอินุจิโยะเริ่มกระพริบติด ๆ ดับ ๆ ภาพโฮโลแกรมลูกศรสีเขียวชี้มาทางกองซากของเครื่องอะไรบางอย่างที่ทับกันสว่างขึ้นในความมืด กิลเลนออกวิ่งไปหาทั้งสองทันที เขาคุ้ยซากเหล่านั้นออกให้พ้นทาง
โครม!
อคาลาปิดหูของตนเมื่อเสียงซากที่กิลเลนโยนมากระแทกกับพื้นจนเกิดเสียงดังก้อง เธอยืนดูอยู่ห่าง ๆ ก่อนจะยกนิ้วให้ร่างโฮโลแกรมของอินุจิโยะ
กิลเลนรื้ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของตนออกมาพร้อมกับสายชาร์ตอีกหลายเส้น ชายหนุ่มเสียบมันกับช่องที่ติดอยู่กับผนังของยานเพรสทีจ เขาเฝ้ารอดูจนหน้าจอสว่างวาบขึ้นมาพร้อมแสดงสถานะว่ากำลังชาร์ต
“ดีมาก” กิลเลนเอ่ยชมบากะอินุและอินุจิโยะ เขาลูบหัวเจ้าหมาโง่อย่างเอ็นดู กิลเลนและบากะอินุเดินลึกเข้าไปเพื่อหาดูว่ายังมีช่องสำหรับชาร์ตพลังงานอื่นที่ยังใช้ได้เหลืออีกอยู่หรือไม่ เขาพบว่ายังมีอีกจุดอยู่ไม่ไกลกัน ชายหนุ่มจึงลงมือเติมพลังงานให้กับอุปกรณ์ทั้งหมดอยู่ตรงนั้น
“เราจะไปดูตรงคลังเก็บขยะตรงนั้นหน่อย” อคาลาพูดกับกิลเลนที่วุ่นวายอยู่กับสายหลายเส้นเหล่านั้น เขาทำหน้าฉงน “อาจจะมีของที่ดิกนิตีเก็บไปไม่หมด” กิลเลนพยักหน้ารับรู้ก่อนจะหันกลับไปสนใจอุปกรณ์เหล่านั้นต่อ
“ระวังตัวด้วยล่ะ” กิลเลนตะโกนทิ้งท้ายมาหลังจากที่เธอหันหลังไปแล้ว เธอหัวเราะแล้วตอบกลับไป
“แวนเดียร์ทำอะไรเราไม่ได้หรอกน่า”
ในขณะที่กิลเลนง่วนอยู่กับการเติมพลังงานให้กับอุปกรณ์ต่าง ๆ อคาลาก็แยกตัวไปเพื่อสำรวจสถานที่ทิ้งขยะของเพรสทีจ ที่นี่มีระบบการแยกขยะที่ดี เธอจึงพบว่าขยะอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหลายถูกจัดเก็บอย่างเป็นสัดส่วนเพื่อรอนำไปรีไซเคิลใหม่ เธอพบกับแบตเตอรี่พกพาหลายก้อนที่แม้จะเป็นรุ่นเก่าแล้วแต่ก็ยังอยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ดี จึงไม่รอช้าที่เก็บมันมาเป็นของฝากให้กิลเลน
...มีแค่แบตเตอรี่ยังไงเดี๋ยวก็หมดอยู่ดี…
ว่าแล้วเธอก็จัดการรื้ออุปกรณ์หลาย ๆ ชิ้นออกจากกันและประกอบขึ้นใหม่ด้วยความเร็วราวกับผู้เชี่ยวชาญ นี่เป็นอีกสิ่งที่เธอได้เรียนรู้มาระหว่างช่วงที่อาศัยอยู่บนดิกนิตี เธอนำสิ่งที่สร้างมาลองประกอบเข้ากับแบตเตอรี่และหลังจากที่ออกแรงหมุนของที่หน้าตาคล้ายพวงมาลัยรถอยู่พักหนึ่ง ตัวเลขที่บอกความจุที่เหลือของแบตเตอรีก็เพิ่มขึ้นเล็กน้อย
‘...เจ้านี่อาจจะไม่เหมาะที่จะใช้ชาร์ตแบตเตอรีที่ให้พลังงานสูงแบบนี้ แต่อย่างน้อยก็มีพลังงานเหลือเฟือพอให้อินุจิโยะทำงานได้ตลอดล่ะนะ…’
อคาลาไม่พอใจกับผลงานแค่นั้น เธอค้นหาขยะชิ้นต่อ ๆ ไปเพื่อประกอบสิ่งที่ยากยิ่งกว่านี้อีกหลายขุม
‘...ถ้าจะให้มีพลังงานพอ อย่างน้อยต้องมีเครื่องเปลี่ยนพลังแวนเดียร์มาเป็นพลังพลาสมา…’
เธอพูดถึงอุปกรณ์แบบเดียวกันที่ติดตั้งอยู่ในดิกนิตี มันใช้พลังงานจากของเหลวในร่างของแวนเดียร์ แต่อุปกรณ์นี้บนยานมีพื้นที่ใหญ่เท่ากับห้องทั้งห้องเลยทีเดียว เธอต้องการย่อส่วนมันเพื่อให้เล็กพอที่โฮเวอร์ไบค์จะลากไปมาได้รวมถึงสามารถใช้กับแบตเตอรี่พลังสูงที่เธอเก็บมาด้วย
“ดูท่าจะต้องเหนื่อยกันหน่อยแล้วล่ะ”
พวกเขาอยู่ในยานนั้นหลายชั่วโมงเพื่อจะเก็บพลังงานและของที่พอจะนำไปใช้งานให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ กิลเลนนั่งเฝ้าอยู่ที่จุดชาร์ตพลังงาน เขาไม่คิดจะเดินสำรวจไปทั่วเพราะไม่อยากจะให้จิตใจตัวเองรู้สึกแย่ไปกว่าเก่า เพราะแค่เห็นร่องรอยการต่อสู้ที่เหลืออยู่ตามผนังห้อง เขาก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงเนวิล และคู่หูพลังอัคคี
เขาหยิบอุปกรณ์ขึ้นมาเพื่อดูปริมาณพลังงาน
“95% อีกสักพักก็คงเต็ม เดี๋ยวก็ได้ออกจากที่นี่แล้วล่ะนะ” ว่าแล้วเขาก็วางมันลงตามเดิม ชายหนุ่มหันไปหาบากะอินุที่นอนอยู่ข้าง ๆ กัน ด้วยความเบื่อเขาจึงลูบหัวมันเล่นโดยที่สายตาก็สอดส่องหาอคาลาที่แยกตัวไปอีกด้านนึงของยาน “ยัยนั่นคิดจะทำอะไรอีกล่ะเนี่ย”
“!” บากะอินุหูตั้งขึ้น มันผุดลุกอย่างรวดเร็วจนกิลเลนต้องลุกขึ้นตาม เจ้าหมาจ้องไปยังทางที่ลึกเข้าไปอีกของยานที่กิลเลนไม่ได้เดินเข้าไป ด้วยความที่ยานนี้ใหญ่เทียบเท่าเมืองทั้งเมือง ส่วนที่อยู่ห่างออกไปซึ่งกว้างมหาศาลจึงมืดสนิทเพราะไร้แสงจากด้านนอกส่องเข้าไปถึง
“อะไรเจ้าหมาโง่” กิลเลนพูดติดตลกเมื่อเห็นบากะอินุจ้องไปยังความมืดนั้นโดยไม่ละสายตา แต่แล้วรอยยิ้มของกิลเลนก็ค่อย ๆ เลือนหายไป บากะอินุเริ่มขู่เสียงทุ้มต่ำอย่างที่เคยเป็นเมื่อมันพบกับอันตราย “บากะอินุ...”
จู่ ๆ พื้นของยานก็สั่นสะเทือนเพราะการเคลื่อนไหวจากอะไรบางอย่าง กิลเลนแทบจะเซถลาไปกับพื้น เขาทรงตัวให้ยืนตรงก่อนจะมองไปยังความมืดนั้น กิลเลนพยายามเพ่งสายตาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาเห็นจุดเล็ก ๆ เรืองแสงในความมืดที่ห่างออกไป กิลเลนกำลังจะเดินเข้าไปใกล้ เขาหายใจไม่เป็นจังหวะเมื่อกำลังใช้สมาธิ
...จนกระทั่ง
“นายท่านเจ้าคะ!!!” เขาสะดุ้งเฮือกเพราะเสียงตะโกนลั่นของอินุจิโยะ ชายหนุ่มหันมาที่ภาพโฮโลแกรม เธอทำหน้าตื่นกระโดดไปมาอย่างลนลาน “ตรวจพบแวนเดียร์เจ้าค่ะ!!!”
“ว่าไงนะ!” กิลเลนตะโกนกลับไป เขายังคงไม่เชื่อเธอเท่าไหร่นักเพราะตั้งแต่เข้ามาเขายังไม่เห็นร่องรอยสิ่งมีชีวิตสักตัว
แต่แล้วเงาทะมึนในความมืดก็เริ่มเคลื่อนไหว ร่างสูงตระหง่านเกือบถึงเพดานของยานเพรสทีจขยับมาทางเขา ชายหนุ่มพยายามเพ่งสายตาไปมองแต่ด้วยระยะห่างที่มากเกินไป เขาจึงเห็นมันเป็นเพียงเงาตะคุ่ม ๆ เท่านั้น
...ชิบห...แล้วไง…
กิลเลนสบถในใจโดยที่ยังไม่ทันเห็นร่างของมันเต็มตา แวนเดียร์ขนาดใหญ่ดูเหมือนจะเริ่มรู้ตำแหน่งเขาผ่านการตะโกนเมื่อครู่นั่น กิลเลนไม่รอให้เสียเวลาเมื่อแรงสั่นสะเทือนนั้นมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว เสียงคำรามของมันดังก้องไปทั่วยานเมื่อรู้สึกได้ถึงการมีตัวตนของพวกเขา
“บ้าเอ้ย” กิลเลนบ่นอุบ เขากวาดอุปกรณ์ของตนเองเข้ากระเป๋า ชายหนุ่มสบถเมื่อสายที่เขาใช้เชื่อมกับยานพันกันจนวุ่นวายไปหมด
“โฮ่ง โฮ่ง” บากะอินุวิ่งไปมารอบกายเขาในขณะที่ของที่กองพะเนินกันรอบกายหล่นกระจายไปทั่วเพราะผลมาจากแวนเดียร์ยักษ์นั่น กิลเลนเริ่มหงุดหงิด เขากระชากสายชาร์ตของจุดแรกมาพาดบ่าและหอบเอากระเป๋าของตนมาที่จุดชาร์ตที่ใกล้ทางออกที่สุด
“อคาลา!!!” กิลเลนตะโกนสุดเสียงเมื่อการซุ่มไม่จำเป็นอีกต่อไป มือของเขาสั่นเพราะรีบเก็บของที่วางเอาไว้ กิลเลนหันไปมองพบว่าแวนเดียร์ตัวที่ว่านั่นเกือบจะพ้นความมืดมาอยู่แล้ว เขากระแทกอุปกรณ์ทั้งหมดลงกระเป๋ารุงรังของตนเอง ชายหนุ่มโยนสายเชื่อมต่อไปที่บากะอินุ หวังให้มันคาบและวิ่งตามเขามา
“โธ่เว้ย เจ้าหมาโง่” กิลเลนโวยวายเมื่อบากะอินุวิ่งตามเขามาและปล่อยสายชาร์ตไว้ตรงนั้น ชายหนุ่มวิ่งกลับไปคว้ามันเอาไว้และวิ่งไปที่จุดที่เขาแยกกับอคาลามา
อคาลาเองก็ไม่ต่างกัน หญิงสาวที่ได้ยินเสียงเรียกก็เดินออกมาจากคลังเก็บขยะ ในมือเธอเต็มไปด้วยข้าวของอิเล็กทรอนิกส์มากมายจนแทบจะมองหน้าเธอไม่เห็น เธอชะโงกหน้าผ่านของเหล่านั้นมาหาเขา
“มีอะไรหรอกิลเลน” เธอเอ่ยถามหน้าตายทั้งที่พื้นสะเทือนจนยืนแทบไม่อยู่ ชายหนุ่มอยากจะตบหน้าผากตัวเองให้ตายไปซะรู้แล้วรู้รอด
“จะมีอะไรซะอีกล่ะ รีบหนีเร็ว” เขาไม่รอให้เธอตอบอะไรทั้งสิ้น กิลเลนใช้แขนที่ว่างอยู่กระชากอคาลาออกวิ่งเต็มฝีเท้าโดยมีบากะอินุเห่ามาตลอดทาง “จะเห่าให้มันหาเราเจอทำไมเล่าาา”
พวกเขาวิ่งออกมาจากซากยานได้สำเร็จ กิลเลนโยนข้าวของไปที่โฮเวอร์ไบค์ ชายหนุ่มแย่งของจากในมืออคาลามาและทำแบบเดียวกันก่อนที่จะกระโจนไปที่เบาะคนขับ เมื่อเห็นว่าหญิงสาวและบากะอินุขึ้นมานั่งเรียบร้อยแล้ว เจ้าตัวก็สตาร์ทรถอย่างรวดเร็ว
และนั่นเป็นจังหวะเดียวกันที่ร่างของแวนเดียร์กระโจนตามเขาออกมาติด ๆ กิลเลนเบิกตากว้างเมื่อเห็นมันชัดเจน
“บลูเบน...” เขาอ้าปากค้าง บลูเบนที่แพทริคระเบิดสมองมันไปกับตาของเขา มาโผล่ที่ซากยานเพรสทีจได้อย่างไร เขาไม่อาจให้คำตอบให้กับตัวเองได้ในตอนนี้ ในขณะที่ในหัวมีแต่คำถาม กิลเลนก็เร่งเครื่องเท่าที่จะทำได้ บลูเบนคำรามลั่นก่อนจะตะปบเข้าที่ท้ายรถ แต่กิลเลนไวกว่า โฮเวอร์ไบค์แล่นทะยานออกไปอย่างรวดเร็วจนทิ้งระยะห่างแทบไม่เห็นฝุ่น
"ซวยแล้ว ลืมชาร์ตโฮเวอร์ไบค์" กิลเลนหน้าซีด เขาบึ่งออกมาเต็มที่โดยไม่ได้ดูเลยว่าพลังงานของมันเหลือแค่ปริ่ม ๆ เท่านั้น
"อย่าจอด!" อคาลาร้องห้าม "ขับไปแบบนี้แหละ เดี๋ยวเราจะเชื่อมไฟจากแบตเตอรีสำรองนี่ให้ ถ้าลดความเร็วมันอาจจะตามมาทัน" พูดจบเธอก็คาบไขควงและปีนไปที่ด้านข้างของรถโดยไม่ได้กลัวเลยว่าจะตกลงไป
“มันมาอยู่ที่นี่ได้ไงเนี่ย แพทริคฆ่ามันไปแล้วนี่” กิลเลนตะโกนฝ่าแรงลม อคาลาไม่ได้ยินที่เขาพูด หญิงสาวหันหลังกลับไปแต่ไม่พบร่างของแวนเดียร์ที่ว่าแล้ว ทิวทัศน์รอบข้างพลันเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วตามความแรงของเครื่องยนต์
กิลเลนไม่ได้ลดความเร็วลงแม้แต่น้อย เขาขับโฮเวอร์ไบค์ให้ไกลออกไปจากยานนั่นเท่าที่จะทำได้แม้จะไม่เห็นร่างของแวนเดียร์นั่นแล้วก็ตาม กิลเลนก้มมองที่แผนที่ เขาพบว่าจุดที่ซากยานอยู่กับจุดของพวกเขาอยู่ไกลกันหลายร้อยไมล์ ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างโล่งอก
แต่แล้วเขาก็พบว่าเขาคิดผิด กิลเลนตกตะลึงกับภาพที่เห็นเบื้องหน้า ท่ามกลางพื้นที่แห้งแล้งและเต็มไปด้วยพืชพิษจากแวนเดียร์ ร่างสูงตระหง่านของบลูเบนยืนอยู่เบื้องหน้าเขา
กิลเลนพยายามรีบเบาเครื่องลงเพื่อหวังว่าอย่างน้อยมันจะไม่ได้ยินการมาของพวกเขา แต่สายเกินไป เขาขับมาด้วยความเร็วเท่าที่โฮเวอร์ไบค์จะทำได้ การเบรกกะทันหันจะทำให้รถเสียหลักอย่างแน่นอน ชายหนุ่มจึงไม่มีทางเลือก เขารีบหักเลี้ยวก่อนที่จะไปถึง
“บลูเบนนี่! มันตามมาดักหน้าเราได้ยังไง เราขับมาหลายร้อยไมล์ละนะ”
“ดูที่แผนที่สิ” อคาลาตะโกนฝ่าเสียงเครื่องยนต์ออกไป กิลเลนก้มลงไปมองตามที่เธอว่าในขณะที่กำลังเปลี่ยนเส้นทางเพื่อออกนอกอาณาบริเวณการโจมตีของมัน
เขาเห็นจุดของเขาอยู่ตรงกลาง ส่วนที่เขาขับหนีห่างออกมาก็เป็นจุดของบลูเบนซึ่งเจอในซากยานเพรสทีจ ส่วนอีกจุดที่เขาเพิ่งจะหักหลบมาหมาด ๆ…
เป็นของบลูเบนอีกตัวหนึ่ง
...ชิบห...แล้วไง…