ตอนที่แล้วตอนที่ 25 คนที่ไม่เข้าใจอะไรเลย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 27 วิญญาณปริศนา

ตอนที่ 26 เรื่องที่ต้องขบคิด


ตอนที่ 26 เรื่องที่ต้องขบคิด

 

เมื่อส่งเหอไป๋เทียนกลับโรงเตี๊ยมเรียบร้อยแล้ว เสวี่ยหงเยว่ก็ต้องไปทำงานต่อ เขาต้องร่วมประชุมเกี่ยวกับการฟื้นฟูเมืองแบบยาวเหยียดนอนสต็อปตั้งแต่บ่ายจรดค่ำ พอได้ออกมาพักเบรกกินของว่าง ก็พบว่าเห็นทั้งเดือนทั้งดาว พระอาทิตย์ตกดินไปโดยไม่ทันรู้ตัวเลยแม้แต่น้อย สังขารล้าแสนล้าจนแทบอยากทิ้งร่างให้กลายเป็นปุ๋ยแต่ติดที่ทำไม่ได้

การประชุมนั้นยังหาจุดแก้ไขไม่ได้ หลังจากสาหร่ายหัวผีได้คร่าชีวิตคนในเมือง รวมถึงนักท่องเที่ยวไปมาก ความไว้วางใจต่อเมืองท่าแห่งนี้จึงเริ่มติดลบ แม้จะยังเป็นเห็นผลเด่นชัดทันที แต่หากปล่อยต่อไปโดยไม่ทำอะไรเลย รับรองได้ว่าจะต้องทำให้อัตราเศรษฐกิจของเขตปกครองเสวี่ยจะต้องตกต่ำในอนาคตแน่

ถึงอยากจะแก้ไขปัญหามากสักแค่ไหนพอคิดว่าต้องประชุมต่อให้เสร็จจนกว่าจะหาข้อสรุปที่ดีได้แล้ว...เสวี่ยหงเยว่ก็รู้สึกท้อใจขึ้นมาเพราะอยากกลับไปนอนแล้ว

“น้ำชาขอรับ...ประมุขเสวี่ย” แล้วชาจอกหนึ่งก็วางให้ตรงหน้าเสวี่ยหงเยว่พร้อมกับขนมของว่าง...มันมาจากหลานซิ่นหลิงนั่นเอง

“ขอบคุณขอรับอาจารย์” เสวี่ยหงเยว่รับชามาดื่ม น้ำตาจะไหล ดีใจเหลือจะกล่าว นี่เป็นอาหารชุดแรกหลังจากร่วมประชุมอันแสนทรหดเชียวนะ

“ศิษย์ต้องขอโทษด้วยนะขอรับ ที่ต้องให้อาจารย์อยู่โยงยาวในเมืองเช่นนี้”

หลานซิ่นหลิงส่ายหน้า บอกว่าตอนเต็มใจอยู่ที่นี่อยู่แล้ว ระหว่างนั้นเองเขาก็ทอดสายตามองไกลๆ ไปทางเสวี่ยหงเยว่ คล้ายกลับมองอะไรสักอย่างที่อยู่ด้านหลังของเขา

เมื่อเห็นหลานซิ่นหลิงมีทีท่าเช่นนั้นเสวี่ยหงเยว่จึงได้หันไปมองด้านหลังบ้าง

ซุนจ้าวหานอยู่ตรงนั้น กำลังพูดคุยกับผู้ใหญ่ซึ่งเป็นคณะกรรมการหมู่บ้านด้วยที่ท่าสงบเสงี่ยม การวางตัวเรียบร้อย ไม่ว่าจะทางสายตา รอยยิ้ม ตลอดจนน้ำเสียงล้วนนุ่มนวลละมุนน่าฟัง ทุกอย่างที่เขาแสดงออกมานั้นล้วนสมดังที่ถูกขนานนามว่าเป็นบุรุษศักดิ์สิทธิ์แห่งสกุลซุนทุกประการ

สูงศักดิ์ อ่อนโยน…มากเสียจนเสวี่ยหงเยว่เผลอทำหน้าปลาตายใส่ไปแว้บหนึ่ง เขาเคยมีความภาคภูมิใจในการวางมาดของตัวเองระดับหนึ่ง แต่เมื่อเทียบกับซุนจ้าวหานแล้วก็ดูราวกับเอาเด็กอนุบาลไปคุยกับปรมาจารย์ การสวมบทบาทของเขาเทียบอีกฝ่ายไม่ติดฝุ่น

เมื่อซุนจ้าวหานคุยกับคณะกรรมการหมู่บ้านคนนั้นจบแล้วก็เดินกลับมารวมกลุ่มกับเสวี่ยหงเยว่และหลานซิ่นหลิง เขาเอามือประกบกันระดับอก หรี่ตาลงเล็กน้อย ชายหนุ่มยังคงแสดงทีท่าของคนเรียบร้อยต่อไป เนื่องจากรอบข้างยังมีคนอื่นอยู่เยอะแยะ

“ข้าทำให้พวกท่านทั้งสองรอหรือเปล่าขอรับ?” เขายิ้มบาง ก่อนจะมองค้อนใส่เสวี่ยหงเยว่ในเสี้ยววินาทีสั้น ๆ เพื่อบอกว่าเมื่อกี้เห็นนะว่าทำหน้าปลาตายใส่

“ไม่ได้รอนานหรอกขอรับท่านซุน” หลานซิ่นหลิงพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเลื่อนจอกน้ำชาและขนมให้กับซุนจ้าวหานด้วย ซึ่งนั้นก็ทำให้ชายหนุ่มยิ้มกว้างออกมา

เสวี่ยหงเยว่หรี่ตามองคนสองคนตรงหน้าเล็กน้อย แล้วถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา คิดอะไรในหัวไปด้วย

“ข้าต้องขอบคุณท่านที่มาเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ด้วยกัน” เสวี่ยหงเยว่พยักหน้าเล็กน้อย

“ข้าเต็มใจขอรับประมุขเสวี่ย ข้ามาในสถานะตัวแทนของสกุลซุน เมื่อเมืองในสังกัดพันธมิตรเช่นท่านเดือดร้อนไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น ข้าก็พร้อมสนับสนุนท่านแน่นอน” ซุนจ้าวหานยิ้ม นั้ระหว่างนั้น เขาก็ชี้ไปยังระดับอกของตัวเองไปด้วยคล้ายจะสื่ออะไรบางอย่างถึงบทสนทนาที่พวกเขาคุยกันเมื่อคืนลอยโคม

เขาเอามือแตะที่อกตัวเองเล็กน้อย พยักหน้าให้ แทนการตอบกลับว่ายังเก็บต่างหูไว้อยู่ เพราะเมื่ออยู่ต่อหน้าหลานซิ่นหลิง เสวี่ยหงเยว่ก็ไม่อาจจะพูดอะไรได้มากมายนัก

พวกเขาทั้งสาม นั่งดื่มชา ทานของว่างไปเรื่อยๆ คุยกันถึงแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจที่เพิ่งคุยกันในห้องประชุมไปด้วย ทว่าในระหว่างที่ซุนจ้าวหานและหลานซิ่นหลิงจะขอตัวกลับไปยังที่พักอยู่นั้นเอง ก็มีสาวงามคนหนึ่งซึ่งเป็นเลขาของหัวหน้าหมู่บ้านเดินมาหา นางบอกว่ามีการติดต่อจากสกุลเหอเข้ามา ให้กลับเข้าร่วมประชุมต่อเป็นการด่วน

นั่นทำให้เสวี่ยหงเยว่ถึงกับหน้าย่น พลางคิดว่าสกุลเหอที่ว่านั้น...

หวังว่าจะไม่ใช่...?

...

...

“ท่านเหอไป๋หลานได้ส่งจดหมายด่วนเข้ามาขอรับ”

นั่นไงตูว่าแล้ว...

คนที่กล่าวนั้นเป็นตัวแทนจากสกุลเหอซึ่งมาเข้าร่วมประชุม ในมือของเขานั้นถือกระดาษแผ่นหนึ่งซึ่งยังมีร่องรอยของพลังหลงเหลือ จึงทำให้เสวี่ยหงเยว่เดาได้ว่าเหอไป๋หลานคงใช้วิชาส่งสาสน์ด่วนมาหาเป็นแน่

“ว่ามาเถิด” เสวี่ยหงเยว่กล่าว

“ท่านเหอไป๋หลานได้เสนอความคิดที่จะฟื้นฟูความน่าเชื่อถือของเขาเสวี่ย ด้วยการให้จัดงานประลองยุทธรอบคัดเลือกที่เมืองแห่งนี้ขอรับ”

และข้อเสนอของเหอไป๋หลานนั่นก็เรียกเสียงฮือฮาให้กับที่ประชุมได้เป็นอย่างดี เนื่องจากการที่อยู่ ๆ ก็มีการจัดประลองยุทธนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ต่อให้งานประลองจะสามารถเรียกคนทั้งจากถิ่นเดียวกันและต่างถิ่นมาได้มากมายแค่ไหน แต่ก็ใช่ว่านึกอยากจะจัดก็จัดได้ กรรมสิทธิ์การจัดงานประลองยุทธประจำปีนั้นเป็นของสกุลเหอแค่เพียงสกุลเดียวเท่านั้น

การที่จะมาจัดที่เสวี่ยจึงนับเป็นอะไรที่แปลกนัก

“ไม่ใช่ว่าปกติแล้วจัดที่เมืองในสกุลเหอหรอกรึ การประลองจะเกิดขึ้นในอีกสามเดือนข้างหน้า พวกเจ้าคิดว่าจะย้ายเวทีประลองมาที่เสวี่ยทันหรือไร” เสวี่ยหงเยว่เอ่ยค้านเพราะอิงตามหลักความเป็นจริงแล้วระยะเวลาสามเดือน จัดงานใหญ่ขนาดนั้นมันไม่ใช่เรื่องง่าย ต่อให้เข้าอยากได้กรรมสิทธิ์ในการจัดประลองมาที่เขตปกครองของตัวเองจนตัวสั่นแค่ไหนก็ตาม

เพราะงานประลองยุทธจะมีทุก ๆ ห้าปี เว้นระยะห่างไม่ต่างจากแข่งโอลิมปิกหรือบอลโลก จึงเป็นตัวดูดทั้งนักท่องเที่ยวแล้วก็เงิน ! นอกจากจะได้ฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจแล้วยังเป็นหน้าเป็นตาให้กับเขตปกครองของตัวเองอีกต่างหาก!

“เรื่องนั้น...อ้ะ?! ประมุขเสวี่ยขอรับ!” แต่แล้วเมื่อตัวแทนสกุลเหอคนนั้นได้อ่านส่วนต่อไปเขาก็ขมวดคิ้ว พับกระดาษครึ่งแล้วบอกขออนุญาต รีบเดินเอากระดาษจดหมายฉบับนั้นส่งให้กับเสวี่ยหงเยว่ก่อนที่จะเดินกลับไปยังที่นั่งของตน

เสวี่ยหงเยว่เลิกคิ้วเล็กน้อยแต่ก็รับกระดาษแผ่นนั้นมาอ่าน ส่วนท้ายของจดหมายฉบับนั้นเป็นหน้ากระดาษขาวซึ่งมีรอยอักขระบางอย่างอย่าง สิ่งนั้นเป็นตัวผนึกจดหมายลับ ซึ่งจะมีเพียงคนที่ผู้เขียนต้องการให้อ่านเท่านั้นจึงจะปลดผนึกได้ เมื่อเห็นดังนั้น เขาก็เผลอปั้นหน้าหน่ายออกมา

ฝ่ามือวางบนแผ่นกระดาษ เขาตั้งสมาธิเล็กน้อย ข้อความที่เขียนด้วยตัวอักษรเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยก็ค่อยๆ ปรากฏออกมาแก่สายตา

 

เนื่องจากตรงนี้ไม่ใช่ส่วนราชการ ฉะนั้นข้าจึงขอใช้ภาษาที่คุยกันตามปรกติกับเจ้า

สวัสดีหงเยว่ นานแค่ไหนกันนะที่ข้าไม่ได้ส่งจดหมายมาหาเจ้า สามปี? หรือว่าสองปีกันนะ? เพราะระยะหลังนี้เจ้าแทบไม่ได้ตอบรับจดหมายข้าเลยนี่นะ

ข้าได้ยินข่าวคราวของบ้านเมือเจ้ามาบ้างแล้ว และรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งถึงภัยพิบัติที่เกิดขึ้น ปิศาจเหล่านั้นอาจจะทำให้ความน่าเชื่อถือของเมืองสังกัดเจ้าลดลง และนั่นทำให้ข้าได้ปรึกษากับท่านพ่อของข้าแล้ว จะมีการจัดแข่งขันประลองยุทธระหว่างสำนักในอีกสามเดือนข้างหน้า เจ้ายังจำได้ใช่ไหม?

รอบนี้ทางสกุลเหอจะเปลี่ยนกติการอบคัดเลือกจากครั้งก่อนเสียหน่อย เพราะข้ากับท่านพ่อมีอยากจะให้เหล่าศิษย์ทั้งหลายได้ลองประมือกับปิศาจของจริงเพื่อเป็นการวัดฝีมือที่พวกเขามีก่อนจะจับคู่ประลองกันที่เวที

และข้าจึงคิดว่าเขตปกครองที่เป็นป่าเขาของเจ้าน่าจะเหมาะสมที่สุด ข้าได้ผลประโยชน์จากการได้สถานที่จัดงาน และเจ้าเองจะได้ผลประโยชน์จากงานประลอง อีกทั้งเมื่อกติกาคือการปราบปิศาจแล้ว เจ้ามิคิดหรือว่ามันจะเป็นการดีเพื่อซื้อความมั่นใจแก่ชาวเมือง ว่าปิศาจในเขานี้จะลดลง

สหายรัก ข้าหวังอย่างยิ่งว่าเจ้าจะเห็นด้วยกับความคิดนี้ของข้าและฝากสวัสดีจ้าวหานที่อยู่ที่นั่นด้วย

เหอไป๋หลาน

 

 

ช่าง...เป็นพี่น้องที่แสนวุ่นวายนัก

เสวี่ยหงเยว่คิดเช่นนั้นทันทีที่อ่านจบ เขาก็พับจดหมายเก็บเข้าไปในอกเสื้อของตัวเอง และหรี่ตาลงเล็กน้อย

ใช่...เขารู้จักกับพี่ใหญ่แห่งสกุลเหอเพราะคนแรกที่เคยใช้พลังรักษาให้เขา ก็คือเหอไป๋หลาน ซึ่งเป็นเพื่อนวัยเดียวกันที่เคยร่วมเรียนด้วยกันมา

ชีวิตเขาคงหนีคนสกุลเหอไม่พ้นจริงๆ

“ข้าตกลงรับข้อเสนอในการจัดการประลองยุทธของคุณชายเหอ” เสวี่ยหงเยว่ตอบ “หากให้ป่าเขตเสวี่ยซึ่งมีปีศาจชุมเป็นสถานที่จัดงานประลองรอบคัดเลือก นอกจากจะดึงนักท่องเที่ยวเข้ามาได้แล้ว ยังสร้างความมั่นใจให้กับชาวเมืองเรื่องการลดจำนวนปิศาจอีกด้วย”

เขากล่าวตามสิ่งที่เหอไป๋หลานเขียนมาในกระดาษ ซึ่งเมื่อคณะกรรมการประชุมได้ยินเช่นนั้นต่างก็เห็นพ้อง เพราะนอกจากผลประโยชน์ในด้านการท่องเที่ยวแล้ว งานประลองยุทธนั้นนับเป็นกิจกรรมมีชื่อเสียงที่ไม่ว่าใครก็อยากชมทั้งนั้น

เมื่อว่าความเห็นของทุกคนพ้องกันหมด เสวี่ยหงเยว่ก็พยักหน้าให้กับหลานซิ่นหลิงซึ่งนั่งอยู่ข้างกันเล็กน้อยก่อนจะหันหน้าไปหาตัวแทนสกุลเหอในห้องประชุม

“ท่านจงแจ้งจดหมายเร็วถึงการตอบรับข้อเสนอนี้ไปหาคุณชายเหอ แล้วข้าจะส่งตัวแทนเดินทางไปประชุมเรื่องการจัดการงานโดยเร็วที่สุด”

เมื่อการลงมติจบลง เสวี่ยหงเยว่เดินออกมาจากห้องประชุม ท่าทางเขาดูโล่งใจหากแต่โล่งใจเป็นอย่างมาก โล่งใจที่เพียงแค่จดหมายสั้น ๆ ฉบับเดียวแต่กลับทำให้ปัญหาคลี่คลายไปได้ด้วยดี สมกับที่เป็นเหอไป๋หลาน อัจฉริยะผู้เก่งฉกาจแห่งสกุลเหอ

และเหนื่อยใจ...ที่ต้องกลับไปวนเวียนรอบตัวเหอไป๋หลานอีกครั้งด้วยกรณีที่เขาไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ เพราะหากทำได้ เขานั้นอยากจะเจอเหอไป๋หลานให้น้อยที่สุด...

นั่นก็เพราะ...

“ประมุขเสวี่ยขอรับ” แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นด้านหลัง เขาเป็นชายวัยอาวุโสคนหนึ่ง มีท่าทางสุภาพภูมิฐานสมกับการแต่งกายที่ดูหรูหรา เสวี่ยหงเยว่เลิกคิ้วเล็กน้อย เขาจำชายคนนี้ได้ เพราะเขาเป็นผู้นำของเมืองท่าแห่งนี้

และเป็นบิดาของเฉวียนซือเสียนอีกด้วย

“ท่านเฉวียนเองหรอกหรือ...มีธุระอะไรกับข้าเล่า?” เขาถาม ต่อให้คำพูดไม่มีอะไร แต่สีหน้าไม่เป็นมิตร ก็พาจะให้คนมองหวั่นใจอยู่ไม่ใช่น้อย

“ม...ไม่มีอะไรขอรับ” แล้วเขาก็ส่ายหน้า กลบเกลื่อนอะไรบางอย่างไปเมื่อสบสายตากับเสวี่ยหงเยว่ ซึ่งนั่น...ทำให้เสวี่ยหงเยว่ถึงกับเลิกคิ้วขึ้นสูง

“ข้าเพียงแค่มาขอบคุณท่าน ที่เข้ามาช่วยเหลือเมืองแห่งนี้เท่านั้นเองขอรับ”

“เมืองของเจ้าอยู่ในเขตการปกครองของข้าและมันก็เป็นรับผิดชอบของข้า หากท่านเฉวียนไม่มีอะไรจะกล่าวแล้ว...ข้าต้องขอตัวลา” พูดจบก็พยักหน้า เขาก็ไม่ได้ต่อความอะไรอีกพร้อมกับบอกขอตัวกับนายเมืองเฉวียน เพราะในตอนนี้ ที่เวลาเลยดึกดื่นเฉียดเที่ยงคืนแล้ว เขาไม่อยากเสียเวลาที่จะกลับห้องไปนอนแม้แต่วินาทีเดียว

และเมื่อออกมาจากอาคารศูนย์กลางของเมืองแล้ว นั่นจึงทำให้เสวี่ยหงเยว่ถึงเวลากลับไปเป็นหงเกอเสียที…

เสวี่ยหงเยว่ในคราบชายผมดำเดินไปเรื่อยๆ ดื่มด่ำกับความเงียบยามค่ำคืนไปคนเดียวบนท้องถนน เงยหน้ามองจันทร์บ้าง เล่นกับหิ่งห้อยบ้าง บรรยากาศเช่นนี้นับว่าไม่เลว แม้จะวังเวงชวนให้ผีออกมาหลอกบ้าง แต่เขาก็นึกชอบใจเพราะได้พักผ่อนหลังจากประชุมยาวมาทั้งวัน

เมื่อดูความสูงของพระจันทร์ในตอนนี้ กว่าเขาจะปลอมตัวเสร็จเวลาก็น่าจะเลยเที่ยงคืนไปแล้ว เขาไม่มั่นใจนักว่าเหอไป๋เทียนจะหลับแล้วหรือยัง แล้วพอกลับไปถึงห้องแล้ว เขาจะวางตัวอย่างไรกับเหอไป๋เทียนดี

เพราะว่ากันตามตรงแล้วกริยาการหงุดหงิดแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเมื่อช่วงสายของเด็กคนนั้นมันรบกวนจิตใจของเขามาสักพักใหญ่ๆ แล้ว เสวี่ยหงเยว่ไม่ค่อยเข้าใจนัก ว่าทำไมอยู่ๆ เด็กดีขนาดนั้นถึงได้ทำตัวแบบนี้...จะว่าวัยต่อต้านก็ไม่น่าจะใช่

แต่พอนึกถึงเรื่ององค์ประกอบแล้วหากเขาไม่คิดลึกไปเอง สีหน้าแบบนั้น...อาการเช่นนั้น...

...มันเหมือน...

แต่คงไม่ใช่มั้ง

เมื่อรู้สึกตัวเสวี่ยหงเยว่ก็ชะงักไปพลัน สีหน้าของเขายากที่จะบรรยายเป็นอย่างมาก อายุสิบห้ามันก็วัยรุ่นเข้าช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างการเจริญเติบโตแล้วนี่นะ

อา…

พอคิดว่าเผลอโผล่ไปเป็นก้างขัดขวางฉากการพบเจอกันของพระเอกนางเอกแล้วก็ยิ่งทำให้รู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูก มันไม่มีนิยายที่ไหนเขาทำกันหรอกนะ ไอ้การพระนางจะกระหนุงกระหนิงกันอยู่ดี ๆ แต่ดันมีตัวละครอื่นเข้ามาแทรกกลางให้เสียมู้ด...คนอ่านคงอยากปาหนังสืออัดเข้ากำแพงแน่ๆ

ขอโทษครับ...คราวหลังจะไม่ทำอีกแล้วครับ...

แต่จังหวะทีเขากำลังคิดสะระตะในหัวอยู่นั้นเอง เสวี่ยหงเยว่ก็รู้สึกราวกับเห็นบางอย่างผ่านหางตาไป ชายหนุ่มรีบหันไปมองด้านหลังทว่าเขากลับไม่เห็นอะไร ซ้ำยังหมาจรแถวนั้นก็พากันหอนอย่างสมัครสมานกลมเกลียว

เขาเลิกกลัวผีตั้งแต่สมัยยังเป็นวิญญาณสมจิตรแล้ว พอเกิดมาโลกนี้หรือก็เจอของพรรค์นี้ออกจะบ่อย น่ากลัวกว่าผีก็เจอมาเยอะ แต่…

แต่…

...

หมาหอนบิ้วบรรยากาศซะแบบนี้จะไม่ให้ระแวงได้ยังไงกันเล่า

พอเป็นแบบนั้นแล้วเสวี่ยหงเยว่เลยรีบเร่งฝีเท้า เดินกลับโรงเตี๊ยมให้ไวเท่าที่จะทำได้

 

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด