ตอนที่แล้วตอนที่ 25 เด็กสาวสองพันปี
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 27 เจ้าหญิงเฌอรีน

ตอนที่ 26 ยังดีกว่า...


ตอนที่ 26 ยังดีกว่า...

“ท่านยูคิฮารุ ต้นตระกูลที่ว่านี่...เอ่อ มีชีวิตอยู่เมื่อประมาณเกือบสองพันก่อนไม่ใช่เหรอ ถ้าท่านฮารุฮานะเป็นบุตรสาวของท่านยูคิฮารุแล้วมัน...มันเป็นไปได้ยังไง”

เฟย์นะถามขึ้นต่อด้วยความสงสัยอย่างขีดสุดในทันที

“เท่าที่เคยฟังมา เป็นเพราะการถูกสะกดวิญญาณทั้งๆ ที่ยังมีชีวิตน่ะ สมัยนั้นเหมือนจะมีนักสะกดวิญญาณที่สามารถทำแบบนั้นอยู่ได้ มันคงเป็นรูปแบบพลังที่พิเศษเอามากๆ เพราะโดยพื้นฐานแล้วนักสะกดวิญญาณจะสามารถสะกดได้แต่วิญญาณใช่มั้ยล่ะ”

“ฟังดูน่ากลัวจัง”

โซอีพึมพำขึ้นพร้อมกับยกสองมือของตัวเองขึ้นมามองอย่างสงสัย

“กรณีของคุณโซอีผมว่าไม่น่าใช่หรอกครับ เพราะถ้าถูกสะกดด้วยวิธีนี้แล้วต่อให้สามารถคืนร่างมนุษย์ได้ แต่ก็อยู่แบบนี้ตลอดนานๆ ไม่ได้ครับ ลองนึกภาพง่ายๆ ว่านักสะกดวิญญาณจะสะกดวิญญาณเป็นอะไรสักอย่างตามความถนัดของตัวเองใช่มั้ยครับ การสะกดแบบนี้ก็เหมือนกัน กายหยาบจะไม่ใช่ร่างหลักอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งที่ถูกสะกดให้เป็นแบบนั้นต่างหาก พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือการปรากฏตัวในสภาพคนอย่างนี้ก็เหมือนใช้พลังแปลงร่างมามากกว่า”

“......พอจะเข้าใจแล้ว ขอบคุณที่อธิบายนะ”

ไขข้อข้องใจของโซอีเสร็จสรรพ เคนเซย์ก็กลับมาเข้าเรื่องต่อ

“โดยปกติสิ่งที่แปลว่า ‘คนตาย’ ก็คือการที่วิญญาณออกจากร่างเมื่อกายหยาบไม่มีพลังชีวิตเหลือ จะเรียกว่าหมดอายุขัยก็ได้ หรือในกรณีชะตาขาดที่อาจจะมีพลังชีวิตเหลืออยู่ แต่ร่างกายอยู่ในสภาพไม่สามารถทำงานได้อีกต่อไปแล้ว วิญญาณก็จะออกจากร่างแล้วไปยังที่ที่ควรไปก่อนกลับเข้าสู่ระบบเวียนว่ายตายเกิด ดังนั้นการที่กายหยาบของท่านฮารุฮานะยังอยู่ แม้จะอยู่ในสภาพที่ต่างออกแต่ก็จัดว่ายังอยู่นั่นแหละ วิญญาณถึงได้ยังไม่ออกจากร่างและไม่จัดอยู่ในประเภทคนตายนั่นเอง”

“แบบนี้ไม่จัดอยู่ในขอบเขตของการหมดอายุขัยเหรอ สักร้อยปีที่ยังพอเข้าใจได้นะ แต่ถ้าผ่านมาเกือบสองพันปีแล้วมันก็ออกจะเยอะเกินไปสำหรับมนุษย์คนหนึ่งรึเปล่า”

โซอีถามขึ้นต่ออีก ฟังคำถามแล้วเคนเซย์ก็หยุดคิดไปชั่วครู่เลยทีเดียว

“อืม...ผมว่ามันน่าเข้าข่ายกรณีที่ทุกอย่างถูกหยุดเอาไว้แค่ตรงนั้นน่ะ ตอนก่อนที่จะถูกสะกดด้วยพลังนี้ เพราะเท่าที่เคยรู้มาท่านฮารุฮานะก็ไม่โตหรือเด็กกว่านี้แล้ว เป็นแบบนี้มาตลอดเหมือนกัน”

“...นั่นสินะ ก็คงจะเป็นแบบนั้นแหละ”

โซอีตอบกลับก่อนจะลอบถอนใจ สุดท้ายก็เหมือนจะไม่ได้ข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์สำหรับตัวเอง

“นอกจากนี้แล้วยังมีอย่างอื่นที่ถูกสะกดขึ้นจากจากคนเป็นๆ ด้วยวิธีนี้เหมือนกันนะ เท่าที่รู้ก็อย่างเตาเผาวิญญาณของตระกูลชามันด์ หรือแม้แต่กระจกแห่งชะตากรรมของกองปราบวิญญาณ แต่ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าอะไรอย่างอื่นที่ว่ามาจะกลับสภาพกลายร่างมาเป็นแบบนี้เหมือนท่านฮารุฮานะได้รึเปล่า อีกอย่างที่ทำให้เห็นชัดๆ ว่าท่านฮารุฮานะยังไม่ตายก็เพราะท่านยังมีเนื้อกายที่สัมผัสได้จริงอยู่นี่แหละ แม้จะไม่ต้องเข้ามิติวิญญาณก็สัมผัสได้แบบนี้…”

เคนเซย์ยื่นมือออกไปตรงหน้าแล้วจับมือข้างหนึ่งของเด็กสาวที่มีอายุเกือบสองพันปีมาวางไว้บนมือตัวเอง ทุกอย่างเกิดขึ้นด้วยความละเมียดละไม ค่อยเป็นค่อยไปราวกับต้องทะนุถนอมอย่างดีที่สุด

ร่างกายของเธอคือเนื้อกายจริงๆ ซึ่งสามารถจับต้องได้เหมือนยังมีชีวิต

“ผมขอ…”

“ไม่ได้”

ไม่ทันที่ธาวินจะได้เอ่ยจนจบ เคนเซย์ก็ตัดบทขึ้นมาทันทีราวกับรู้ว่าเด็กหนุ่มผู้อยากรู้อยากเห็นจะขออะไร

“ต่อให้เนื้อกายของท่านฮารุฮานะจับต้องได้ แต่ถ้าไม่ได้อยู่ในร่างนกไฟเนื้อกายของท่านก็จะบอบบางต่อพลังวิญญาณประเภทอื่นๆ มาก นอกจากคนที่มีสายพลังของตระกูลยูคิฮารุแล้ว ห้ามไม่ให้คนอื่นแตะต้องอย่างเด็ดขาด ยิ่งตอนนี้...เอ่อ ท่านฮารุฮานะกำลังได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้ตาของท่านยังกลับมามองเห็นได้ไม่ชัด คงต้องพักรักษาตัวอีกพักใหญ่กว่าจะกลับมาเป็นปกติได้”

ทั้งห้องเงียบขึ้นมาชั่วอึดใจเมื่อเคนเซย์พูดจบ ชายหนุ่มพยายามหลีกเลี่ยงการบอกสาเหตุว่าเพราะเหตุใดถึงทำให้ท่านฮารุฮานะบาดเจ็บแบบนี้

“ขออภัยที่รบกวนนะครับ ท่านฮารุฮานะกลับไปพักผ่อนต่อนะครับ”

เด็กสาวในชุดกิโมโนสีขาวพยักหน้ารับแล้วเอ่ยลากับแขกทุกคน

“อวยพรแด่ทุกท่าน”

แต่แทนที่จะหายไปในทันที เด็กสาวกลับมีท่าทีเหมือนยังไม่เสร็จธุระกับผู้สืบทอดคนปัจจุบัน ท่านฮารุฮานะหันไปตามเสียงของเคนเซย์ ก่อนจะยื่นมือออกมาควานตรงหน้าเหมือนคนที่มองอะไรไม่เห็น จนกระทั่งคว้าได้ไหล่ของชาหหนุ่มนั่นเอง เธอจึงยืดตัวขึ้นไปกระซิบบางอย่างที่ข้างหู

และมันก็แผ่วเบาพอที่จะได้ยินกันแค่สองคน...

“เบื้องหน้าตรงนี้มีพลังวิญญาณที่น่าหวาดกลัวเหลือเกิน”

ในขณะที่เคนเซย์กำลังตกตะลึง ร่างของเด็กสาวในชุดกิโมโนสีขาวก็สลายไปกลับมาเป็นสร้อยที่ห้อยอยู่บนคอของชายหนุ่มตามเดิม

เคนเซย์หันไปมองคนสามคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ท่านฮารุฮานะกล่าวมานั้นหมายถึงใคร ปกติเขาแทบไม่เคยได้ยินท่านพูดคำอื่นนอกจากคำทักทายและคำอำลาที่เป็นคำเดียวกัน อยู่ๆ ก็บอกออกมาเองแบบนั้นมันจะต้องเป็นอะไรที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

“นายเคยเห็นกระจกแห่งชะตากรรมรึเปล่า”

โซอีถามขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเหตุการณ์ดูเหมือนเข้าสู่ภาวะปกติ แม้จะสงสัยว่าทั้งสองกระซิบกระซาบอะไรกันแต่ก็คงไม่มีใครเสียมารยาทกล้าถามอย่างแน่นอน

“ไม่เคยเลยครับ ผมเองก็อยากจะเห็นสักครั้งเหมือนกันนั่นแหละ ห้องที่เก็บกระจกวิญญาณน่ะเป็นความลับสุดยอดของกองปราบวิญญาณ มีแต่ผู้บัญชาการสูงสุด กับหัวหน้าหน่วย K-0 กับ K-1 เท่านั้นแหละที่รู้ ไม่สิ หัวหน้าหน่วยข่าวกรองอาจจะพอรู้ด้วยก็ได้มั้ง”

“ลำเอียงจัง ทั้งๆ ที่ทิ้งเตาเผาวิญญาณไว้กับบ้านร้างแบบนั้นแต่เก็บกระจกดูแลไว้อย่างดีงั้นเหรอ”

“อ๋อ เรื่องนี้ผมพอรู้นะ เหมือนกับว่าทางกองปราบเคยพยายามจะย้ายเตาเผาวิญญาณมาดูแลเหมือนกัน พวกเขาลองทุกวิธีที่จะใช้ได้แล้วทั้งทางวิทยาศาสตร์ และศาสตร์ทางวิญญาณ แต่ใช้วิธีไหนก็เหมือนจะขยับเตาเผาออกจากตรงนั้นไม่ได้เลย จนสุดท้ายก็ตัดใจยกเลิกกันไป เพราะมันขยับไม่ได้และไม่มีอะไรทำลายมันได้นั่นแหละ คุณโซอีก็พอรู้กฎพื้นฐานใช่มั้ยว่า ไม่ใช่นักสะกดวิญญาณคนไหนคลายสะกดของใครได้ การสะกดคนเป็นๆ ก็เป็นหนึ่งในการสะกดเหมือนกันนั่นแหละ ก็เลยไม่มีอะไรทำลายได้น่ะ”

เคนเซย์พูดจบทั้งห้องก็ดูจะเงียบลงไปอีกชั่วขณะ เขามัวแต่คุยกับโซอีจนไม่ทันได้สังเกตว่าดูเหมือนนักเรียนอีกสองคนจะเริ่มอาการไม่ดีเท่าไรแล้ว

“เอ่อ...ขอโทษด้วยนะ ฉันมึนหัวหน่อยๆ น่ะ วันนี้ขอพอแค่นี้ก่อนได้มั้ย”

เฟย์นะเอ่ยขึ้นมาพร้อมกับลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกจากโรงฝึกไป เคนเซย์ได้แต่มองตามแผ่นหลังนั้นแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อประตูถูกปิดลง

“ธาวิน เป็นอะไรไป ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วดูซึมแปลกๆ นะ ปกติเจออะไรชวนว้าวแบบนี้ต้องได้ยินเสียงนายบ้างแล้ว”

เจ้าของบ้านหันไปถามเด็กหนุ่มจากไทยที่นั่งเงียบหน้าซีดไม่พูดไม่จา ซึ่งนับว่าผิดปกติเลยทีเดียว

“ปะ...เปล่าครับ ผมเองก็มึนหัวแปลกๆ ยังไงไม่รู้ ขอไปอาบน้ำนอนเลยได้มั้ยพี่เคน”

“อ้าว มื้อเย็นล่ะ”

“ไม่อยากกินอะไรเลย ผมอยากนอนมากกว่า มัน...มึนหัวแปลกๆ จริงๆ ฮะ”

เมื่อได้รับการยืนยันแบบนั้นบวกกับสีหน้าซีดเซียวผิดปกติ เคนเซย์จึงตรงเข้าไปดูอาการของธาวินในทันที

“อ้าว...ตัวร้อนขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก่อนมายังไม่เป็นไรอยู่เลย งั้นเดี๋ยวฉันพากลับที่พักก่อนละกัน ไปกันก่อนนะครับคุณโซอีไว้ค่อยคุยกันต่อ เดี๋ยวผมเดินไปส่งที่หน้าห้องจะได้เอากระเป๋าธาวินมาด้วย”

หลังจากแบกธาวินขึ้นหลังและนำทางพาโซอีกลับมาจนถึงห้องพักชั่วคราวของเฟย์นะ เคนเซย์ก็ทิ้งท้ายไว้ว่าจะให้คนยกมื้อเย็นมาที่ห้องให้แล้วทั้งสามก็ล่ำลากันที่ตรงนั้น

โซอีเดินเข้าไปภายในห้องพัก ที่เหมือนมีโซนห้องนั่งเล่นและอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ อยู่หลายอย่าง มีประตูที่แยกออกไปจากห้องสองบาน หลังทดสอบเปิดบานแรกก็พบว่าเป็นห้องน้ำและโซนแต่งตัว หญิงสาวตัวเล็กก็ถอยหลังกลับก่อนจะเปิดประตูอีกบานจนพบกับห้อนอน

เฟย์นะกำลังนอนอยู่บนฟูกที่ดูหนานุ่มแลัหันหน้าเข้าฝาผนังไป

“ไม่สบายตรงไหนรึเปล่าคะ”

โซอีทักขึ้น แม้พอจะมองออกว่าหญิงสาวไม่ได้ป่วยแบบธาวินก็ตาม

“เอ๊ะ…อ้าว กลับมากันแล้วเหรอ ขอโทษด้วยนะที่กลับมาก่อน”

เฟย์นะรีบลุกขึ้นมานั่งบนฟูกเพื่อต้อนรับแขกตัวน้อยในทันที

“ไม่เป็นไรหรอก สักพักมื้อเย็นก็คงจะยกมา ถึงตอนนั้นจะให้เรียกมั้ยคะ”

“อ๋อ ไม่เป็นไร พี่คงไม่นอนต่อแล้วล่ะ รอนอนทีเดียวยาวๆ เลยดีกว่า”

โซอีนึกขึ้นได้เมื่อได้ฟัง เธอควรจะเลิกเล่นเป็นเด็กเจ็ดขวบได้แล้วเสียที หญิงสาวร่างเล็กเดินไปนั่งลงตรงหน้าสาวสวยวัยสิบเก้าที่ตัวโตสมวัย

“ก่อนอื่นต้องขอโทษด้วยนะคะที่โกหก ฉันแค่ไม่อยากให้เจ้าเด็กสองคนนั้นได้แกล้งคุณเฟย์นะน่ะค่ะ มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดทำให้ร่างกายฉันมีสภาพเป็นแบบนี้ แต่ที่จริงฉันอายุยี่สิบหกแล้วค่ะ”

โซอีเชื่อว่าหากไม่มีเหตุการณ์สาวน้อยสองพันปีมาก่อนหน้า เฟย์นะคงจะทำท่าตกอกตกใจมากกว่านี้แน่ๆ

“เอ๊ะ...ถ้าอย่างนั้น เอ่อ...ฉันต้องเรียกคุณโซอีว่าพี่สินะคะ ตายจริง ขอโทษด้วยที่เสียมารยาทไปตั้งเยอะนะคะ”

“ไม่เป็นไรหรอก ทางนี้ก็ต้องขอโทษที่เล่นตามน้ำไปเหมือนกัน”

หลังโซอีพูดจบทั้งห้องก็กลับเงียบขึ้นมาอีกครั้ง มองดูเด็กหญิงที่ดูยังไงก็เป็นเด็กเจ็ดขวบแล้ว เฟย์นะก็สงสัยขึ้นมาอย่างจับใจ มิน่าล่ะ เคนเซย์กับเด็กจากไทยคนนั้นถึงได้ดูสุภาพและเกรงใจเธอขนาดนั้น

“ขอโทษนะคะ ขอถามได้มั้ยคะว่าเกิดอะไรขึ้น”

“เคยได้ยินคดีฆาตกรรมหมู่ที่คฤหาสน์ชามันด์ใช่มั้ย”

เฟย์นะพยักหน้ารับ แล้วโซอีก็เล่าต่อไปราวกับมันไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญ

“ฉันเป็นคนเดียวที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์ครั้ง ไม่สิ...คงต้องบอกว่าเป็นผู้ก่อเหตุในครั้งนั้นมากกว่า ในตอนนั้นฉันอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ชามันด์ค่ะ แล้วถูกวิญญาณของต้นไวท์แอชที่หายไปเข้าสิงจนก่อคดีฆาตกรรมเก้าสิบเก้าศพ การถูกสิงครั้งนั้นคงส่งผลกระทบอะไรสักอย่างกับทั้งพลังวิญญาณกับร่างกายของฉัน ฉันก็เลยไม่โตขึ้นอีกเลยตั้งแต่วันนั้น”

เฟย์นะยกมือปิกปากเบิกตาโพลงขึ้นอย่างตกตะลึง ให้นึกภาพยังไงก็นึกไม่ออกเลยว่าสภาพของโซอีในตอนนั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง

“สิบเก้าปีที่ผ่านไป ฉันเพิ่งจะจำเรื่องนี้ได้เมื่อเร็วๆ นี้เอง ตอนแรกก็ช็อกจนพูดไม่ออกทำอะไรไม่ถูกไปเลยเหมือนกัน แต่ยังไงก็ตามในสภาพที่อยู่อย่างนี้มาสิบเก้าปีแล้ว ต่อให้มีเรื่องอะไรที่มันแย่กว่านั้นมันก็ไม่ได้ทำให้สภาพปัจจุบันแย่ลงไปกว่านี้แล้วล่ะ ยังดีที่ทางกองปราบวิญญาณเองก็เชื่อแบบนั้น ฉันถึงไม่ถูกยัดข้อหาฆาตกรเก้าสิบเก้าศพมาให้ ที่ทำได้ตอนนี้คือต้องหาข้อมูลช่วยพวกเขาเยอะๆ เพื่อปิดคดีให้ได้ไวๆ”

หญิงสาววัยย่างยี่สิบแทบพูดไม่ออก เด็กคนนี้...ไม่สิผู้หญิงคนนี้ต้องมีใช้ความเข้มแข็งมากขนาดไหนที่ทำให้พูดเรื่องราวเหล่านี้ออกมาได้หน้าตาเฉยแบบนี้

“ทำยังไงเราถึงจะเข้มแข็งได้ขนาดนี้ค่ะ ฉันคิดว่าคุณโซอีอาจจะพอรู้เรื่องฉันมาแล้วบ้าง ฉันถามหน่อยได้มั้ยว่าต้องทำยังไงถึงจะเข้มแข็งแบบนี้ได้”

โซอีถอนใจ แม้มันออกจะประหลาดที่ภาพมันออกมาดูเหมือนเด็กน้อยนั่งสั่นสอนผู้ใหญ่ แต่หญิงสาวในร่างเด็กก็เข้าใจสิ่งที่เฟย์นะเป็นในตอนนี้จริงๆ

“ฉันเองก็ไม่ได้เข้มแข็งได้ไวอะไรขนาดนั้น นานเหมือนกันนะกว่าจะทำใจได้ว่าตัวเองคงไม่มีทางตัวโตไปมากกว่านี้ ต้องเป็นเด็กหญิงไปตลอดไม่มีทางมีหน้าอกหรือตัวสูงขึ้นเป็นหญิงสาวได้ คงไม่ได้ไปโรงเรียน ไม่มีสนิทผู้หญิงให้ปรึกษาระบายหรือไปช๊อปปิงด้วยกัน คงไม่มีทางหาแฟนได้ อย่าหวังไปเลยว่าจะได้แต่งงาน”

โซอีขำตัวเองขึ้นมาเมื่อพูดคำว่าแต่งงานออกมา

“เราแค่ต้องเข้มแข็งเท่านั้นเอง ฉันรู้ว่ามันยาก แต่ถ้ามันคือสิ่งเดียวที่ทำได้และต้องทำมันจริงๆ เราก็แค่ลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดนั้นแล้วอยู่กับมันให้ได้ เพราะต่อให้หาข้ออ้างให้ตัวเองหนีไปเรื่อยๆ แค่ไหนสุดท้ายถ้านี่คือสิ่งที่ต้องทำ ยังไงมันก็ต้องทำอยู่ดี แต่ถ้าพอใจแล้วกับการนอนร้องไห้ทุกวัน ดึงตัวเองให้ย่ำอยู่กับที่ไม่อยากออกไปพบเจอกับอะไรก็แล้วแต่ตัวเขาไปค่ะ ถ้าโชคดีมากๆ ก็คงจะมีคนคอยดูแลพยายามเข้าใจและปลอบโยน แต่บังเอิญฉันโชคร้ายที่อยู่ตัวคนเดียว จนถึงตอนนี้ก็ยังอยากรู้จริงๆ ว่าความรู้สึกของการได้เป็นคนสำคัญของใครสักคน ได้เป็นที่รักของใครสักคนนั้นมันเป็นยังไง”

เฟย์นะอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ตัดสินใจไม่พูดออกมา เพราะเหมือนเพิ่งได้สติรู้ตัวว่าถ้อยคำต่างๆ ที่เฝ้าบอกกับตัวเองอยู่ทุกวัน เป็นแค่ข้ออ้างการโทษคนอื่นเพื่อให้ตัวเองสบายใจขึ้นเท่านั้น

เคนเซย์เองก็ไม่ได้ทำผิดอะไรเลย…

“ตั้งแต่เกิดมาฉันไม่เคยได้รู้จักจนอิจฉาใครเท่ากับเฟย์นะมาก่อนเลย”

“เอ๊ะ...ฉันเหรอคะ ทำไมล่ะ”

“เพราะเฟย์นะมีทุกอย่างที่ฉันต้องการไงล่ะ หลังพ่อกับแม่ไม่อยู่แล้ว ฉันต้องทำร้านเบเกอรี่ส่งขายทางไปรษณีย์เพื่อเลี้ยงตัวเองตั้งแต่อายุสิบขวบ ต่อให้เฟย์นะไม่ได้ฝันถึงความร่ำรวยสุขสบายเหมือนในตอนนี้ แต่เท่าที่ฟังมาก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้ลำบากจนต้องมาดิ้นรนหาเงินอะไร ฉันฝันถึงวันที่นั่งทำขนมกินเล่นเองด้วยความสบายใจแบบไม่ต้องทำง้อขายให้ใครจริงๆ นะ แล้วถึงแม้ว่าจะเสียคนรักไปแต่เฟย์นะก็ยังมีคุณพ่อ ยังมีเคนเซย์ที่เห็นเฟย์นะเป็นคนสำคัญที่สุด ถึงได้ทำพิธีกรรมนั่นขึ้นมาจนเป็นเรื่องวุ่นวายถึงตอนนี้ แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่มีใครสักคนที่มองฉันด้วยความรู้สึกนั้นเลย ถ้าคิดว่าเรื่องตัวเองมันแย่มากลองนึกถึงเรื่องของฉันแทนก็ได้นะ ต่อให้เราแย่แค่ไหนเชื่อเถอะว่าต้องมีคนที่แย่กว่าอยู่ดี ถ้ามันจะทำให้สบายใจขึ้น ปลอบโยนตัวเองได้บ้างก็นึกได้ตามความสะดวกใจเลย แต่เชื่อฉันอย่างหนึ่งเถอะนะคะ ถ้าเป็นไปได้และไม่ฝืนจนเกินไป ได้โปรดขอบคุณเคนเซย์สักนิดเถอะ ความรู้สึกของการเป็นฆาตกรฆ่าคนตายไม่ใช่เรื่องน่าสนุกเลยสักนิด ต่อให้ตอนที่ทำเราไม่ได้รู้ตัวและไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้นเลยก็ตาม แต่สุดท้าย...มือของเราก็ยังเปื้อนเลือดอยู่ดี”

น้ำตาของหญิงสาวผมสีทองไหลพรั่งพรูออกมา ก่อนจะโถมเข้ามากอดโซอีไว้แล้วเริ่มสะอึกสะอื้น

ไม่มีคำพูดอะไรใดๆ ต่อจากนั้น เพราะแม้แต่การปลอบโยนก็เป็นการทำให้เจ้าตัวระลึกถึงแต่ความเจ็บปวดเหล่านั้น เป็นการตอกย้ำซ้ำเติมแบบทางอ้อมโดยที่ผู้หวังดีอาจไม่ได้ตั้งใจหรือรู้ตัว

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด